การใช้ก๊าซในโครงการไทย-มาเลเซีย : คำเตือนที่เป็นจริง

1. คำนำ


เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่าจะอ่านบทความนี้ต่อไปหรือไม่ ผมขอนำประเด็นสำคัญมาเสนอก่อน  ประเด็นคือการวางแผนผลิตก๊าซที่ผิดพลาดทำให้คนไทยทุกคนต้องควักเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น

จากรายงานประจำปี 2551 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พบว่า ในปี 2551 บริษัท ปตท. ต้องจ่ายค่า
"ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย" ก๊าซจากโครงการไทย-มาเลเซีย (ซึ่งเป็นโครงการสร้างความขัดแย้งมาตั้งแต่รัฐบาลชวน หลีกภัย และทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน) เป็นจำนวน 13,716 ล้านบาท


นอกจากนี้ค่าไม่ซื้อก็ต้องจ่ายจากโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า(ที่คาราคาซังกันกันมาตั้งแต่ปี 2541) ก็ยังเรียกคืนได้ไม่หมด ยังคงเหลืออีกหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท รวมทั้งสองรายการทาง ปตท. ต้องจ่ายไปแล้วถึงประมาณ 2 หมื่น 4 พันล้านบาท

2. ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่ายคืออะไร?

ในการซื้อขายก๊าซระหว่างผู้ผลิต(ผู้ขุดในทะเล)กับผู้ซื้อมาขายต่อ(คือ ปตท.-ผูกขาดรายเดียวในประเทศ) ต้องมีสัญญาที่เรียกว่า
"ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย" กล่าวคือสัญญาต้องบังคับไว้ล่วงหน้าว่าในแต่ละปีผู้ซื้อจะต้องซื้อก๊าซจำนวนเท่าใด ถ้าหากผู้ซื้อมีความจำเป็นที่ไม่สามารถรับซื้อได้ครบตามสัญญา ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายเงินให้ครบตามจำนวนที่ได้ระบุไว้   เมื่อใดก็ตามที่ผู้ซื้อมีความจำเป็นมากขึ้น (เกินกว่าที่ระบุในสัญญา) ส่วนที่เกินก็ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพราะถือว่าได้จ่ายไปแล้ว

ปตท.เรียกเงินส่วนนี้เพื่อให้ฟังดีขึ้นว่า
"เงินจ่ายล่วงหน้าซื้อก๊าซ" แต่สาระก็เหมือนที่ผมกล่าวมาแล้วนั่นแหละครับ

โครงการท่อก๊าซไทย-พม่า ปตท.ก็ต้องเสียเงินส่วนนี้มาตลอด นับตั้งแต่ปี 2541 ที่เริ่มโครงการ ในปี 2544 ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่ายได้สูงถึง  29
, 257.9  ล้านบาท  เงินจำนวนนี้ก็ค่อย ๆ ลดลงเมื่อมีการใช้มากกว่าจำนวนที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ในปี 2551 เงินจำนวนนี้ได้ลดลงมาอยู่ที่ 10,339.89  ล้านบาท

ถ้าถามว่า จ่ายเงินล่วงหน้าแล้วเสียหายตรงไหน? คำตอบก็คือค่าดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สมมุติว่าโดยเฉลี่ย ค่าไม่ซื้อก็ต้องจ่ายมีค่าคงที่คือ 2 หมื่นล้านบาท ถ้าอัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 6 ต่อปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เงินรวมก็จะเป็นประมาณ 3 หมื่น 6 พันล้านบาท

ไม่ใช้น้อยเลยเมื่อเทียบกับกำไรหลังการแปรรูปปีละ 1 แสนล้านบาทของ ปตท. ทั้งหมด

สำหรับโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ปีที่ผ่านมาเพิ่งเป็นปีแรกของสัญญารับก๊าซที่ผู้ซื้อคือ ปตท. จะต้องรับ  ในปีต่อ ๆ ไปจะเสียเพิ่มขึ้นแค่ไหน ผมจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่จะขอย้อนอดีตให้ท่านผู้อ่านทราบว่า
"ภาคประชาชน" และตัวผมเองได้เคยเตือนว่าอย่างไรบ้าง

