Skip to main content

 

‘คนดี’ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทยน่าจะถูกอ้อนวอนด้วยคำขอพื้นฐานนี้จากพ่อแม่ที่กำลังมีลูก และน่าจะเป็นสิ่งปรารถนาสูงสุดของคนเป็นพ่อแม่ทุกคน

สังคมไทยช่วงเจ็ดแปดปีมานี้ ‘คนดี’‘ความดี’‘ศีลธรรม’‘จริยธรรม’‘คุณธรรม’ เป็นกลุ่มคำที่ถูกเฆี่ยนตีสาหัสที่สุดจากสถานการณ์ทางการเมือง มันปรักหักพังไม่มีชิ้นดีในสายตาบางคนบางกลุ่ม บ้างถึงกับตั้งความหวังว่าจะรื้อถอนมันเสีย แล้วสถาปนาระบบศีลธรรมใหม่ที่อิงแอบแนบแน่นกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย

นั่นเป็นเพราะกลุ่มคำข้างต้นผูกโยงกับ ‘อำมาตย์’ ‘เผด็จการ’ ‘ความไม่เป็นธรรม’ ‘ความไม่เท่าเทียม’ งานของนักวิชาการหรือปัญญาชนที่ผมอ่านผ่านตาบ้าง อธิบายว่าความดีที่สังคมไทยยึดถือถูกสร้างโดยชนชั้นบนที่ต้องการผูกขาดอำนาจเอาไว้ในมือ มันคืออุปกรณ์เชิงนามธรรมชิ้นมหึมาที่กดทับและปิดปากคนจน-คนด้อยโอกาสในสังคมมิให้หืออือ ตอกย้ำให้คนเล็กคนน้อยใต้ถุนสังคมเตือนตนไว้เสมอว่า “พวกเจ้าเป็นพวกโง่ จน เจ็บ และไม่ดีพอ”ฉะนั้น จงอย่าเสนอหน้า ข้อถกเถียงแนวนี้แยกไม่ออกกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่กำลังเป็นสงครามแหลมคมอยู่ตอนนี้

ณ ปัจจุบัน ดังที่รับรู้ ความดีและศัพท์ในหมวดหมู่เดียวกันกำลังสั่นคลอน แต่เพราะเป็นค่านิยม ความเชื่อที่อยู่มาแสนนาน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะล้มล้างลงได้ชั่วข้ามคืน

0 0 0

ผมไม่มีความรู้ด้านรัฐศาสตร์ ยิ่งปรัชญายิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่พอรู้เลาๆ ว่า อะไรดี-ไม่ดี คือคำถามอมตะนิรันดร์กาลตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ถึงยุคสมาร์ทโฟนก็ยังไม่มีคำตอบใดที่ทุกฝ่ายยอมรับ บ้างก็ว่าหากจะตัดสินดี-เลวให้ดูที่ผลลัพธ์สุดท้าย บ้างให้ดูที่เจตนา บ้างให้ใช้เหตุผลเพื่อเลือกกระทำสิ่งที่ดีที่สุด ...ก็ว่ากันไป

ผมว่า ‘ความดี’ เป็นสิ่งนามธรรมที่แปลกประหลาดและน่าสงสาร ดูเหมือนทุกคนอยากครอบครองมัน แต่ก็ปฏิเสธมัน

เท่าที่สังเกต ยามที่เราชื่นชมใครสักคนว่าเป็นคนดีแบบซึ่งๆ หน้า มักได้รับการปฏิเสธ (ส่วนใครจะประกาศดังๆ ว่า ‘ผมจะเป็นคนดี’ ผมถือเป็นกรณียกเว้น) บางคนกลับอธิบายถึงความชั่วร้ายหรือข้อบกพร่องของตนเพื่อบอกว่า “ผม/ฉันไม่ใช่คนดีอะไรหรอก” เหมือนกับต้องการสร้างเกราะป้องกันบางๆ เผื่อไว้สำหรับการกระทำผิดพลาด แน่นอน เราไม่มีทางรู้ความรู้สึกนึกคิดภายในของคนผู้นั้น เขาอาจกำลังเหลิงลอยไปไกลแล้วก็ได้

