Skip to main content
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้

 

1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร

2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร

3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ

4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ

 

ผมได้รับและตอบกลับดังนี้

....................

 

สวัสดีครับ 
ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับ
แต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น ที่มองเข้าไปยังเหตุการณ์ของพี่ที่เกิดขึ้น
ซึ่งคงไม่รู้สึกได้ทั้งหมดเหมือนที่พี่เจอ ยังไงก็ขอแบ่งปันจากที่ตัวเองที่เผชิญและรู้มาบ้างนะครับ
 
เรื่อง 1 การอยู่กับคนที่เขาไม่ชอบเรา ควรทำยังไง


ผมมองว่าคนอื่นๆ มี อยู่ 3 แบบ คือ คนที่ชอบเรา, คนที่ไม่ชอบเรา และ คนที่เฉยๆ กับเรา
นั่นไม่ว่าเราจะทำอะไร จะพูด จะทำ เป็นอย่างไร ก็จะมีคน 3 ประเภทนี้อยู่
หน้าที่ของเราคือ "เอาใจไว้กับตัวเอง" คือ "ไม่เอาใจไว้ที่เขา" เพราะเมื่อใดที่เราเอาใจไปไว้ที่เขา เราก็จะรู้สึกทุกข์ เช่น เมื่อเขาไม่ชอบ เราก็ทุกข์ เมื่อเขาไม่ชมเราก็ทุกข์ อันนี้เพราะเราเอาใจไปไว้ที่เขามากไป ทำให้เราทุกข์เพิ่มขึ้น ยิ่งเมื่อคนที่เขาเห็นแย้งกับเรา ยิ่งไปกันใหญ่เลย ฉะนั้น ขั้นแรกคือ "ให้เราเอาใจไว้กับตัวเองก่อน"


ทีนี้ การเอาใจไว้กับตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเราเห็นแก่ตัวหรือไม่ใส่ใจคนอื่นนะครับ
เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เราก็อธิบายให้เขาเข้าใจ, ถ้าหากเขาร้อนใจใส่เรา เราก็เย็นใจใส่เขา
คนบางคนเวลาเจอเราก็จะมีเรื่องเดิมๆ มาว่า มาวิจารณ์เรา เราก็ปล่อยให้เขาได้ "ปล่อย" เรื่องราวเหล่านั้นออกมา


เมื่อเขาพูดเสร็จ เราก็ "รับฟัง" อย่างตั้งใจ ไม่สวนกลับ เมื่อเสร็จแล้ว เราก็ขอบคุณเขา หรืออาจจะขอโทษเขาไปเลย คือทำให้เรื่องที่เค้าค้างใจ หลุดออกจากเขาก่อน ส่วนเรื่องที่เขาว่ามานั้นจะใช่หรือไม่ใช่ เป็นเรื่องที่เราจะมาจัดการกับตัวเอง
 
ในกรณีที่มีคนมาว่าเรา นินทา หรือด่า เรา ก็เหมือนกับ หากสมมุติว่า ผมเจอกับพี่ แล้วพี่เอาน้ำมาให้ผมดื่ม แต่ผมไม่รับ น้ำแก้วนั้นจะเป็นของใคร .....มันก็ต้องเป็นของพี่ใช่ไหมครับ ก็เหมือนกับถ้าเขาว่าให้เรา ด่าเรา วิจารณ์เรา แล้วเราไม่รับมา มันก็เป็นของเขาอ่าเนอะ^^
 
คนที่มีทัศนคติไม่ตรงกับเรา ถือเป็นบททดสอบของเรา ที่จะทำให้เราได้เติบโต อดทน ที่จะคุยกันอย่างกรุณา ไม่ใช้อารมณ์ คุยอย่างเมตตา แบบนี้ก็น่าจะโอเคแล้วนะครับ ลองอ่านเรื่องนี้นะครับ ไม่แน่ใจว่าจะเข้ากับกรณีที่ 1 หรือไม่ http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=954
 