3. คำเตือนในอดีต

โปรดอย่าคิดว่าเป็นการ
"ฟื้นฝอยหาตะเข็บ"  หรือหาเรื่อง ปตท.  แต้ถ้าเรายังยืนยันที่จะสร้างสังคมใหม่หรือ "การเมืองใหม่" เรื่องนี้คือบทบาทที่จำเป็น (แต่ยังอ่อนด้อยอย่างมาก) ของสังคมไทย

โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ได้รับการคัดค้านทั้งจากชาวบ้านในพื้นที่ กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา นักวิชาการกว่า 1,300 คนทั่วประเทศ  ขณะเดียวกันผู้คัดค้านบางส่วนก็ได้รับการประณามจากสื่อมวลชนบางส่วนและสังคมว่า  "ผู้คัดค้านเป็นพวกขัดขวางการพัฒนา พวกรับเงินต่างชาติ"

เมื่อเดือนมกราคมปี 2545  พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ลงมาพบกลุ่มผู้คัดค้านถึงพื้นที่โครงการ พร้อมบอกกับชาวบ้านว่า
"ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรจะต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจได้"

ผมและเพื่อนอาจารย์อีก 3 ท่านได้มีโอกาสไปชี้แจงให้นายกฯฟังจนดึก ผมรู้สึกว่านายกฯเห็นด้วยกับการนำเสนอของ
"นักวิชาการกลุ่มคัดค้าน"

หลังจากนั้นอาจารย์ทั้ง  4 คนก็ได้รับเชิญจากคณะทำงานของนายกทักษิณ ชินวัตร (หรือคณะ
"53 นายพล")   ให้ไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในฐานะฝ่ายคัดค้านกับข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องอีกหลายกรม รวมทั้ง ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติในขณะนั้นด้วย

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นอย่างเข้มข้นนานกว่า 7 ชั่วโมง ก่อนปิดการประชุม พลเอก ชัยศึก เกตุทัต (ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการของ ปตท. ที่มีเบี้ยประชุมครั้งละกว่า 4 หมื่นบาท) ในฐานะประธานได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการคนอื่น ๆ ที่ร่วมรับฟังด้วยแสดงความเห็นบ้าง ปรากฏว่ามีข้าราชการสายวิชาการท่านหนึ่งและเพียงท่านเดียวเท่านั้นได้ยกมือแสดงความคิดเห็นอย่างชัดถ้อยชัดคำสั้น ๆ ว่า
"เรื่องก๊าซผมเห็นด้วยกับฝ่ายคัดค้านเพราะมีเหตุผลและยังไม่มีความจำเป็นในขณะนี้  
ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากท่านประธานฯ นอกจาก "ปิดประชุม"

ผมทราบในเวลาต่อมาว่า ข้าราชการท่านนี้ได้ลาออกจากราชการหลังจากนั้นไม่นานนัก  เรื่องที่ผมนำมาเล่าทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าเป็นข่าวในสื่อมวลชน  ถ้าจะถามเหตุผลว่าเพราะอะไรก็คงคิดได้ไม่ยากนะครับ

โดยสรุป สิ่งที่นักวิชาการฝ่ายคัดค้านได้เตือนไว้สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซไทย-พม่าและ ไทย-มาเลเซียก็เป็นจริงตามที่กล่าวแล้ว

อนึ่ง เท่าที่ผมค้นพบจากอินเทอร์เน็ตทราบว่า ปตท. จะสร้างท่อก๊าซไทย-พม่าอีกเส้นหนึ่ง เป็นเส้นที่สามให้แล้วเสร็จในปี  2555  จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ก็ต้องฝากให้สังคมช่วยกันติดตามนะครับ

4. ยังมีความเข้าใจผิดพลาดในโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียอีก

สังคมไทยถูกทำให้เชื่อโดยเจ้าของโครงการและหน่วยงานของรัฐว่า โครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เป็นการนำก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างสองประเทศมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและพัฒนาภาคใต้ โดยมีการลงทุนกันฝ่ายละครึ่งและใช้ประโยชน์กันฝ่ายละครึ่งหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า  
"50:50"  แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  

ความจริงคือก๊าซในทะเลที่เป็นส่วนของไทยให้นำไปใช้ที่มาบตาพุด ส่วนก๊าซของมาเลเซียให้นำมาแยกที่ประเทศไทยแล้วนำไปใช้ที่มาเลเซียผ่านแผ่นดินประเทศไทย แผนที่ข้างล่างนี้(มาจากคำบรรยายของดร.คุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน 24 มีนาคม 2551) คงจะยืนยันในสิ่งที่ผมพูดได้

พื้นที่ในภาพที่เขียนว่า JDA ทางขวามือด้านล่างคือแหล่งก๊าซที่ว่าครับ   ก๊าซของไทยไปตามท่อไปทางทิศเหนือผ่านแหล่ง ARTHIT ไม่ได้มาขึ้นฝั่งที่สงขลาเห็น ๆ กันอยู่

อนึ่ง มีการอ้างกันว่า ก๊าซของไทยส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ที่โรงไฟฟ้าสงขลา เรื่องนี้เป็นความจริงครับ แต่จริงไม่หมด  ในขณะที่ทีการดำเนินการสร้างท่อก๊าซ โรงไฟฟ้ายังไม่อยู่ในแผน แผนสร้างโรงไฟฟ้ามาทีหลังเพื่อให้โครงการดูดีเท่านั้นเอง แต่ก็สร้างผลกระทบเรื่องโรงไฟฟ้ามากเกินไปตามมาอีก(ไม่ขอกล่าวในที่นี้)  มีผู้ที่ติดตามเรื่องท่อก๊าซมานานคนหนึ่งบอกผมว่า "ก๊าซที่นำมาใช้กับโรงไฟฟ้าเป็นก๊าซของไทยที่ไม่ได้ผ่านโรงแยกก๊าซ แต่ต่อท่อตรงมาจากแหล่งในทะเล ไม่ใช่ท่อที่ผ่านไปมาเลเซีย"

เท็จจริงอย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดชี้แจงด้วย

5. ค่าผ่านท่อกับ "อำนาจมหาชนของรัฐ"

หลังจากศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินว่า ส่วนใดที่ทาง ปตท.(ก่อนการแปรรูป) ได้ใช้ "อำนาจมหาชนของรัฐ"  ไปเวนคืนที่ดิน เมื่อแปรรูปแล้วให้ ปตท. คืนเป็นสาธารณะสมบัติ

กล่าวเฉพาะ "โครงการไทย-มาเลเซีย" ก็มีการใช้อำนาจมหาชนของรัฐเช่นกัน ท่อก๊าซวางทั้งในทะเล ทางหลวงแผ่นดิน ฯลฯ   ทาง ปตท. ก็ไม่ยอมคืน

ขณะเดียวกัน เงินที่ได้จากค่าผ่านท่อนำก๊าซไปให้มาเลเซียใช้ซึ่งคิดเป็นประมาณวันละ 29 ล้านบาทก็ต้องแบ่งให้ทางมาเลเซียครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งให้กับบริษัท ปตท.

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง ปตท.ได้ประกาศขึ้นค่าผ่านท่อทั้งประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไปจากเดิมคิดในอัตรา 19.74 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู หรือเพิ่มขึ้น 2.02 บาท โดยคิดผลตอบแทนการลงทุน (ROE) สูงกว่าค่ามาตรฐาน คือ คิดถึงร้อยละ 18 และคิดต้นทุนเงินกู้ที่อัตรา 10.5 ต่อปี (แทนที่จะเป็นร้อยละ 6 อย่างที่ผมสมมุติ)

ค่าผ่านท่อในอัตราใหม่นี้ ทำให้เกิดต้นทุนในค่าไฟฟ้าถึง 18 สตางค์ต่อหน่วยไฟฟ้า การกำหนดผลตอบแทนสูงเกินกว่าธุรกิจอื่น ๆ และการขึ้นค่าผ่านท่อดังกล่าวย่อมส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นอย่างแน่นอน

สิ่งที่ติดใจผมมากในขณะนี้ก็คือ  "การใช้อำนาจมหาชนของรัฐไทย" ไปเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศมาเลเซียนะซิ มันเป็นไปได้อย่างไร ใครก็ได้ช่วยตอบผมที!

