Skip to main content

ทั้ง ๆ ที่ประเทศเรากำลังประสบกับวิกฤติหลายด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง วิกฤติเศรษฐกิจ และการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นต้น แต่สื่อกระแสหลักก็ให้ความสำคัญกับข่าวความขัดแย้งในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมทั้งความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีอะไรใหม่สร้างสรรค์ให้กับสังคม


จริงอยู่ เรื่องความขัดแย้งดังกล่าวก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่ประเด็นอื่น ๆ ก็สำคัญที่สื่อต้อง “ทำความจริงให้ปรากฏ” ต่อสังคมนี้ด้วย มิเช่นนั้นสื่อก็จะถูกทำให้หลงลืมประเด็นอื่น ๆ ที่สำคัญของประเทศไปด้วย เช่น


การที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตระบายน้ำจากเขื่อนเดียวเพื่อทดแทนกำลังการผลิตจากก๊าซธรรมชาติที่อ้างว่ามีปัญหาประมาณ ๑ ใน ๓ ของกำลังการผลิตทั้งประเทศนั้นเป็นไปได้จริงหรือ และถ้าเป็นไปได้จริงแล้ว ทำไมเราต้องมีเขื่อนผลิตไฟฟ้ามากมายหลายสิบเขื่อน


นอกจากนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม หน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตหรือพ่อค้าก๊าซ (ปตท.หรือบริษัทขุดเจาะ) รวมทั้งเรื่องที่ถ้าเราใช้ก๊าซไม่ครบตามสัญญาที่ได้ทำไว้ เราก็ต้องเสียค่า “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” แล้วในคราวนี้เป็นกรณีนี้ผู้ขุดเจาะก๊าซในทะเลจะต้องจ่ายค่า “ส่งไม่ได้ตามสัญญา” หรือไม่


ใครทราบบ้างครับ
ผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทำไมสื่อกระแสหลักจึงคิดคำถามเหล่านี้ไม่ออกกันเลย


ในเรื่องค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ผมเองได้เขียนบทความและบรรยายหลายครั้ง (สื่อหลายสำนักก็ฟังอยู่) ว่า ในช่วง ๑๕ ปีมานี้ (๒๕๓๖ ถึง ๒๕๕๑) ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประมาณร้อยละ ๑๐ เป็นร้อยละ ๒๐ ของจีดีพี ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการพัฒนาประเทศกันเลยแล้ว ในอีก ๑๕ ปีข้างหน้าค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใด เราจะเอาเงินที่ไหนไปใช้จ่ายด้านการศึกษา การพัฒนาอื่น ๆ


ทำไมสื่อกระแสหลักจึงไม่ให้ให้ข้อมูลกับสังคมและสร้างกระแสสังคมให้มาร่วมกันขบคิดเพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาประเทศ


หรือในประเด็นที่ทางกรรมาธิการต้านการคอร์รัปชันและเสริมสร้างธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ได้ตั้งข้อสงสัยในเรื่องการประเมินราคาท่อก๊าซที่ไม่ชอบมาพากล รวมทั้งการกำหนดราคาน้ำมันสำเร็จรูปสูงกว่าประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น


โปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กเพราะส่วนต่างไม่กี่สตางค์ต่อลิตร แต่พี่ไทยเราบริโภคน้ำมันปีละกว่าสี่หมื่นล้านลิตรนะครับ แค่ค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ (แต่ไม่ได้มีการขนส่งจริง เพราะน้ำมันดิบส่วนหนึ่งขุดได้ในบ้านเราเอง) ก็ปาเข้าไปปีละเกือบ ๓ พันล้านบาทแล้ว


ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า เรื่องที่ผมเล่ามาแล้ว ไม่เห็นจะตรงกับชื่อบทความที่ตั้งไว้เลย

ก็เป็นความจริงครับ แต่ก็เพราะสื่อกระแสหลักไม่ได้สนใจเรื่องที่ผมได้กล่าวมาแล้ว เรื่องสำคัญ ๆ ที่เป็นทางออกจากวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศเราจึงไม่ปรากฏต่อสาธารณะด้วย


เพื่อให้เราได้เห็นภาพของการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นทางออกจากวิกฤติพลังงานของเพื่อนร่วมโลก (และเป็นทางออกของประเทศไทยด้วย) ผมขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการสร้างกังหันลมในทะเลของประเทศเยอรมนีมานำเสนอบ้าง


ข่าวนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง ยังไม่สายกับข่าวที่ดี ๆ อย่างนี้

ฯพณฯ Sigmar Gabriel รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของสหพันธรัฐเยอรมนี (๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๒) ได้เปิดแถลงข่าวที่บริเวณก่อสร้างกังหันลม ในทะเลเหนือที่มีน้ำลึกถึง 30 เมตรโดยอยู่ห่างออกไปจากชายฝั่งเป็นระยะทางถึง ๔๕ กิโลเมตร
 


กังหันลมชุดนี้ประกอบด้วย ๑๒ ตัว ขณะนี้เสร็จและสามารถจ่ายกระแสไฟเข้าระบบแล้วจำนวน ๕ ตัว การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นเมื่อกลางเดือนเมษายนปีนี้ โดยจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมปีนี้ แต่ละตัวมีกำลังการผลิต ๕ เมกะวัตต์
(ผมเข้าใจว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมี) คาดว่าไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดปีละ ๒๒๐ ล้านหน่วย (ประมาณ ๐.๑๖% ของที่คนไทยใช้ทั้งประเทศ) ซึ่งจะเพียงพอสำหรับชาวเยอรมนี ๕ หมื่นครัวเรือนหรือ ๑ แสน ๕ หมื่นคน


ค่าก่อสร้างทั้งโครงการคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๑๒,๕๐๐ ล้านบาท เส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัดประมาณ ๑๑๖ เมตร น้ำหนักไม่รวมเสาตัวละ ๓๐๐ ตันกังหันจะเริ่มทำงานเมื่อลมมีความเร็ว ๓.๕ เมตรต่อวินาที และจะหยุดทำงานเมื่อความเร็วลมเกิน ๒๕ เมตรต่อวินาที


ข้อมูลความเร็วลมแถบชายฝั่งของประเทศไทยประมาณ ๕ เมตรต่อวินาที ซึ่งในทะเลความเร็วลมจะแรงกว่าชายฝั่ง

 




ข้อดีของการก่อสร้างกันหันลม คือใช้เวลาไม่นาน
(๗ เดือนจากเมษายนถึงตุลาคม) ต่างจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติซึ่งต้องใช้เวลานานถึง ๕-๖ ปี


ดีไม่ดี พอสร้างเสร็จเศรษฐกิจทรุด ส่งผลให้กำลังการผลิตเหลือถึง ๕๐% ในช่วงปี ๒๕๔๐ เป็นต้น


ปัจจุบันเยอรมนีผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมคิดเป็นประมาณ ๑๔% ของที่ใช้ทั้งประเทศ โดยเพิ่มขึ้นจากสองปีก่อนถึงเกือบ ๓%


ปัจจุบันพื้นที่บนบกของเยอรมนีไม่ค่อยจะเหลือให้สร้างกังหันลมได้อีกแล้ว จึงมีการส่งเสริมให้ไปสร้างในทะเล ทั้ง ๆ ที่การก่อสร้างจะแพงกว่าปกติ


แต่เขาก็สามารถทำได้โดยใช้กฎหมายฉบับหนึ่งที่เรียกว่า Feed in Law เนื้อหาสาระของกฎหมายฉบับนี้มีว่า ทุกคนที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน(ที่ไม่เป็นพิษ) ได้ หน่วยงานกลางที่จัดการไฟฟ้าต้องรับซื้อเพื่อนำเข้าสายส่งไปขายต่อให้ผู้บริโภค โดยมีสัญญารับซื้อประมาณ ๒๐ ปี ในช่วง ๕ ปีแรกให้ซื้อในราคาแพงหน่อย (เพื่อให้ได้ทุนคืนเร็ว ๆ) ทีใดที่มีการลงทุนสูง เช่น ในทะเล ก็ให้รับซื้อในราคาแพงหน่อย ที่ใดลมดีมากก็รับซื้อถูกลงหน่อย


เมื่อกลางปีที่แล้ว ได้มีการปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้ให้ดีขึ้น เช่น ฟาร์มใดใช้เทคโนโลยีไม่ทันสมัย ให้รื้อทิ้งเพื่อสร้างใหม่ แล้วจะรับซื้อไฟฟ้าในราคาที่แพงกว่าเดิม


โดยสรุปเขาออกกฎหมายเพื่อให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสามารถแข่งขันได้กับถ่านหินที่ปล่อยมลพิษมาทำลายชุมชน ทำให้โลกร้อน


ต่างจากการบวกค่าไฟฟ้าเพิ่มเพียงอย่างเดียวในบ้านเราที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานมากเลยครับ

เรื่องแบบนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นในบ้านเราสัก ๑๕% ของปริมาณไฟฟ้าที่คนไทยใช้จะเกิดอะไรขึ้น


คนไทยใช้ไฟฟ้าปีละ ๔ แสนล้านบาท ถ้าลดการใช้ก๊าซธรรมชาติ(ที่ผูกขาด) แล้วหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน (เช่น ลม ชีวมวล ขี้หมู) สัก ๑๕% คิดเป็นเงินกระจายตัวปีละ ๖ หมื่นล้านบาท


สังคมนี้จะน่าอยู่ขึ้น จะมีการจ้างงานนับแสนตำแหน่ง มลพิษจะลดลงเยอะ
ทำไมสื่อกระแสหลักไม่เล่นเรื่องนี้บ้าง
?

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org