ลัทธิทรงพลังมากที่สุดในสังคมไทย ณ ปัจจุบันนี้คือ ลัทธิ “พวกกูทำอะไรไม่ผิด” ลัทธิอันนี้มีธรรมชาติชองมนุษย์เป็นที่มาและพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น บรรดาพ่อแม่มักจะประสบปัญหาในเมื่อลูกกระทำผิด และพยายามจะบอกกับคนอื่นว่า “ลูกของฉันไม่ได้ทำผิด” ถึงแม้ว่าบางกรณีมีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ลูกของเขาทำผิดจริงก็ตาม แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยในวันนี้ก็คือ การขยายวงการของ “พวกกู” และเมื่อมีการกระทำผิดประการใดประการหนึ่ง สังคมก็จะถามว่า การกระทำผิดนั้นเป็น “ฝีมือของใคร” อย่างเดียว แต่แทบจะไม่ให้ความสำคัญกับ “เขาทำผิดอะไร”
แนวโน้มเช่นนี้ทำให้สังคมโดยภาพรวมไม่สามารถตัดสินใจว่า “อะไรเป็นสิ่งที่ผิดและอะไรเป็นสิ่งที่ถูก” เพราะการกระทำเดียวกัน (เช่น คดีคอรัปชั่น) ถูกมองว่า “ถูก” หรือ “ไม่เป็นปัญหา” ถ้าหากว่ากระทำโดยคนที่อยู่ในพวกเดียวกัน หรือคนที่ตัวเองสนับสนุน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่สนับสนุนผู้กระทำผิด (ที่เขาเชื่อว่า ไม่ได้ทำผิด เพราะพวกเดียวกัน) ก็พยายามจะประดิษฐ์วาทกรรมใหม่ให้กับผู้กระทำผิด เพื่อไม่ให้สังคมมองว่า การกระทำผิดนั้น จริง ๆ แล้วไม่ผิดอะไรเลย ด้วยเหตุนี้ ณ ปัจจุบันนี้ สื่อกระแสหลักและโซเซียลมีเดียก็เต็มไปด้วยวาทกรรมใหม่ประเภทนี้
ในทางกลับกัน ถ้าคนที่อยู่คนละฝ่าย หรือศัตรูทางการเมืองมีส่วนร่วมในคดีคอรัปชั่น ถูกมองว่าเป็นการกระทำผิดอันร้ายแรง และมีการโจมตีอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน โดยใช้คำศัพท์ต่าง ๆ ที่หยาบคายที่สุด จนถึงคำว่า “มารยาท” ไม่เหลืออีกเลย ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับฝ่ายที่มีอำนาจทางการเมือง ถ้าพวกเขาพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีการกระทำผิด เขาก็พยายามจะเอาผิดของอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ถึงขั้นที่สุด และลงโทษอย่างเข้มงวดตามกฎหมา มินำซ้ำ บางครั้งคนเหล่านี้มักจะขยายขอบเขตของการกระทำผิดจนถึงสิ่งที่ไม่น่าจะผิดก็ถูกเอาผิดด้วย แต่ฝ่ายที่มีอำนาจก็มักจะอ้างว่า การเอาผิดนั้นก็ตามกฎหมาย กฎระเบียบ หรือข้อกำหนดเรียบร้อย
นอกจากลัทธิ “พวกกูทำอะไรไม่ผิด” ยังมีลัทธิ “คนรวยทำอะไรไม่ผิด” และ “คนมีอำนาจทำอะไรไม่ผิด” แต่ลัทธิเหล่านี้ก็มาจากแนวคิดเดียวกัน เพราะให้ความสำคัญกับผู้กระทำผิดมากกว่าการกระทำผิด แนวคิดเช่นนี้แหละเป็นที่มาของปรากฏการณ์ “สองมาตรฐาน” (หรืออาจจะมากกว่า) ในสังคม
เมื่อเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์เช่นนี้ หลายคนก็จะบอกว่า รู้สึกงง คนที่รู้สึกงงเหล่านี้คือคนที่ยังต้องการใช้เหตุผลในการตัดสินใจหรือการตีความปรากฏการณ์ในสังคม เพราะสองมาตรฐานคือสิ่งที่ขัดแย้งกับเหตุผลอย่างชัดเจน และไม่สามารถเข้าใจหรือตีความได้ตามความสมเหตุสมผล แต่ถ้าอยากเข้าใจก็ต้องอาศัยเหตุผลที่นำเสนอโดยบรรดาสาวกของลัทธิต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างบน (ซึ่งคนที่มีเหตุผลก็รับไม่ได้)
สองมาตรฐานที่เกิดจากลัทธิ “พวกกูทำอะไรไม่ผิด” ดังกล่าวไม่ใช่ทำให้คนในสังคมรู้สึกงงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลกระทบต่อหลักการนิติรัฐ (rule of law) หรือ การปกครองภายใต้กฎหมาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย เพราะหลักการนิติรัฐอาศัยการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกับ โดยไม่มีข้อยกเว้นในการบังคับใช้ ไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ก็ตาม สำหรับการลงโทษตามกฎหมายก็ต้องดูที่การกระทำ และลงโทษตามความผิดของการกระทำดังกล่าว ไม่ใช่ลดหรือเพิ่มบทลงโทษตามผู้กระทำ (ยกเว้นกรณีที่ต้องใช้การพิจารณาพิเศษ เช่น คดีเยาวชน การปกป้องตัวเอง ฯลฯ) แนวคิดนี้มีความสำคัญในการรักษาคงไว้หลักการนิติรัฐ หรือการปกครองภายใต้กฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน
แต่ในตรงกันข้าม ถ้าหากว่าสังคมยึดถือลัทธิ “พวกกูทำอะไรไม่ผิด” จนถึงสองมาตรฐานกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา หลักการนิติรัฐก็ถูกลิดรอน และกฎหมายก็ไม่เป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชน แต่กลายเป็นเครื่องมือเพื่อรักษาผลประโยชน์ สถานการณ์เช่นนี้เรียกว่า “rule by law” ซึ่งไม่ใช่การปกครอง “ภายใต้” กฎหมาย แต่การปกครองโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ (ในการรักษาผลประโยชน์หรือโครงสร้างอำนาจ หรือเพื่อการกดขี่ การจำกัดเสรีภาพ ฯลฯ)
ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีประเทศใดที่ใช้หลักการนิติรัฐร้อยเปอร์เซ็นต์ (เช่นเดียวกันกับการที่ว่า ในโลกนี้ยังไม่มี และไม่อาจจะมีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์) อย่างไรก็ตาม ยิ่งประเทศใดยึดมั่นในหลักการนิติรัฐ สิทธิของประชาชนในประเทศนั้นก็ยิ่งได้รับการปกป้องมากขึ้น และจะนำไปสู่การปกครองที่จำเป็นต้องเคารพสิทธิของประชาชน
ในกรณีของประเทศญี่ปุ่น ผมไม่คิดว่า ประเทศผมมีระดับประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ แต่ผมเคยได้ยินคนไทยพูดบ่อยครั้งว่า นักการเมืองญี่ปุ่นมีสปีริต เพราะเมื่อมีปัญหา นักการเมืองญี่ปุ่นก็พร้อมที่จะออกจากตำแหน่ง ตัวอย่างล่าสุดก็คือผู้ว่ากรุงโตเกียว แต่จริง ๆ แล้วนี่คือความเข้าใจผิด เพราะถ้าพวกนักการเมืองญี่ปุ่นมีสปีริตจริง เขาไม่น่าจะปล่อยตัวเองให้มีส่วนร่วมในงานสกปรก (เช่นคอรัปชั่น) หรือให้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่ แต่สิ่งที่สังคมไทยมักจะเข้าใจผิดว่าเป็น “สปีริต” ก็คือ ความพร้อมของบรรดานักการเมืองที่จะยอมรับความเป็นจริงที่ว่า สังคมญี่ปุ่นไม่อาจจะยอมรับการกระทำผิดของตน ดังนั้นทางเดียวเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดก็คือการออกจากตำแหน่ง (มิฉะนั้นก็จะฆ่าตัวตาย) สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นเนื่องจากสังคมญี่ปุ่นยังมองว่า สิ่งสำคัญคือการกระทำผิดของนักการเมืองคนนั้น และไม่ใช่ว่า “เขาเป็นใคร” หรือ “เขาเป็นพวกของกูหรือไม่” ดังนั้น เมื่อการกระทำผิดของนักการเมืองกลายเป็นที่รู้จักของสังคม คนที่เคยสนับสนุนเขา หรือแม้แต่คนที่อยู่ในพรรคเดียวกันก็ต้องกดดันเขาให้แสดงความรับผิดชอบด้วย นี่คือความเป็นจริงเบื้องหลังของสิ่งที่คนไทยเข้าใจผิดว่าเป็น “สปีริต” นั่นคือการที่ลัทธิ “พวกกูทำอะไรไม่ผิด” ยังมีอิทธิพลน้อยมาก และสังคมญี่ปุ่นก็ยังพยายามจะใช้มาตรฐานเดียว (แม้ว่าในบางกรณียังมีการใช้สองมาตรฐานก็ตาม)
ผมก็ไม่ทราบว่า ลัทธิ “พวกกูทำอะไรไม่ผิด” ในสังคมไทยมีที่มาอย่างไร และระบาดมากขึ้นขนาดนี้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือการระบาดของลัทธิดังกล่าวน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ดังนั้นผมก็หวังว่า สังคมไทยจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของลัทธิดังกล่าว (ซึ่งนำไปสู่การสร้างสองมาตรฐาน) และทำให้การปกครองภายใต้กฎหมาย (rule of law) มีความเข้มแข็งมากขึ้น ไม่ใช่เปิดช่องทางให้กับการปกครองโดยกฎหมายเป็นเครื่องมือ (rule by law)
ด้วยความหวังดี