นับตั้งแต่ต้นปี ๒๐๑๓ มีข่าวพระราชินีเบียอาทริซของเนเธอร์แลนด์สละราชสมบัติให้ลูกชายเป็นกษัตริย์ต่อ ต่อเนื่องด้วยโป๊ปเบเนดิกท์ที่ ๑๖ ลาออกจากตำแหน่งสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
ทั้งสองคนได้ให้เหตุผลการลาออกไปในทิศทางเดียวกัน คือ เรื่องอายุ สุขภาพ และโลกที่เปลี่ยนไปตามกาลสมัย
ปัญหาเรื่องกษัตริย์ชราภาพมากจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ปัญหาเรื่องถึงเวลาแล้วที่กษัตริย์ควรสละราชสมบัติให้รัชทายาทขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์แทน คงไม่เกิดขึ้นในประเทศภูฏาน
ใช่... เป็นประเทศภูฎานที่คนไทยจำนวนมากคลั่งไคล้กษัตริย์หนุ่มรูปงาม ประเทศภูฎานที่คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าเขาลอกเศรษฐกิจพอเพียงและรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของราชอาณาจักรไทยไป
รัฐธรรมนูญภูฎาน มาตรา ๒ วรรค ๖ กำหนดว่า หากกษัตริย์ (เรียกว่า Druk Gyalpo) อายุ ๖๕ ปี ต้องพ้นจากตำแหน่ง และให้มกุฎราชกุมาร หรือ มกุฎราชกุมารี (แล้วแต่กรณี) ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นกษัตริย์แทน
พูดง่ายๆ คือ กษัตริย์ภูฏานเกษียณอายุที่ ๖๕ ปี
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญภูฏานยังกำหนดกลไกการปลดกษัตริย์ออกจากตำแหน่งไว้ด้วย
สมาชิก ๒ ใน ๓ ของสภาขอให้พิจารณามติว่า กษัตริย์ละเมิดรัฐธรรมนูญ หรือ กษัตริย์อยู่ในสภาวะไร้ความสามารถอย่างถาวร จากนั้นกษัตริย์หรือผู้แทนกษัตริย์ ก็จะมาชี้แจงที่สภา
หากสภาลงมติด้วยเสียง ๓ ใน ๔ ว่ากษัตริย์ละเมิดรัฐธรรมนูญหรือ กษัตริย์ไร้ความสามารถ ก็จะไปสู่ขั้นตอนของการออกเสียงประชามติ
หากประชาชนผู้มาออกเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ลงมติตามที่สภามีมติมา กษัตริย์ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง และให้รัชทายาทเป็นกษัตริย์แทน
ภูฎานเขียนไว้ในมาตรา ๑ วรรค ๒ ว่า ภูฎานปกครองในระบอบ Constitutional Monarchy บทบัญญัตินี้รัฐสภาห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลง หากจะแก้ ต้องใช้วิธีการออกเสียงประชามติเท่านั้น ดังนั้น หากภูฏานจะเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐก็ทำได้ โดยใช้การออกเสียงประชามติ