Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

…แม้ว่าฉันจะไม่ได้ไปที่วัดป่าสุคะโตกับเธอ ฉันเห็นบรรยากาศไปพร้อมกับการเล่าสู่กันของเธอ อดไม่ได้ที่จะนึกถึง “ความกลัว”

ตั้งแต่เด็ก เรามักถูกขู่ให้กลัวอยู่เสมอ เมื่อพ่อแม่เลี้ยงเรามา รัก ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เด็กเล็กๆ มีความอยากรู้อยากเห็นเป็นของตัวเอง เขาเพิ่งเกิดใหม่ ยังไม่รู้ว่า ไฟมันร้อน น้ำในบ่อมันลึกหรือตื้นเพียงไหน ปลั๊กไฟห้ามเอานิ้วแหย่เข้าไป อาจจะเดินไปไหนไกลๆ โดยพ่อแม่ไม่เห็นแล้วประสบอันตราย

สิ่งที่เด็กไม่ได้ประสบกับตัวเอง เด็กไม่รู้ว่าอันตราย ไฟมันร้อน น้ำมันลึก เป็นอย่างไร พ่อแม่จึงมักดึงเอาสัญชาติญาณด้านลึกคือความกลัวออกมา การขู่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กแก ตำรวจ คนบ้า ผี ฯลฯ อีกมากมายที่หล่อหลอมเรามา

ความกลัว เมื่อสัมพันธ์กับสิ่งใด นอกจากเราจะไม่แย่กว่า เรากลัวสิ่งนั้นจริงๆ หรือความกลัวที่อยู่ด้านในของเรามากกว่า

ตอนเด็กๆ ฉันกลัวที่จะเห็นผี ฉันไม่รู้จักว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างน้อยผีอาจจะหน้าตาเหมือน ปู่ ย่า หรือตา ของฉัน เพราะเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังเด็ก ถ้าฉันพบหน้าตาแบบในรูปที่บ้าน หมายความว่าเขาเหล่านั้นเป็นผี ใช่ไหม แต่ตลอดช่วงชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยเห็นเขาเลย แม้ว่าจะรู้ว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่จริง

หรือจริงๆ แล้ว ฉันกลัวความตายกันแน่...

หากเปรียบกับชีวิตที่ฉันดำเนินอยู่ในเมือง ต้องพบเจอผู้คนมากมาย ทั้งที่รู้จัก ไม่รู้จัก และไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เขาคิดได้ ไม่รู้ว่าเขาคิดดี คิดร้าย เป็นคนดีหรือคนร้าย เราเรียนรู้...ว่า คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ประสบการณ์ชีวิตกับความกลัว สอนให้เรากลัวคนอื่นมากกว่ากลัวตัวเราเอง

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เราประสบกับความกลัวของตัวเองมากกว่ากลัวคนอื่น เหตุการณ์ครั้งหนึ่งของฉัน ที่ทำให้คลี่คลายจุดนี้คือ ฉันมักชอบอ่านดวงชะตาชีวิตผ่านหนังสือต่างๆ ที่เพื่อนๆ บอกว่าแม่น!

...แล้วอย่างไร ฉันกลัวมาก เมื่อเขาเขียนว่า วันนี้ต้องระวังนั่น ระวังนี่ “ให้ระวังคนจะทำร้ายจิตใจ แล้วมีผลกระทบกับการงาน”  วันนั้นไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่ระวังว่า คนที่เขาไม่ชอบเราอยู่แล้วจะเล่นงานเราอย่างไร นอกจากสิ่งที่ได้คือความเครียดแล้ว ยังทำให้เราไม่มีความสุข ไม่สนุก เราไม่ได้จดจ่ออยู่กับการทำงาน มัวแต่กังวลว่าเขาจะทำอะไรเรา เราจะถูกเล่นงานอย่างไร

แท้จริงแล้ว ความกลัวคือสิ่งที่อยู่ในใจของฉันนี่เอง มากกว่าความกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หากเรามีสติและใช้ปัญญาที่เรามี แก้ไขสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นจริง เราก็จะผ่านพ้นมันไปได้

ความกลัวของคนเมืองหรือคนสมัยใหม่ (modern human) มันลึกซึ้งกว่าการทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน ทั้งกลัวว่าจะไม่มีงาน กลัวว่าคนที่ทำงานกับเราจะแย่งผลงานของเรา กลัวเราเก่ง/ไม่มีความสามารถเท่าเทียมกับคนอื่น

การแข่งขันกันในที่ทำงาน ในสำนักงาน ผู้ที่ได้รับประโยชน์มักเป็นองค์กรหรือสถาบัน หรือจะชี้ให้ถูกจุดก็คือ คนที่เป็นเจ้าของบริษัทหรือสถาบันนั้น ยิ่งลูกน้องแข่งขันกันทำงานให้ดีมากเท่าไร ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน ชื่อเสียงก็ย่อมอยู่กับองค์กรนั้นๆ มากขึ้น

แล้วจะทำอย่างไรให้เรามีสติและใช้ปัญญากับความกลัวเหล่านั้นได้...จะมีอะไรดีไปกว่าการฝึก ใช้สติ และมีหลักธรรม คือความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นหลักในการไม่ทำร้ายกัน ซึ่งหากสถาบัน องค์กรใดๆ มีการสร้างระบบที่ดีก็จะช่วยให้คนที่แข่งขันกัน อยู่ในกฎ กติกา อย่างเช่น การสอบเพื่อให้ได้งาน มีความยุติธรรม ผู้เลือกและผู้ถูกเลือกเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ

แต่คนเราเดี๋ยวนี้ มักมีความสามารถ ความเก่ง มาอยู่แถวหน้าได้ จากการแข่งขันแล้วเป็นผู้ชนะที่เห็นได้ภายนอก ทั้งการเลื่อนตำแหน่ง การประกวด คนที่ได้ที่ 1 มีคนเดียวเสมอ หากการประกวด การสอบแข่งขัน หรือการเลื่อนตำแหน่งนั้น ไม่ได้ใช้ความยุติธรรมในมือของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ย่อมได้คนที่มีความสามารถ

หากเราเป็นคนที่แข่งขันในเกมนี้ แล้วเราเป็นผู้ชนะในเกม แล้วเราเอาชนะความกลัวในขณะที่เราแข่งขันมาได้อย่างไร บางคนภาคภูมิใจในการแข่งชนะ เพราะเขาแข่งด้วยความสามารถและสติปัญญาที่แท้จริง บางคนแม้จะชนะแต่ไม่ภาคภูมิใจเลยเพราะเขารู้ตัวว่า เขาไม่ได้ใช้สติปัญญาที่แท้จริงมาแข่ง เขาย่อมกลัว  กลัวว่าคนอื่นจะรู้ กลัวว่าแล้วเขาจะรักษาชัยชนะอย่างไร

นอกจากความกลัวและการแข่งขันนี้แล้ว ความกลัวยังเป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติ มนุษย์ที่อยู่ภายใต้ธรรมชาติที่โหดร้าย อย่างทะเลทราย นอกจากมีความรู้เรื่องการอยู่กับทะเลทราย พายุทะเลทรายแล้ว ยังพยายามสร้างเครื่องมือ การป้องกันตัวให้พ้นจากธรรมชาติที่โหดร้าย และสามารถใช้เครื่องมือ ความรู้เพื่อการอยู่รอดอีกด้วย

ความกลัว...นอกจากจะมีด้านไม่ดีแล้ว ยังมีด้านดี อันเป็นปัจจัยผลักให้มนุษย์ได้เรียนรู้ ไม่ต่างอะไรกับการที่พันธกุมภาเจอะเจอกับความกลัวที่หลุมศพ แล้วผ่านมันมาได้ แท้จริงแล้ว ไม่มีความกลัวใดในมนุษย์ เท่ากับความกลัวที่อยู่ในใจของตนเลย