“คดีโลกร้อน” กับ “เทวดาท่าจะบ๊องส์”

 

 

“คดีโลกร้อน”
เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย 

ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

ใช้ไฟฟ้าอย่างไร จึงได้ประโยชน์จากรัฐบาล “ประชานิยม”

22 December, 2010 - 12:08 -- prasart
 
 
ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี

ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว

บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย

ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท สองราย พบว่าแต่ละรายใช้ไฟฟ้าเกิน 90 หน่วยไปเพียงเล็กน้อย  เมื่อเป็นดังนี้ ผู้ใช้ต้องจ่ายทั้งหมด เช่น ใช้ไป 112 หน่วย ก็ต้องจ่ายทั้งหมด 112 หน่วย ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่เกินจาก 90 หน่วยเท่านั้น

ค่าไฟฟ้าสำหรับ 112 หน่วย คิดเป็นเงิน 350 บาท (ในจำนวนนี้เป็นค่าเอฟทีหน่วยละ 92 สตางค์หรือ 103.04 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 22.89 บาท หมายเหตุ ในเดือนตุลาคม 2550 ค่าเอฟทีหน่วยละ 66 สตางค์) ผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งสองต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า “เงิน 350 บาทนี้ไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุคนละ 500 บาทต่อเดือน”

จากการพูดคุยดังกล่าวจึงเกิดเป็นโจทย์ให้ต้องขบคิดว่า “จะต้องใช้ไฟฟ้าอย่างไร จึงไม่เกิน 90 หน่วย” เราจึงเริ่มต้นด้วยการสำรวจเครื่องใช้ไฟฟ้าและกำลังของแต่ละชนิด        

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น ได้แก่ หลอดไฟฟ้า (หลอดละ

18 วัตต์) หม้อหุงข้าว (750 วัตต์) โทรทัศน์สี (120 วัตต์) พัดลมตั้งโต๊ะ (50 วัตต์) ตู้เย็น (125 วัตต์ ขนาด 7 คิว ใช้ไฟฟ้าเดือนละ 37 หน่วย) เครื่องซักผ้า (330 วัตต์) เตารีดผ้า (1,200 วัตต์) กระติกต้มน้ำ (750 วัตต์) และเครื่องบดเครื่องแกง (140 วัตต์)

ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ: ภาคกิจการไฟฟ้า

25 November, 2010 - 12:48 -- prasart

 

 

คำนำ

เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน

เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า 
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ”

ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง
“ความเหลื่อมล้ำ” ทางการกระจายรายได้ และการถือครองที่ดิน ฯลฯ นอกจากนี้ ผมได้ติดตามแถลงการณ์ของ “กลุ่มเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายอีก 37 องค์กร”  พบว่าไม่มีประเด็นที่บทความนี้จะกล่าวถึงแต่อย่างใด

การจะ
“ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ได้ เราจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจในกลไกการใช้อำนาจรัฐ และที่มาของความเหลื่อมล้ำกันก่อน
 

ภัยธรรมชาติถี่ขึ้น เพราะโลกร้อนขึ้น : คำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และบริษัทประกันภัย

15 November, 2010 - 10:33 -- prasart
 

“...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”  

“ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”
 

โรงไฟฟ้าถ่านหินหัวไทร: โหมเราเอาพรื่อ หรือว่าเรา “เต้นตามจังหวะกลองที่เขาตี”?

28 October, 2010 - 13:02 -- prasart
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์ 

ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า

1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด