Skip to main content

ท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยคงเคยบนบานศาลกล่าวหรือขอพรจากสิ่งศักดิ์ในยามคับขัน หรือประสงค์ในสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจที่ตัวเองจะกำหนดผลกันมาบ้าง ไม่มากก็น้อย   ยังมินับรวมกระแสความนิยมการใช้ศาสตร์ทางโหราและความรู้ที่สืบทอดกันมานับพันปีอย่างฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งในทางธุรกิจที่ทราบกันดีว่ามีอยู่ในกระบวนการของหลายบรรษัทยักษ์ใหญ่ทั้งในไทยและระดับโลก 

อย่างไรก็ดียังมีข้อถกเถียงเรื่อยมาถึงความแม่นยำ ถูกต้องและพิสูจน์ซ้ำให้ได้ผลที่เชื่อถือได้ และยังไม่นับถึงความขัดแย้งกันของกุรูต่างสำนักแม้จะใช้ศาสตร์หลักอันเดียวกัน  

สิ่งเหล่านี้แม้ในโลกที่ประกาศว่ามีอารยธรรมสูงส่งก็เคยได้ผ่านพ้นมาแล้ว   “ความลี้ลับ” เป็นส่วนหนึ่งของการสงวน “อำนาจ” ไว้ในมือของผู้รู้ศาสตร์เหล่านี้ ในอดีตก็มีการยันกันระหว่าง ฝ่ายปฏิวัติความคิดและกระแสความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการนำสังคมออกจาก “ความคลุมเครือ” ไม่แน่นอน เพื่อสร้าง “ความชัดเจน” ให้กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

มนต์ดำหรือคำสาปทั้งหลายได้กลายเป็นสิ่งที่นักปฏิวัติและปฏิรูปมุ่ง “เปิดโปง” เพื่อให้รู้ธาตุแท้ของเหล่า พ่อมด หรือแม้กระทั่งนักบวช ที่อ้างอิงสิ่งลี้ลับ หรือยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์คนอื่น   โดยการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าคลี่คลายปัญหาคาใจที่สั่นคลอนขวัญกำลังใจของผู้คน  

พ่อมด หมอผี หรือนักบวช ก็จะกลายสภาพเป็นเพียง “คนลวงโลก”  ที่คนทั้งสังคมเข้าใจได้ว่า เขาทำอะไร ด้วยวิธีการใด และหวังผลอะไร จากการสร้างภูตผี ปีศาจ และร่ายมนต์ดำสาปสังคม

ในโลกปัจจุบัน “ผู้ก่อการร้าย” ได้กลายเป็นภูตผี ปีศาจ แบบใหม่ที่พร้อมจะก่อวินาศกรรมให้เป็นดังคำสาป ตามที่เหล่าพ่อมด หมอผี สมัยใหม่ร่ายไว้   หากสังคมไม่อาจเข้าถึง “ความจริง” และ “หลักฐาน” ต่างๆ ด้วยกระบวนการยุติธรรมที่ปราศจากการแทรกแซงด้วยอำนาจและอิทธิพลได้   ก็ยากที่จะเปิดโปงว่า “อาชญากร” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” นั้น กระทำการไปได้อย่างไร และหวังผลอะไรกันแน่

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ก็คือ ความคลางแคลงสงสัย หรืออาจถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการซัดทอดใส่ฟากฝั่งที่อยู่ตรงข้ามอำนาจรัฐหรืออิทธิพลมืด พร้อมทั้งยังกลบ “ความจริง” และที่มาของปัญหามิให้ปรากฏต่อสาธารณชน ว่าทำไมผู้ก่อการจึงเสี่ยงเข้าโจมตีด้วยวิธีการอุกอาจ และอาจต้องโทษถึงขั้นประหารชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยงานของรัฐสมัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสวงหาความจริงและรักษาความสงบมั่นคง ที่ประกาศต่อสาธารณะว่าจะใช้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมบั่นทอนขวัญกำลังใจของประชาชนทั่วไปและนักลงทุนที่ต้องการ “ความชัดเจนแน่นอน” ในการตัดสินใจแผนในอนาคตเป็นอย่างมาก

เพราะอย่างที่ทราบกันว่า การรักษาเสถียรภาพถือเป็น ปัจจัยสำคัญในการวางแผนทุกอย่าง และ “ความรุนแรง” ก็มีต้นทุนที่ต้องจ่ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทั้งในฝั่งของเอกชนและประชาชนทั่วไป   โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยง หรือประกันความไม่แน่นอนทั้งหลาย   รวมไปถึงตลาดที่ผันผวนตามข่าวและจิตใจของคนในตลาดเสมอ

“ความลี้ลับ” ไม่ชัดเจน จึงกลายเป็นต้นทางแห่งข่าวลือและกระแสผันผวนอย่างมิต้องสงสัย

การพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงลามไปทั้งสังคม เพราะไม่อาจนิ่งนอนใจได้ว่าภัยอันตรายจะไม่ย่ามกลายมาถึงตัวหรือธุรกิจของตนเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ตลาดกูรูผู้รู้ด้านไสยศาสตร์หรือศาสตร์ลี้ลับทั้งหลายจึงขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งในสังคมทุนนิยมที่อิงกับตลาดเป็นอย่างหนัก   เพราะตลาดนั้นยังไม่มั่นคงและเต็มไปด้วยความผันผวน และพร้อมที่จะพังได้หากต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่ยากจะเข้าใจ เพราะถูกทำให้ “ลี้ลับ” ไปเสียหมด

ยิ่งไปกว่านั้น สังคมที่ไม่ได้วัดกันที่ผลงาน ฝีมือ หรือการชี้ขาดข้อพิพาทด้วยกฎกติกา แต่กลับเน้นไปที่ “เครือข่าย” และ “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” เพื่อใช้อิทธิพลในการสร้างอำนาจตัดสินใจให้เป็นประโยชน์กับตนเองและพวกพ้อง ย่อมดังก้องอยู่ในสำนึกของคนในสังคมว่า   “ความสำเร็จได้มาด้วยคอนเน็คชั่น”   จึงต้องหมั่นกราบไหว้สารพันเจ้าพ่อเจ้าแม่ใหญ่ที่เป็นเสมือนเจ้าของเครือข่ายใหญ่ปกป้องประโยชน์สุขของตนเสมอ

เมื่อรัฐใดเต็มไปด้วยภัยอันตรายจากความรุนแรง ก็ดูเหมือนว่า “สิ่งลี้ลับ” ที่อยู่คู่กับสังคมที่ความมั่นคงต่ำนั้น ก็คือกองกำลังที่พร้อมจะใช้ความรุนแรง หรืออนุญาตให้เกิดความรุนแรง  เนื่องจากทุกครั้งที่เกิดเหตุวินาศกรรม สังคมตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว   ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้ความรุนแรง หรือกุมความสามารถในด้านการใช้ยุทธวิธีการข่าวและการปะทะด้วยอาวุธ จะกลายเป็น “เสียงดัง” ที่คนอื่นๆต้องรับฟังมากขึ้น โดยฉวยโอกาสจากความตื่นกลัวนั้น

ความสะพรึงกลัวเป็นอาหารอันโอชะของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเครื่องมือรักษาความมั่นคงปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพ/เสียง อาวุธ ซอฟท์แวร์ หรือบุคลากร ฯลฯ ล้วนเป็นต้นทุนราคาแพงที่ต้องจ่ายไปเพื่อจัดการความเสี่ยง

กองกำลังนอกกฎหมายที่พร้อมจะ “ข่มขู่ อุ้ม ฆ่า ก่อการ” จึงเป็นต้นทุนใหญ่ที่สังคมทุนนิยมแบบใช้ตลาดเป็นตัวขับเคลื่อนต้องกำจัดทิ้งไป เพราะได้สร้าง “ต้นทุน” ที่มหาศาลในการจัดการขึ้นมานั่นเอง

การตัดสินใจของคนในตลาดเชื่อมโยงกับข้อมูลข่าวสารที่แพร่กระจายกันในเครือข่าย ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยีสื่อสารเป็นหัวหอกในการสร้าง “ความรู้” ไม่ว่าจะผิด/ถูก จริง/เท็จ แต่ก็สร้างผลกระทบเป็นอย่างสูง   ยิ่งสังคมใดไม่เปิดโอกาสให้สังคมหรือสื่อมวลชนได้ติดตามค้นหาข้อเท็จจริงและเปิดเผย วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรีแล้ว ฝ่ายที่กุมอำนาจในการจัดการข้อมูลข่าวสารก็สามารถชี้นำ หรือฉวยใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้ง่ายดาย

การนำวิธีการทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงเป็นหนทางที่สังคมของประชาชนสามัญจำต้องเรียกร้องให้มีการ “คลี่คลาย” ให้หายสงสัย   โดยในเบื้องต้นต้องให้กระบวนการแสวงหา “ข้อเท็จจริง” เกิดขึ้นโดยปราศจากการใช้อิทธิพลบิดเบือน ไม่ใช้วิธีการซ้อมทรมานเพื่อเค้นข้อมูลหรือบังคับรับสารภาพ และไม่มีการหายตัวไปของพยานปากสำคัญ

หรือการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจไปจาก “ความจริง” ที่ใหญ่กว่า แต่ไม่อยากให้สังคมรับรู้ ก่อนจะขู่ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะอยู่ๆ อาจจะหายตัวไปเฉยๆก็ได้

 

 

บล็อกของ ยาจกเร่ร่อน

ยาจกเร่ร่อน
ในสังคมไทยปัจจุบันการทำงานของคนเน้นไปที่การแข่งขันกันทำงานเพื่อสะสมเงินไว้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัวเอง ตั้งแต่การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากท้องไปวันๆ การอดออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน รวมไปถึงเก็บหอมรอมริบไว้ทำทุนในอนาคต  หรือพูดง่ายๆก็คือ ทุกคนต้องสะสมทุกอย่างเพื่อตัวเอง   เพราะสังคมไทยไ
ยาจกเร่ร่อน
คนในโลกปัจจุบันเริ่มไม่รู้หน้า รู้หลัง ไม่รู้ว่าปัจจุบันกำลังทำอะไร เพื่ออะไร หรือควรจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตเพราะคุณค่า ความหมาย ในหัวที่ถูกกดดัน บีบคั้น เพราะสิ่งที่ถูกสั่งสอนมา มันขัดแย้ง ยอกย้อนกันเอง มาตลอด
ยาจกเร่ร่อน
หลังๆ คงได้ยินคนบ่นว่า "เบื่อคนต่างด้าวที่เข้ามาแย่งงานคนไทย" หรือ "รำคาญนักท่องเที่ยวที่ทำอะไรตามใจตัวเอง" หรือที่เคยกระหึ่มเป็นพักๆ ก็คือ  "ต่อต้านบรรษัทข้ามชาติ"   เรื่องเหล่านี้ใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ
ยาจกเร่ร่อน
หากจะลองค้นหาดูว่าในสังคมไทยเรารักเทิดทูนบูชาอะไร เป็นสิ่งสูงสุดในชีวิต อาจทำได้ด้วยการหาหลักฐานมาบอกว่าเราแสดงความรักกับอะไรมากที่สุด   มูลค่าและราคาของสิ่งที่เรารักจนยอมเสียเงินซื้อหามา น่าจะเป็น "ตัวชี้วัดที่ดี" ได้อย่างหนึ่ง  
ยาจกเร่ร่อน
สิ่งที่ยังยืนยันว่า คนจีนยังมีรากเหง้าอยู่ คือ พิธีไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษในช่วงตรุษจีน และเช็งเม้ง  แต่สิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ ความทรงจำของคนจีน ที่ผ่านคำบอกเล่าของบรรพบุรุษที่อพยพมากจากเมืองจีน
ยาจกเร่ร่อน
การชุมนุม เป็นเครื่องมือของใคร?หากยึดตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ ประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิในการชุมนุมเพื่อแสดงออกได้อย่างเสมอภาคกัน
ยาจกเร่ร่อน
แด่ พ่อแม่พี่น้องและเพื่อนที่เสนอให้ Respect your Tax ขอพูดง่ายๆ นะครับ สาเหตุที่ต้องเอาการเมืองเรื่องสิทธิการเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง มาใช้ ก็เพื่อมาแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เพราะ  ต้นทุนในชีวิตของแต่ละคนในการเริ่มต้นมันไม่เท่า
ยาจกเร่ร่อน
แรงงานพลัดถิ่น คือใคร
ยาจกเร่ร่อน
ใคร คือ แรงงานอารมณ์?
ยาจกเร่ร่อน
แม่ครัว เด็กเสิร์ฟ หาบเร่แผงลอย ช่างนวด คนขับรถรับจ้าง แม่บ้าน คนทำความสะอาด ยาม เป็น "ตัวแทนสาขาอาชีพ" ได้ไหม?