ขณะที่บางคนเลือกจะแสดงด้านมืดให้เห็นกันจะๆ อาจเพราะไม่อยากปิดบังความเป็นตัวตน อาจเพราะต้องการกันพื้นที่ส่วนหนึ่งเพื่อกระทำสิ่งที่อยู่นอกบรรทัดฐานสังคม แต่อยู่ในอาณาเขตความพึงพอใจส่วนตัว หรือเหตุผลใดก็ตาม บ่อยครั้งที่การแสดงด้านมืดที่ใครๆ เชื่อว่ามันคือตัวตนของคนผู้นั้นก็กลายเป็น ‘ความดี’ อีกชนิดหนึ่งที่ถูกจัดหมวดอยู่ในความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา แน่นอน อีกเหลี่ยมมุมหนึ่งมันก็มีค่าใช้จ่ายสูงที่คนผู้นั้นต้องจ่าย

‘ความดี’ ช่างเป็นเรื่องน่าปวดหัว ดังนั้น “ผม/ฉัน ไม่ใช่คนดีอะไรหรอกครับ/ค่ะ” จึงเป็นประโยคที่คลุมเครือในตัวมันเอง เหมือนจะบอกว่า ฉันเป็นคนไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว

คนดีมักมีที่ทางให้ขยับเนื้อขยับตัวน้อยกว่า มันถูกจำกัดด้วยมาตรฐานที่คนภายนอกคาดหวังว่าจะได้เห็นจากคนดีผู้ครอบครองความดี ขณะที่คนไม่ดีดูจะมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับกระทำตามความต้องการของจิตใจ โดยไม่ต้องถูกคาดหวังจากใคร ถึงกระนั้นในโลกความเป็นจริงกลับไม่มีใครดีทั่ว ชั่วหมด

0 0 0

นอกจากความดีจะโคตรยาก ซับซ้อน และน่าสงสารแล้ว มันยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ใช่, ดังที่รู้ มนุษย์เข่นฆ่ากันด้วยเหตุผลแห่งความดีมาแต่ไหนแต่ไร แต่จะทำเช่นนั้นได้ มนุษย์จำต้องหยิบยื่นญาติผู้ใกล้ชิดความดีที่สุดให้แก่อีกฝ่ายเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่การเข่นฆ่า ด่าทอ เหยียดหยาม-ความชั่วร้าย

ในศาสนาคริสต์ ลูซิเฟอร์ จอมมารผู้เกลียดชังมนุษย์ก็คืออดีตเทวทูตมือดีของพระเจ้า ฮาเดส จ้าวแห่งโลกใต้พิภพเป็นน้องชายของซูส ราชาแห่งขุนเขาโอลิมปัส และพระพุทธเจ้าก็ต้องผจญพญามารบนหนทางสู่โพธิ ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยเฉพาะในยุคกลางของยุโรป ความดี-ความชั่ว ที่มองผ่านแว่นของศาสนาค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่อำมหิตนัก

ปัจจุบัน ศาสนาไม่ใช่กรอบแว่นหลักที่คนเราใช้มองความดี-ความชั่ว แต่ความอำมหิตยังไม่เสื่อมคลาย

0 0 0

ผมเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นต้องมีมโนทัศน์เรื่อง ‘ความดี’ หรือพูดให้ตรงกว่านั้น คือมีเกณฑ์อะไรบางอย่างที่กำหนดเส้นแบ่งระหว่างสิ่งที่ ใช่-ไม่ใช่ ควร-ไม่ควร เหมาะ-ไม่เหมาะ ขืนไม่มีเกณฑ์เลยโลกนี้คงอลหม่าน ซึ่งถึงที่สุดอาจไม่จำเป็นต้องเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความดี’ ก็ได้

ความยากคือไอ้เกณฑ์ที่ว่ามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัยและบริบทที่ห้อมล้อม