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อได้ยิน...... “ทำไมคุณโง่แบบนี้” “งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว” “มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ” สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ..... ขณะที่คำชม อาทิ “คุณทำงานเก่งจัง” “ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐ “คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย” คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา มีเรื่องอยากเล่าให้พันธกุมภาฟัง... ช่วงที่ห่างหายกันไป พี่ยังติดตามข่าวคราวการทำงาน การเดินทาง และระลึกถึงเธออยู่เสมอ เพียงแค่รู้ว่าเธอสบายดี พี่ก็สบายใจ เมื่อไม่นานมานี้ พี่เดินทางไปเชียงใหม่ ไปกับกลุ่มคนที่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยกันบ้าง หลายคนเคยรู้จักกันมาก่อน หลายคนไม่ได้รู้จัก แม้ว่าจะรู้จักก็ตาม ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงเรื่องด้านในต่อกัน ไม่เหมือนเพื่อนบางคน แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมากนัก แต่เราก็ยังสนิทใจมากกว่า รู้สึกสัมผัสได้ถึงความอาทรที่มีต่อกัน...อย่างน้อง
พันธกุมภา
มีนา ถึง พันธกุมภา จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ได้รับจดหมายที่ส่งต่อๆ กันมา (Forward mail) ฉบับด้านล่างนี้ เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (เพราะนี่เข้าเดือนที่ 6ของปีแล้ว...)“สาส์นจากท่าน Dalai Lama ที่ได้กล่าวไว้สำหรับปี 2008 นี้ แล้ว…คุณจะได้พบกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่คุณจะยินดีมากข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาพี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี …
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาอย่าเพิ่งตกใจนะครับพี่ที่ผมจะขอระบายเรื่องรัก ให้พี่รับรู้.....
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาอายุ...วัย หากเราเพียงแบ่งแค่ผู้ใหญ่กับเด็กเหมือนกับสังคมทั่วๆ ไปเขามองกัน เราอาจจะมองเห็นคนแค่ 3 กลุ่มในช่วงชีวิต คือเด็ก วัยทำงาน และผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงของชีวิต ทั้งการเข้าสู่การเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตทั่วไป เราต้องเคารพคนที่อายุมากกว่าเราหรืออาจจะต้องนับถือคนที่อายุน้อยกว่าเราแต่มีคุณสมบัติมากกว่าคุณสมบัติทั้งการศึกษา การใช้ภาษาอังกฤษ ครอบครัวมีฐานะดี พ่อแม่เลี้ยงดูมาอย่างดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ พี่ขอเรียกว่าเป็น “คุณสมบัติทางโลก” ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “ความดี” ที่เมื่อก่อนได้รับการให้คุณค่าอย่างสูง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใด ความดีไม่มีอายุ หากแบ่งแยกกับความไม่ดี/…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาหาผมที่บ้าน เราสองคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี พอมาเจอกันอีกหนจึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้พบเจอกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อ “นนท์” พี่นนท์ เป็นรุ่นพี่ที่เคยสอนผมเต้นเชียลีดเดอร์ เมื่อตอนเรียนมัธยมต้น อายุของพี่นนท์ห่างจากผม 2 ปี พี่นนท์เป็นคนต่างหมู่บ้าน แต่เราอยู่ในตำบลเดียวกัน ผมค่อนข้างแปลกใจที่พี่นนท์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการพูด ท่าที การแสดงออก จากเมื่อก่อนที่ค่อนข้างกรี๊ดกร๊าด พูดไม่หยุด และชอบนินทาคนอื่นอยู่บ่อยๆ มาคราวนี้พี่นนท์ไม่เหมือนเดิม คือ นิ่งขึ้น ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ทำท่ารุกรี้รุกรนตอนคุยกันเหมือนเมื่อก่อน…
พันธกุมภา
มีนาถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภาความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอเมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน…
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง?…
พันธกุมภา
ลูกปัดไข่มุก ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....   “เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาจุดหมายปลายทาง การเดินทางธรรมของเธอครั้งนี้อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ที่...ซึ่งฉันไม่เคยไป หากหลายคนอยากไป ก็คงไม่ได้คิดถึงเรื่องการเดินทาง หากมักนึกถึงปลายทาง และในที่สุด...แม้รู้ว่าเธออาจจะเดินทางถึงวัดป่าสุคะโตแน่นอน เธอก็น่าจะเรียนรู้ระหว่างทางดังที่เธอเล่าให้เราฟังฉันเคยพูดถึงเรื่องความกลัวระหว่างการเดินทาง “ในความกลัว” มาก่อนแล้ว ด้านหนึ่งฉันนึกเสมอว่า คนธรรมดาทั่วไปอย่างฉัน ร่ำเรียนมาด้วยวิธีคิดแบบมีเป้าหมาย โดยไม่สนใจระหว่างทาง หรือกระบวนการเรียนรู้ก่อนที่จะถึงเป้าหมาย ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว “ระหว่างทาง” เป็นสิ่งสำคัญมาก…