เรื่องที่ 2 การแผ่เมตตา

การแผ่เมตตา ส่งผลอย่างมากต่อจิตใจของเรา อย่างน้อยการแผ่เมตตาก็มีอานิสงค์ในหลายๆ ประการ
เช่น ทำให้ใจเรามีเมตตาต่อสรรพชีวิต ต่อคนรัก ต่อศัตรู ฯลฯ, ลดแรงกรรม, เป็นที่รักของสรรสัตว์
อันนี้ลองอ่านได้เพิ่มเติมที่ ลิ้งค์นี้ครับ http://board.palungjit.com/showthread.php?t=170075
 
สำหรับผม ก็แผ่เมตตาทุกข์วันครับ ช่วยทำให้ใจตัวเอง เอื้ออารีย์ต่อตัวเอง และคนอื่น
มองคนรอบข้าง ทั้งดี ไม่ดี หรือเฉยๆ กับเรา แบบเท่ากัน คือเขาก็เป็นเพื่อนร่วมโลก
หลายเรื่องที่เขาทำไม่ดีกับเรา เพราะเขาไม่รู้ แล้วเราก็ต้องแผ่เมตตาให้เขาได้พบธรรมะ ได้พ้นจากทุกข์
หรือบางทีเขาอาจเป็นคู่เวรที่มาใช้วิบากกับเรา เราก็แผ่เมตตาให้เขา ยิ่งทำมากก็ยิ่งดีนะครับ
คนทุกคนไม่ได้ตั้งใจเกิดมาเป็นคนไม่ดีหรอกเนอะ....
 
เรื่องที่ 3 การปฏิบัติจะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรจริงไหม


ขอตอบว่า จริงครับ
เพราะผมเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ
ตราบใดที่เรายังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน เราก็ยังเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
ไม่ว่าจะไป อบายภูมิ หรือ สุคติภูมิ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเวียนไป ไม่จบสิ้น
ทีนี้ กว่าเราจะเกิดมาเป็นคน เราก็เวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ภพ กี่ชาติ
มีพ่อ แม่ ญาติ คู่รัก เจ้ากรรม นายเวร มาไม่รู้กี่คน ไม่ว่าจะเป็น ปัจจุบัน หรือ อดีตชาติ
ฉะนั้นการที่เราได้เกิดมาเป็น "คน" ใน ปัจจุบันนี้ ย่อมมีนัยะ สำคัญคือ
เป็นการมาใช้กรรมเก่า และ การสร้างกรรมใหม่
 
ชดใช้กรรมเก่าที่เราเคยทำไม่ดีมา และสร้างกรรมใหม่ให้ส่งผลต่อภพภูมิต่อไป
 
ทีนี้เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่จะเกิดกับเราคือ เราจะมีบารมีทางธรรม มีบุญกุศลเพิ่มมากขึ้น
และเมื่อเรามีบุญเยอะ ก็เหมือน มีน้ำใส่ในแก้วมากยิ่งขึ้นถ้าเรามีมาก แล้วไม่ได้แบ่งให้คนอื่นดื่ม เขาก็จะมาขอเราดื่มเอง ไม่ว่าจะมาให้เห็น หรือ มีสัญญาณต่าๆ ก็ตาม เราก็ต้องแบ่งบุญที่เรามีให้กับ เจ้ากรรมในอดีตชาติ หรือ ในปัจจุบัน ให้เขาได้รับผล อานิสงค์กับเรา ซึ่งมันก็ช่วยได้เยอะทีเดียวนะครับ
 
บางครั้ง การปฏิบัติ ก็ทำให้เราได้
1. ชดใช้ให้กับสิ่งเดิม
2. เพิ่มเติมให้กับสิ่งใหม่
3. รักษาให้ดำรงต่อไป
4. สบายใจทุกๆ ขณะ
 
หน้าที่ของเราคือ
- เอาของที่ไม่ดีออกจากจิตใจ คือ (1.) ไม่ตามใจกิเลส คือ โลภ โกรธ และหลง
อาจจะโดยการ ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา
 