โลกปัจจุบันคงไม่มีแนวคิดทางการเมืองการปกครองใดที่ทรงอิทธิพลมากเท่าระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีเกณฑ์คุณงามความดีหรือชุดคุณค่าของมันอยู่ชุดหนึ่ง ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็มีเกณฑ์ชุดหนึ่ง และเกณฑ์อื่นๆ อีกหลายชุดตามความเชื่อชุดอื่นๆ ของมนุษย์ ความดีจึงมีชนิดพันธุ์ของมัน ข้อดีของการปกครองแบบประชาธิปไตยอยู่ที่มันเปิดโอกาสให้ชุดคุณค่าเหล่านี้อยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องทะเลาะตบตีกัน

ทว่า ความดีสามารถหลอกลวงมนุษย์ได้เก่งกาจไม่แพ้ความชั่ว ยิ่งความดีถูกฉาบเคลือบด้วยอุดมการณ์สูงส่งมากเท่าใด ความดีนั้นก็ยิ่งอำมหิตมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ปรากฏการณ์ที่ผมพบเจอจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยระยะใกล้ก็คือ กลุ่มก้อนความคิดทางการเมืองฟากฝั่งที่เรียกว่าอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยต่างก่นด่าคนที่เชื่อใน ‘ความดี’ อีกชุดหนึ่งเสียยับเยิน ‘ความดี’ ที่มิใช่ความดีของฉันมักถูกตีตราเป็นความชั่วร้าย ฝ่ายแรกเชื่อมั่นกับชุดคุณค่าแบบเดิมๆ และเห็นฝ่ายหลังมิใช่มนุษย์ เพราะจ้องจะทำลาย ‘ความดี’ ที่ตนเองยึดถือ ฝ่ายหลังซึ่งน่าจะเข้าใจคุณค่าความเป็นมนุษย์ดีกว่าก็หยามเหยียด แดกดัน ด่าทอฝ่ายแรกชนิดไม่เป็นผู้เป็นคนพอๆ กัน สิ่งที่ดูย้อนแย้งพิกลคือฝ่ายหลังปฏิเสธ ‘ความดี’ ‘คนดี’ หรือชุดคุณค่าของฝ่ายแรก แต่ก็สร้างและเชื่อมั่นใน ‘ความดี’ ‘คนดี’ (แม้จะไม่ใช้คำนี้) และชุดคุณค่าตามอุดมการณ์ประชาธิปไตย ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ายังไงๆ มันต้องดีกว่า ‘ความดีจอมปลอม’ ของฝ่ายแรก

แล้วเราก็ทำร้ายกัน ด่าทอกัน เหยียดหยามกัน และถึงขั้นเข่นฆ่ากัน

...ก็เหมือนที่ผ่านๆ มา เราสร้างพระเจ้าขึ้น เพื่อฆ่าพระเจ้าองค์อื่นๆ ไม่ว่าเราจะเรียกขานพระเจ้าของเราด้วยนามใด-ความดี ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ทุนนิยม ความรักชาติ ความจงรักภักดี ศาสนา เสรีภาพ เผด็จการ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

อาจบางที ความเผลอไผลทำให้เราสร้างพระเจ้าของเราขึ้นบนโลกภายนอก เพื่อเข่นฆ่าพระเจ้าของผู้อื่น พร้อมๆ กันนั้น เราก็สร้างปีศาจขึ้นภายในเพื่อบงการพระเจ้าอีกทอดหนึ่ง...โดยไม่รู้ตัว

0 0 0

เราอาจโต้เถียงกันได้ว่า ความดีแบบนั้นแบบนี้ทำร้ายผู้คนอย่างไร แต่เป็นไปได้เพียงใดที่จะหักหาญให้โลกนี้ไม่มีที่ทางให้แก่ความดีที่เราเกลียดมัน

