เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ว่า
“ท่านคิดว่าสิ่งประดิษฐ์ใดของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุด”
ผู้ถามคงจะคาดหวังว่าไอน์สไตน์น่าจะตอบว่า “ระเบิดนิวเคลียร์” เพราะเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการประดิษฐ์คิดค้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย แต่ไอน์สไตน์กลับตอบว่า “สูตรดอกเบี้ยทบต้น”
เราไม่ทราบว่า คำถามนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. ใด ทราบแต่ว่า ท่านเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1955
ที่ผมนำเอาปีที่ท่านเสียชีวิตมากล่าวถึงในที่นี้ก็เพราะว่าจะนำเข้าสู่หัวข้อที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ “ปัญหาจีดีพี” หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross Domestic Product)
ตามประวัติที่ค้นได้ (จาก google) พบว่า ผู้ที่คิดประดิษฐ์เรื่องจีดีพีคือนักเศรษฐศาสตร์ชาวสหภาพโซเวียตรัสเซียที่อพยพตามพ่อแม่ไปอยู่สหรัฐอเมริกาเมื่อ ค.ศ. 1922 ขณะที่มีอายุได้ 21 ปี เขาผู้นี้ชื่อ Simon Kuznets
ช่วงเวลาที่ Kuznets พัฒนาแนวคิดนี้ก็ประมาณปี ค.ศ. 1940 และสหรัฐอเมริกาได้เริ่มนำแนวคิดนี้ไปใช้วัดความก้าวหน้าของการพัฒนาประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ค.ศ. 1945) เป็นต้นมา และต่อมาประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกก็ได้นำ “สิ่งประดิษฐ์เรื่องจีดีพี” ไปใช้รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย
ด้วยเหตุนี้ ในปี ค.ศ. 1971 (ซึ่งไอน์สไตน์ได้เสียชีวิตไปแล้วถึง 16 ปี) Simon Kuznets ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์
วิกีพีเดีย (ภาคภาษาไทย) ได้ให้ความหมายของจีดีพีว่า หมายถึง มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ถูกผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งปี โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด
วิธีการวัดจีดีพีมี 2 วิธี คือ (1) วัดจากรายจ่ายที่จ่ายให้สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย และ (2) การวัดรายได้ที่ได้จากการขายสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
ในบทความนี้เราจะไม่ลงในรายละเอียดนะครับ แต่โดยสรุปก็คือมีการแปลงทุกภาคส่วนที่มีการผลิตแล้วเกิดรายได้ออกมาเป็นตัวเงินตัวเลขเดียวเพื่อสะท้อนความก้าวหน้าของแต่ละประเทศ
เช่น ในปี 2549 จีดีพีของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศญี่ปุ่น เท่ากับ 13.2 และ 4.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐซึ่งมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลกตามลำดับ
นอกจากนี้จีดีพียังใช้เปรียบเทียบขนาดทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศไทยเรามีจีดีพี (ในปี 2549) เท่ากับ 0.21 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 35 ของโลก ในขณะที่จำนวนประชากร(ในปี 2551) ของเรามากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก
เมื่อมองเพียงแค่นี้ “สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าจีดีพี” ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ให้ความรู้ความเข้าใจต่อประเทศนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี สมควรแล้วที่ผู้คิดคือ Kuznets ได้รับรางวัลโนเบล เพราะมีคนนำเครื่องมือนี้ไปใช้ได้อย่างกว้างขวางเกือบทุกประเทศทั่วโลก
นับประสาอะไรกับรางวัลโนเบล (สาขาสันติภาพปีล่าสุด-2009) ที่เป็นเพียงแค่แนวคิดเท่านั้นยังไม่มีการปฏิบัติจริง (ความจริงปฏิบัติในทางตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ คือส่งทหารไปเพิ่มในอัฟกานิสถานถึง 3 หมื่นคน) ก็ได้รับรางวัลโนเบลแล้ว
แต่ปัญหาของ “สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าจีดีพี” คือประสบกับความล้มเหลวที่จะตอบคำถามต่อไปนี้ เช่น วัดความแตกต่างเชิงคุณภาพของคนในชาติ เช่น วัดความสุข ความเท่าเทียมกัน ไม่ได้ ใช้วัดความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้ รวมทั้งใช้วัดการใช้เวลาของคนในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้ เช่น การทำงานบ้านของแม่บ้าน การดูแลเด็กและคนชรา ไม่สนใจว่าต้องไปขับรถแท็กซี่เพื่อหารายได้เสริมจากงานประจำที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญของความเป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจีดีพี
ในทางตรงกันข้าม นอกจากสิ่งดี ๆ ดังกล่าวไม่ได้รับการคิดรวมในจีดีพีแล้ว นักการเมืองยังยึดเอาจีดีพีเป็นสรณะอย่างปราศจากเหตุผลโดยไม่ลืมหูลืมตา หรือจัดเป็นพวก GDP Fetishism
เราคงจำกันได้ ในขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อได้รับรายงานการคาดการณ์จากข้าราชการประจำว่าอัตราการเพิ่มของจีดีพีอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก ท่านนายกฯก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากนั้นก็มีการปรับตัวเลขให้สูงขึ้น
เร็ว ๆ นี้ หลังได้รับการโปรดเกล้าให้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นักเศรษฐศาสตร์ระดับด๊อกเตอร์ ก็ประกาศว่า “เร่งเครื่องส่งออก คุมราคาน้ำมัน-ดอกเบี้ย แก้มาบตาพุดให้จีดีพีของไทยปี 2553 ขยายตัว 3-4% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก”
ทั้งๆ ที่ท่านทราบดีว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ สินค้าที่ส่งออกส่วนมากก็มีแต่ค่าแรงงานเท่านั้นที่เป็นของคนไทย แต่กลับทิ้งปัญหามลพิษทั้งทางอากาศ น้ำ ดินไว้กับประเทศไทยดังที่เป็นข่าวอยู่เป็นประจำ
เท่านั้นยังไม่พอ ท่านรองไตรรงค์ ยัง “ปลุกผีเซาเทิร์นซีบอร์ด วาดฝันลงขัน 1 ล้านล้านปั้นเศรษฐกิจยาว 30 ปี” (ไทยรัฐออนไลน์)
ท่านไตรรงค์ครับ ผมเห็นด้วยกับท่านมากเลยว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศเราต้องคิดถึงกาลไกล ๆ นาน ๆ เป็น 30 ปีอย่างที่ท่านว่า แต่ ณ วันนี้ รัฐบาลของท่านจะอยู่ได้สักกี่วันก็ยังไม่มีใครตอบได้
ในขณะที่นักการเมืองเป็นโรค GDP Fetishism ประชาชนทั่วไปก็ถูกนักการเมืองโฆษณาชวนเชื่อให้หลงตามกันไปด้วย คือเชื่อแต่ตัวเลขรายได้เฉลี่ยโดยไม่สนใจการกระจายรายได้และปัจจัยสิ่งแวดล้อมทั้งชุมชนและระบบธรรมาภิบาลของรัฐ เป็นต้น
จะมีใครทราบบ้างไหมหนอว่า ตลอดระยะเวลาที่ประเทศเราเข้าไปสู่ “โรคจีดีพี” แหล่งน้ำจืดของประเทศไทยเรามีค่าออกซิเจนละลายน้ำต่ำที่สุดในโลกจากบรรดา 141 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูลนี้อยู่ใน nationmaster.com ซึ่งอ้างถึงข้อมูลจาก UNEP- หน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ)
นั่นแปลว่า กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เป็นอาหารโปรตีนสำคัญของผู้คนก็ต้องรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องและลดจำนวนน้อยลง นอกจากชาวประมงพื้นบ้านจะมีรายได้ลดลงแล้ว ต้นทุนในการหาปลาก็เพิ่มขึ้นด้วย
ในด้านมลพิษ เฉพาะคนในครอบครัวของลุงน้อย ชาวบ้านตำบลมาบตาพุด จ. ระยอง ครอบครัวเดียวมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งถึง 5 คน ในจำนวนนี้หลายคนเสียชีวิตไปแล้ว
ในการประชุมเรื่องสภาวะโลกร้อน (Global warming) เมื่อปลายปี 2552 ที่ประเทศเดนมาร์ก พบว่าประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละเท่าใด
เหตุผลที่ตกลงกันไม่ได้ก็เพราะว่า ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน ไม่ยอมลด
ที่ไม่ยอมลดก็เพราะกลัวว่าจะทำให้อัตราการเพิ่มของจีดีพีของประเทศตนลดลง
เห็นไหมครับว่า จีดีพีมันทรงอิทธิพลในด้านที่ขัดขวางความอยู่ดีกินดีมีสุขของชาวโลกมากแค่ไหน
กลับมาที่คำถามที่ อัลเบิร์ติ ไอน์สไตน์ ถูกถามอีกครั้งครับ
จากลำดับเหตุการณ์ปี ค.ศ. ที่กล่าวมาแล้ว ในวันนั้นโลกของเรายังไม่มีปัญหาสภาวะโลกร้อนเท่าทุกวันนี้ ชาวโลกยังไม่ค่อยเห็นอิทธิฤทธิ์ของจีดีพี เพราะยังเพิ่งเป็นหน่ออ่อน ๆ อยู่ ยังไม่มากกว่าหรือเท่ากับ Threshold value (ค่าคงตัวที่ยังไม่เห็นปรากฏการณ์จนกว่าจะเลยค่านี้ไปก่อน - เป็นคำที่ไอน์สไตน์อธิบายทฤษฎีที่เขาได้รับรางวัลโนเบลเช่นเดียวกัน)
ถ้าไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่ถึง ค.ศ. 2010 ท่านน่าจะตอบคำถามเดิมว่า
“สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่มีอำนาจในการทำลายล้างมากที่สุดมี 2 อย่าง คือ สูตรดอกเบี้ยทบต้น กับ จีดีพี อย่างแรกจะมีอำนาจทำลายเป็นรายบุคคลเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างหลังนี้มันทำลายทั้งโลกเลย”
ผมเข้าใจว่า ความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness- GNH) ที่ผมเคยเกริ่นไว้แล้วครั้งหนึ่ง น่าจะมาอุดข้อพกพร่องของจีดีพีได้ครับ
แล้วจะนำมาเล่ากันต่อไป