- เพิ่มเติมความ "รู้สึกตัว" คือการเจริญสติ ให้ระลึกรู้กายและใจ ด้วยความเป็นจริง เป็นการทำ สติปัฏฐาน ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนไว้
ให้จิตเราบ่มเพาะความรัก ความเมตตา กรุณา มุฑิตา ต่อสรรพชีวิต
 
- รักษาจิต ให้มีสติ ระลึกรู้ อยู่ทุกๆ ขณะ ทำบ่อยๆ เนืองๆ ฝึกไปเรื่อยๆ จิตจะรู้ทุกข์ และละทุกข์ได้เอง
 
- เมื่อจิตใจเรา มีสติ ไม่ว่าจะดี ใจ เสียใจ หรืออะไรก็ตาม เราจะรู้ว่า ทุกๆ อย่างมันไม่เที่ยง มีเกิด ก็มีดับ มีเหตุ ก็เกิด หมดเหตุ ก็ดับ ให้เราเห็นความจริงตรงนี้ไว้นะครับว่า "ทุกสิ่งไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้"
จิตใจของเรา มีสุข มีทุกข์ มีโกรธ มีชอบ มีเครียด มีสุข คละกันไป
ถ้าเราเห็นความจริงในตรงนี้ เราจะมีความสุข
ความสุขที่เราเห็นความจริง, รู้สึกตัว ไม่เผลอไปกับกิเลส ไม่ติดยึดไปกับตัวตน
 
เรื่องที่ 4 เรื่องกรรม

ผมเชื่อเรื่องกรรมนะครับ เช่น เรื่องนี้, ผมถึงได้เจอพี่ในวันเวลาที่พี่ทุกข์ใจไง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผมจะได้ตอบเมลของพี่ แสดงว่า ผมคงจะเคยติดค้างอะไรพี่ไว้ ฉะนั้น ผมจึงปรากฏ ให้พี่ได้พบ และเราก็ได้สนทนา แบ่งปันกัน เป็นการใช้กรรมที่ติดค้าง และ ผมก็ได้สร้างกรรมใหม่ให้เราตัวเองด้วย
 
จากเรื่องนี้ ผมคิดว่ากรรม (หมายถึงการกระทำ) มี 2 แบบ คือ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม
ซึ่งทั้งสองอย่าง เกิดได้ จาก "เจตนา"
 
ถ้าเราทำกรรมใด ย่อมส่งผมต่อวิบากนั้น หมายถึง เมื่อมีเหตุ ย่อมปรากฏผล เมื่อมีกรรม ย่อมมีผลของกรรม
 
ถ้าเรารู้ว่าตัวเองมีกรรม อย่าพึ่งยอมจำนนกับกรรม ว่าเราต้องใช้กรรมอย่างเดียว แต่ควรมองว่าเราก็ถือโอกาสสร้างกรรมใหม่ขึ้นมา หรือเมื่อเราทุกข์ ก็อย่าไปเผลอไปกับทุกข์
ให้เรารู้ว่าทุกข์เข้ามาเพื่อเป็นบททดสอบ ให้เรา รู้จักความจริงของทุกข์ และได้พ้นจากมัน
 
ทั้งนี้การแผ่เมตตาและการเจริญสติ จะช่วยลดแรงกรรมได้เยอะเลยครับ
เหมือนเราวิ่งเร็วขึ้น เจ้ากรรมก็ตามไม่ทันเรา แต่เราก็อย่าลืมเอาบุญให้เจ้ากรรมด้วยนะครับ
 
ลองอ่านเรื่องกรรมเพิ่มเติมต่อได้ที่ http://dungtrin.com/whatapity/02.htm  
 
----------------------
 
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้
ลองหยุด สำรวจ กายและใจของเรา
พักดู ลมหายใจ ออกและเข้า สัก 3 ครั้ง
 
ยิ้มกับความทุกข์นะครับ
 
ทุกข์ไม่เกิด เราก็ไม่รู้จักทุกข์
มารไม่มี บารมีก็ไม่มา
 
เป็นกำลังใจให้พี่นะครับ

 

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…