กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
ในหนังสือ 'SUM 40 เรื่องเล่าหลังความตาย' ของ David Eagleman มีอยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงสรวงสวรรค์ที่ดวงวิญญาณของบุคคลผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ยังคงว่ายเวียนอยู่บนสรวงสวรรค์แห่งนั้น
ดวงวิญญาณของพวกเธอและเขาจะไม่มีวันลับหายไป จนกว่าจะไม่มีคนบนโลกกล่าวถึงพวกเขาอีก เหตุนี้จึงทำให้ดวงวิญญาณหลายดวงของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ที่สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์นั้นมานานนับพันปี เหนื่อยหน่าย ห่อเหี่ยว ซึมเศร้า เพราะทนต่อสภาพที่เป็นอยู่นี้ไม่ได้ ชีวิตอมตะในช่วงแรกๆ ก็คงจะดี ครั้นนานคืนเข้า ชีวิตที่ไร้จุดจบ แต่ซ้ำซากไม่สิ้นสุด ไร้ความตื่นเต้น ความทุกข์ยากโดยสิ้นเชิง มันก็น่าเจ็บปวดมากโข พวกเขาจึงอยากจากไปเสียที แต่ทำไม่ได้
เพราะผู้คนบนโลกยังคงไม่หยุดพูดถึง ไม่หยุดนินทา ไม่หยุดสรรเสริญ ไม่หยุดแช่งด่าพวกเขาเสียที ชื่อพวกเขายังคงวนเวียนในมันสมองผู้คน ในหนังสือ ในภาพยนตร์ บนริมฝีปาก ในงานนิทรรศการ ฯลฯ พูดก็คือพวกเขาอยากตายเป็นครั้งที่ 2 ไม่อยากทนอยู่ไปชั่วกาลปาวสานเช่นนี้
ถ้ามีสรวงสวรรค์ที่ว่าอยู่จริง ผมว่าดวงวิญญาณประเภทนี้ช่างเป็นดวงวิญญาณที่น่าสงสาร พูดตามความเชื่อของพุทธแบบไทยๆ คือดวงวิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที
ชีวิตที่ชั่วร้ายหรือที่สูงส่ง ชื่อและชีวิตของพวกเขายังถูกช่วงใช้จากคนที่ยังหายใจอยู่ไม่จบสิ้น-ถูกชิงชังรังเกียจ ถูกยกยอปอปั้น และเท่าที่สังเกตเห็น บุคคลที่สูงส่งจะถูกเชิดชูไม่จบสิ้น ดีงามจนบางครั้งผมก็สงสัยว่า นี่ทั้งชีวิตคนคนหนึ่งจะไม่เคยก่อกรรมบัดสีใดๆ เลยหรือ? ที่สำคัญ อย่าได้พยายามขุดหามุมเลวร้ายของบุคคลสูงส่งขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์เด็ดขาด เพราะอาจโดนรุมประชาทัณฑ์ บุคคลที่ชั่วร้ายก็ทำนองเดียวกัน เพียงแต่กลับอีกด้าน
ผมว่าเราน่าจะปล่อยให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นได้ไปเกิดเสียที แต่ถ้ายังทำกันไม่ได้ ก็น่าจะปล่อยให้พวกเขาได้พักผ่อนบ้าง เรียกใช้พอเป็นพิธี พอเป็นบทเรียน อย่าเว่อร์วังฝรั่งเศสเกินเหตุ เดี๋ยวคนรุ่นใหม่จะสงสัยว่าคนยุคก่อนเป็นมนุษย์ที่หลุดมาจากทีวีขาว-ดำหรืออย่างไร
แต่ก็อย่างว่าครับ ความตายมีหน้าที่ที่คนยังหายใจหยิบมาใช้เสมอๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
(รัชกาลที่ 6 เคยเขียนไว้ที่ไหนว่า คนดีคือคนที่ตายไปแล้วกับคนที่ยังไม่เกิด)