บทสนทนาครั้งหนึ่งกับอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ผมถามด้วยความสงสัยว่า ทำไมเราต้องเลือกระหว่าง ‘ประชาธิปไตย’ กับ ‘ความดี’ อาจารย์เสกสรรค์ตอบกลับด้วยคำถามว่า ถ้าให้เลือกระหว่างตาซ้ายกับตาขวาจะเลือกอะไร

สุดท้าย มันจึงกลายเป็นสงครามช่วงชิงความหมายของ ‘ความดี’ ว่า ‘ความดี’ ของใครเป็น ‘ความดี’ ที่ ‘ดี’ กว่า

บล็อกของ กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ขณะที่เขียนอยู่นี้ #ประเทศกูมี มียอดวิวเกือบ 7 ล้านแล้ว ผมนี่ฟังหลายรอบมาก พร้อมโยกเยกไปตามจังหวะและซึมซับเนื้อหาเข้าไปในหัวใจ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ตั้งแต่วัยรุ่นที่พอจะรับรู้ความเป็นไปของสังคมบ้าง ผมพบเจอ ‘วิธีคิด’ ในการใช้ชีวิตประมาณห้าหกชนิด ตั้งแต่สโลว์ไลฟ์ สโลว์ฟู้ด การกลับไปใช้ชีวิตเป็นชาวนา มินิมัลลิสม์ ฮุกกะ และล่าสุดที่ออกมาไล่เรี่ยกันคือลุกกะและอิคิไก แล้วยังมีการเผยแพร่ลัทธิความฝันแบบเข้มข้นของสื่อมวลชน สินค้า บริการ จนถึงโค้ช นัก
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล 
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล วันนี้มีเหตุให้ไปร่วมวงแลกเปลี่ยน ถกเถียง ประเด็นการไม่นับถือศาสนา มีหลายบทสนทนาที่น่าสนใจเลยคิดว่าน่าจะนำมาแบ่งปันและถกเถียงกันต่อ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุลในหนังสือ 'SUM 40 เรื่องเล่าหลังความตาย' ของ David Eagleman มีอยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงสรวงสวรรค์ที่ดวงวิญญาณของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ยังคงว่ายเวียนอยู่บนสรวงสวรรค์แห่งนั้น
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล รับงานเลี้ยงชีพชิ้นเล็กๆ มาชิ้นหนึ่ง เนื้องานคือการสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตบุคคล นำมาร้อยเรียงบอกกล่าวสู่คนอ่าน ปรากฏว่าบทสนทนาที่ดำเนินไป ชักพาให้เกิดความคิดคำนึงอันหลากหลาย ณ ส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองและหัวใจ
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ‘วัยหนุ่ม ข้าต้องการมีเพื่อนมากมายวัยกลางคน ข้าต้องการมีเพื่อนที่ดีวัยชรา ข้าเพียงต้องการเป็นเพื่อนที่ดีของใครสักคน’
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล"ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพูด แต่ผมจะปกป้องสิทธิในการพูดของคุณด้วยชีวิต" วอลแตร์“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” อัลเบิร์ต ไอสไตน์
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJเป็นอีกครั้งที่วัดธรรมกายออกมาธุดงค์กลางนคร แล้วก็ถูกสวดยับไปตามระเบียบ ซึ่งคงห้ามปรามกันไม่ได้
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
 กฤษฎา ศุภวรรธนะกุลพนักงานบริการหญิงหรือ Sex Worker นางหนึ่งเดินจับจ่ายซื้อหากับชาวต่างประเทศ เธอพูดกับลูกค้าของเธอว่าI shop. You pay.
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJมนุษย์ล้วนตั้งจุดหมายปลายทางของตนเองและพยายามฟันฝ่าไปให้ถึง โดยส่วนใหญ่ล้มลุกคลุกคลาน บ้างล้มแรงเสียจนไร้แรงยืนอีกครั้ง เป็นสัดส่วนน้อยกว่ามากที่ถึงจุดหมายปลายทาง นี่คงเป็นเหตุผลทำให้ ‘ความฝัน’ เป็นสิ่งสูงค่าในสายตามนุษย์ยุคปัจจุบัน
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJