Skip to main content

1. คำนำ


เมื่อกลางเดือนธันวาคม ปี 2552 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุม “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” ในงานนี้ได้มีโอกาสฟังปาฐกถาจากประธานศูนย์ศึกษาประเทศภูฎาน คือท่าน Dasho Karma Ura

ท่านบรรยายพร้อมนำเสนอด้วยเพาเวอร์พอยต์จำนวนกว่าร้อยแผ่น แต่ท่านมีเวลาพูดน้อยมากเมื่อเทียบกับเนื้อหาที่มีทั้งความลึกซึ้งและทั้งกว้างขวางหลายมิติ ในระหว่างการบรรยาย ถึงแม้ว่าจะมีล่ามแปลเป็นภาษาไทย แต่ผมเรียนตามตรงว่า “ผมตามไม่ทันครับ” ไหนจะภาษาอังกฤษของผมซึ่งไม่แข็งแรงพอ ไหนจะความยากของเนื้อหา รวมทั้งประเพณีและวัฒนธรรม


บัดนี้เวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว ผมก็ยังไม่เห็นสื่อกระแสหลักสำนักใดได้นำเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากนี้มาเล่าใช้สาธารณะทราบเลย รวมทั้งยังไม่เห็นเอกสารสรุปเนื้อหาของผู้จัดประชุม


หัวข้อที่ท่านบรรยายคือ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความสุขมวลรวมประชาชาติ (Introduction to Gross National Happiness-GNH)”


หลังจากที่ผมได้ค้นคว้าหาเอกสารของท่านรวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ผมจึงขออาสานำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบเป็นการเบื้องต้น อย่างน้อยก็เพื่อให้บางท่านได้มีโอกาสทราบ แล้วช่วยกันค้นหาเพิ่มเติมมาสู่สังคมไทยในวงกว้าง หากผมเข้าใจอะไรผิดพลาดก็ต้องอภัยดัวยครับ


แต่ก่อนที่ผมจะลงไปในเนื้อหา ผมขอเสนอสไลด์ของท่านผู้บรรยายมาให้ชมกันก่อนสักรูป ซึ่งผมเพิ่งทราบความหมายเมื่อสักครู่นี้เองจาก youtube จากท่าน ว.วชิรเมธีที่ได้ไปเยือนประเทศภูฎานมานานครึ่งเดือน (ท่าน ว. ยืนยันว่าคนในประเทศเขาออกเสียงเรียกประเทศว่า ภู-ถาน ไม่ใช่ ภู-ทาน ตามราชบัณฑิตไทย) ชมภาพก่อนครับ


ภาพนี้เป็นปริศนาธรรม เป็นนิทานพื้นบ้านที่เกือบจะเป็นนิทานประจำชาติ เรื่อง 4 สหายสมานฉันท์” คือ ช้าง ลิง กระต่าย และ นก ต่างก็อยากจะกินผลไม้รสดีที่อยู่บนที่สูงมาก ลำพังสัตว์แต่ละตัวไม่สามารถเก็บมากินได้ ต่อให้เป็นช้าง หรือนกก็เถอะ ทางเดียวที่จะทำได้คือต้องต่อตัวกันดังในรูป


 

เรื่องนี้อาจเป็นคติเตือนใจสำหรับบ้านเราในปัจจุบันนี้ได้ เขียนมาถึงนี้ทำให้นึกถึงนิทานการเมืองเรื่อง “ลิงกับเต่า” ที่ผมได้เล่าไว้เมื่อหลายปีแล้ว (ค้นได้จาก google.com)

 

2. ทำไม จีดีพีจึงใช้วัดความสุขไม่ได้?


ในขณะที่ประเทศไทยนิยมวัดความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศโดยใช้จีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ-Gross National Products- หรือรายได้ประชาชาติตามนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักของโลก) ท่านกรรมา อุระ (Karma Ura - คำว่า Dasho เป็นตำแหน่งอะไรสักอย่างซึ่งประธานที่ประชุมบอกแล้วแต่ผมฟังไม่ทัน) เห็นว่า จีดีพีไม่สามารถวัดสิ่งที่เป็นเชิงคุณภาพ เช่น ความสุขและความมีสวัสดิภาพที่ดี (well-being) ได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถวัดคุณค่าของการใช้ “เวลาว่าง” เช่น การชื่นชมงานศิลป์ เป็นต้น


สิ่งที่น่าคิดก็คือ จีดีพี ไม่นับรวมการทำงานทั้งหลายที่ไม่ได้รับเงิน เช่น งานแม่บ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน ดูแลเด็ก-คนแก่ ในครัวเรือนด้วย


เล่ามาถึงตรงนี้ ผมขอขยายความด้วยความคิดของ โจเซฟ สติกลิตซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ซึ่งได้ยกตัวอย่างให้เราเห็นความล้มเหลวของการยึดจีดีพีเป็นหลักว่า ถ้ามีการสลับแม่บ้านกันทำงานพร้อมกับจ่ายค่าจ้างให้กันและกัน จะทำให้จีดีพีของประเทศนั้นเพิ่มขึ้นเยอะเลย


ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความสุขกับจำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการทำงาน และรายได้ที่รับของคนในแต่ละวัย (ตั้งแต่น้อยกว่า 15 ปีจนถึงมากกว่า 75 ปี) ท่านกรรมา อุระ ได้นำเสนอให้เราต้องประหลาดใจว่า ในช่วงที่คนเรามีรายได้สูงสุดในชีวิตกลับเป็นช่วงที่คนมีความสุขน้อยที่สุด ดังแสดงในกราฟข้างล่างนี้

 

 

จากกราฟเราจะเห็นว่า ในช่วงที่คนเรามีรายได้สูงสุดและมีชั่วโมงทำงานมากที่สุด (คือช่วงอายุ 36 ถึง 45 ปี) นั้น เป็นช่วงที่ความสุขของคนเราน้อยที่สุด


เรื่องนี้ก็คล้าย ๆ กับประโยคที่คนค่อนไปทางวัยชราพูดกันบ่อย ๆ ว่า “ตอนที่ผมอยากกิน ผมไม่มีเงินพอจะซื้อ แต่พอถึงตอนที่ผมมีเงินซื้อ หมอบอกว่ากินไม่ได้”

 

3. องค์ประกอบหลัก 9 ด้านของจีเอ็นเอช (GNH)


เท่าที่ผมค้นเจอพบว่า แนวคิดเกี่ยวกับความสุขมวลรวมประชาชาติของประเทศภูฎาน (ประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรประมาณ 6 แสนคน อยู่ทางเหนือประเทศอินเดียแต่อยู่ใต้ประเทศจีน) ได้ริเริ่มมาประมาณ 37 ปีมาแล้ว เพื่อที่จะพยายามให้ความหมายเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของชาวภูฎาน แต่เพิ่งมาประกาศใช้เป็นดัชนีชีวัดอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2551 ในสมัยพระมหากษัตริย์หนุ่มที่คนไทยเราให้ชื่นชมในพระราชจริยวัติ (สมัยที่ยังเป็นมกุฎราชกุมารภูฎาน) เป็นอย่างมาก (His Majesty Jigme Khesar Namgyel Wangchuck)


ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว นักคิดนักเคลื่อนไหวในสังคมไทย (รวมทั้งองค์การอนามัยโลกด้วย) ได้ริเริ่มนำคำว่า “สุขภาวะ” ซึ่งหมายถึง สภาวะที่เป็นสุข 4 ด้าน คือ สุขกาย สุขใจ สุขทางสังคม และสุขทางปัญญา ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่กว้างขวางกว่าแนวคิดเรื่องจีดีพีมาก อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ถือว่ายังไม่ชัดเจนพอเมื่อเทียบกับแนวคิดของประเทศภูฎานซึ่งจะกล่าวถึงต่อไปนี้


แนวคิด NGH มีองค์ประกอบทั้ง 9 ด้าน (หรือ 9 โดเมน-domain) พร้อมระดับความสำคัญที่วัดเป็นร้อยละที่ส่งผลต่อความสุข (เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย) ได้แสดงไว้ในตาราง

 

องค์ประกอบ

ร้อยละ

1. การใช้เวลา (Time-use) ทั้งการทำงานที่ได้เงินและไม่ได้เงิน การนอน

13

2. ธรรมาภิบาล (Good governance) ความเชื่อมั่นในองค์กรรัฐ การคอร์รัปชัน

12

3. สุขภาพ (Health)

12

4. วัฒนธรรม (Culture)

12

5. ความเข้มแข็งของชุมชน (Community vitality)

12

6. มาตรฐานการดำเนินชีวิต (Living standards)

11

7. ความรู้สึกมีสวัสดิภาพ (Psychological wellbeing)

11

8. นิเวศวิทยา (Ecology)

10

9. การศึกษา (Education)

7

รวม

100

 

จากตารางเราพบว่า การใช้เวลาเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสุขของคนเรามากที่สุด มากกว่าการศึกษา (ซึ่งน้อยที่สุด) ถึงเกือบเท่าตัว


ผมพยายามค้นหารายละเอียดในแต่ละด้านพบว่า ในแต่ละด้านมีความลึกซึ้งมากครับ ผมเองนอกจากจะไม่มีความสามารถในภาษาอังกฤษที่ดีพอแล้ว ผมยังไม่มีความลึกซึ้งในวิชาการที่เกี่ยวข้องมากพอครับ ผมทราบจากประธานที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติว่า ขณะนี้มีกลุ่มคนไทยกลุ่มหนึ่งกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ ผมอยากเห็นผลงานเร็ว ๆ ครับ เช่น


ในด้านการศึกษา เขามุ่งไปที่การสอนให้เด็ก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความมีหัวใจที่เปิดกว้าง ความขยัน ความลึกซึ้งภายใน และความอดทน


ผมพบคำพูดของคนบางคนที่วิจารณ์การศึกษาในกระแสหลักว่า “จุดสนใจของการศึกษาในกระแสหลัก มุ่งเน้นไปที่ การเปลี่ยนเด็กให้เป็นหน่วยที่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะสอนให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความกระตือรือร้นและความมีจิตใจเปิดกว้าง”


ในด้านวัฒนธรรม เขามีตัวชี้วัดตัวหนึ่ง(มีหลายตัว)ว่า คนเราแต่ละคน “สามารถบอกชื่อทวดของตนเองได้ครบทั้ง 4 คนหรือไม่” (ผมเองบอกได้แค่ 3 คนเองครับ)


ในด้านธรรมาภิบาล เขาจะถามถึงความเชื่อมั่นต่อศาล ตำรวจ ฯลฯ พบว่าคนภูฎานมีความเชื่อมั่นต่ออาชีพตำรวจสูงที่สุด (เหมือนคนอังกฤษเลย)


ในด้านนิเวศวิทยา เขาถามถึงการรู้จักชื่อพืช-สัตว์มากน้อยแค่ไหน เป็นต้น


ตัวชี้วัดทั้งหมดมี 72 ตัวครับ จากนั้นนำตัวชี้วัดวัดเหล่านี้มาคำนวณด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ (ซึ่งผมเองยังไม่เข้าใจครับ ทั้ง ๆ ที่เป็นนักคณิตศาสตร์)


4.
สรุป


สุดท้าย ผมเข้าใจแล้วครับว่า ทำไมนักข่าวกระแสหลักจึงไม่ทำรายงานเรื่องนี้มาให้สาธารณะได้อ่านกัน เพราะมันเข้าใจยากนี้นี่เอง!

ผมจะพยายามต่อไปครับ เพราะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีความสุขที่ได้อ่านเรื่องแบบนี้ครับ

 

 

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org