หลังจากจบทริปไปเชียงรายในครั้งนั้น ฉันพยายามนั่งครุ่นคิดอยู่นานว่าจะเขียน จะเล่าเรื่อง จะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไรให้คนที่ได้อ่านรู้สึกอินไปกับฉัน
การไปเชียงรายในครั้งนั้นเหมือนการได้ไปชาร์ตพลัง ชาร์ตแบตให้ตัวเอง ข้อความจากหนังสือเล่มหนึ่งทำให้ฉันสะดุดใจ“การท่องเที่ยวไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราได้ทำให้สมองของเราได้สติ ได้ปัญญา” ใช่ถูกต้องที่สุดฉันชอบและเห็นด้วยกับประโยคนี้เป็นอย่างมาก ทริปเชียงรายทำให้ฉันเข้าใจและกระจ่างในบางอย่างมากยิ่งขึ้น
ทริปเชียงรายเริ่มต้นด้วยผู้ร่วมทริปจำนวน 5คน มีพี่วริศ พี่โบนัส แทน จริงใจและฉัน เราเริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพตอนค่ำและถึงเชียงรายในตอนเช้าของอีกวันด้วยอุณหภูมิ18 องศาช่างเป็นอะไรที่สดชื่นมาก เรามุ่งหน้าไปยังศูนย์ศึกษาธรรมชาติม่อนแสงดาวซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราเลือกมาเรียนรู้ แต่บางอย่างทำให้เราต้องประหลาดใจที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างใหญ่โต มีอาคาร ห้องประชุม มีห้องนั่นห้องนี่ครบถ้วน แต่ฉันกลับรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีชีวิตเอาซะเลย อาจจะฟังดูโหดร้ายไปซะหน่อยแต่ในตอนนั้นความรู้สึกฉันบอกแบบนี้จริงๆมิหนำซ้ำน้องๆที่นั่นเมื่อเห็นพวกเราต่างพากันหลบหนีและตีห่างออกจากเรา หลายครั้งที่พวกทั้ง5คนพยายามชวนคุยแต่ก็ไม่เป็นผล ฉันเริ่มบ่นกับตัวเอง ”ฉันมาทำอะไรที่นี่เนีย น้องๆก็ไม่สนใจกันเลย” คิดในใจว่าตัวเองคงจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากที่นี่แน่ๆเพราะน้องๆไม่ให้ความร่วมมือเลย สักพักก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งจู่โจมเข้ามาหาฉัน เรานั่งพูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่แต่ด้วยความที่น้องเป็นชาติพันธ์ น้องพูดภาษาไทยได้ไม่ค่อยชัดสักเท่าไรฉันจึงต้องพยายามตั้งใจฟังสิ่งที่น้องพูดเป็นอย่างมาก บทสนทนาของเราเริ่มต้นด้วยคำถามของน้อง
น้อง :พี่ใส่ผ้าบนหัวทำไม ?
ตอนนั้นฉันตลกกับคำถามของน้องมากคิดว่าน้องถามเพราะอยากรู้มั้ง ฉันได้แต่ฉีกยิ้มพร้อมตอบน้องไปว่า
ฉัน:พี่เป็นอิสลามจ๊ะ
สักพักน้องตอบกลับมาว่าน้องเคยใส่ผ้าแบบพี่ แถมใส่ใหญ่กว่าพี่ด้วย เราคุยกันได้ไม่นานเพราะตอนเที่ยงเรานัดกับกลุ่มเพื่อนกันไว้ว่าจะเข้าเมืองกัน แต่ประโยคทิ้งท้ายระหว่างเรานั้น น้องบอกว่าอยากใส่ผ้าอีกครั้ง พี่มีให้น้องไหม?
บ่ายโมงกว่าๆเรามุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงรายด้วยความที่เรามาที่นี่อย่างกะทันหัน ทางศูนย์เห็นว่าเราพึงถึงอยากให้พักผ่อนก่อนจึงไม่ได้เตรียมกิจกรรมในช่วงบ่ายทำให้ช่วงบ่ายนั้นเราว่าง ด้วยความคึกที่ได้มาเชียงรายเราจึงไม่อยากพักเฉยๆ เราจะตั้งใจเข้าเมืองโดยสถานที่แรกที่เรามุ่งหน้าไปคือวัดร่องขุ่น ก่อนไปเราโบกรถใครก็ไม่รู้กลางทาง ซึ่งถ้าเป็นที่อื่นฉันไม่แน่ใจว่าเข้าจะจอดรถรับคนแปลกหน้าไหมแต่ที่นี่ไม่ทุกคนใจดี รถที่จอดรับเราเป็นรถของคุณลุงตำรวจ ลุงพาเราไปยังป้ายรถเมล์ ในบ่ายวันนั้นนอกจากวัดร่องขุ่นแล้วเรายังได้ไปไนท์บาซาร์ซึ่งเป็นตลาดกลางคืนสำหรับนักท่องเที่ยวเราต่างได้ของติดไม้ติดมือคนละน้อย พี่โบนัสกับจริงใจได้ชุดพื้นเมืองไปฝากคนที่บ้านด้วย ตกค่ำก่อนกลับที่พักเราไม่ลืมที่จะแวะซื้อขนมติดไม้ติดมือไปฝากน้องและหวังว่าน้องๆคงจะไม่หลบซ่อนมีพฤติกรรมเหมือนตอนเช้าอีก เมื่อเราถึงที่พักเราพบว่าน้องได้ก่อไฟ ปิ้งข้าวหลามเตรียมไว้ให้พวกเราความรู้สึกตอนนั้นคือโครตดีมากๆเลยเรารีบวิ่งไปร่วมวงกับน้อง เล่นกีตาร์ ร้องเพลง หัวเราะฮาเฮกันอย่างสนุกสนาน ฉันไม่ลืมที่จะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายวีดีโอช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ด้วยความที่หวังว่ากลับบ้านแล้วนอกจากความรู้สึกที่ตรึงในใจแล้ว ฉันจะได้เห็นหน้าพวกเขาผ่านมือถือของฉันทุกช่วงเวลาเมื่อฉันนึกถึงพวกเขา ในคืนนั้นน้องเริ่มเปิดใจรับพวกเรา การที่น้องไม่เปิดใจรับพวกเรานั้นฉันได้คำตอบจากครูที่ดูแลน้องๆว่าหลายๆคนที่มาที่นี่ไม่ว่าจะเป็นครูหรือใครก็ตามมาอยู่ได้สักพักท้ายที่สุดก็พากันทิ้งพวกเขาไปจึงทำให้พวกเขารู้สึกว่าบ่อยครั้งที่พวกเขาถูกทอดทิ้ง ทำให้เขาปิดกั้นตัวเอง ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเที่ยงคืนกว่าๆอากาศเริ่มหนาวเราจึงแยกย้ายกลับที่พัก
การจากลาหนึ่งโมเมนต์ที่บีบคัดหัวใจ เช้าวันแห่งการจากลาฉันรู้ทันทีว่าน้องๆไม่ชอบความรู้สึกนี้แน่ ก่อนจากลานั้นในตอนเช้าเรานั่งวาดรูปกันสักพัก เราแลกรูปที่วาดเพื่อเป็นที่ระลึกกันและฉันก็ไม่ลืมที่จะเอาผ้าคลุมให้เด็กน้อยคนเมื่อวานพร้อมบอกน้องอย่าลืมถ่ายรูปตอนใส่มาอวดพี่ด้วย การจากลาในวันนั้นไม่มีใครร้องให้เลยสักคน เราไม่ร้องไห้อาจเป็นเพราะเราโตกันแล้วเราเข้าใจในการจากลาและน้องๆอาจจะชินกับโมเมนต์ช่วงเวลานี้ซึ่งมันเกิดขึ้นซ้ำๆกับน้อง ไม่ว่าน้องจะรู้สึกยังไงก็ตามพี่อยากให้น้องรู้ว่าน้องๆทุกคนเก่งมากๆพี่ขอชื่นชมน้องๆ
จากในตอนแรกฉันคิดว่าที่นี่คงจะไม่ได้ให้อะไรให้เรียนรู้ในตอนนี้ความคิดนั้นได้หายไปแล้ว ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากที่นี่แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ฉันเห็นถึงความสำคัญของการศึกษาการมอบโอกาสแก่ผู้ที่ขาดโอกาสและสำคัญคือเรานับถือหัวใจที่ฟองโตของครูบอมและครูหน่อยที่เสียสละและอยู่เคียงข้างน้องๆ
และแล้วรถสองแถวก็พาเราออกจากที่นี่เราโบกไม้โบกมือลากันพร้อมส่งยิ้มและอวยพรให้กันรถทัวร์กลับกรุงเทพของเรามีกำหนดออกตอนทุ่มกว่าๆระหว่างนั้นทำให้เรายังพอมีเวลาบ้าง ลุงขับรถเขียวของเราก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านได้ดีมากพาเราไปตะลอนรอบเมืองเชียงราย พาเราไปไร่บุญรอด
ไปเรียนรู้ที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำ วัดสีน้ำเงิน ตกเย็นฉันต้องละหมาดอย่างที่บอกในตอนต้นว่าในทริปฉันคนเดียวที่เป็นมุสลิม ฉันบอกลุงว่าให้พาไปละหมาดหน่อย(พิธีกรรมอย่างหนึ่งของมุสลิม) ลุงก็ขับรถไปสักพักรถหยุดจอด ณ.ที่หนึ่งฉันเงยหน้าขึ้นมองมันคือโบสถ์ พวกพากันหัวเราะกันทั้งคันรถ บอกลุงไปว่าหนูจะไปมัสยิดไม่ใช่โบสถ์ แม้ตอนแรกลุงจะพาหลงท้ายที่สุดลุงก็พาฉันไปมัสยิดจนได้ อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจจากทริปนี้ทุกคนทำให้ฉันรู้สึกว่าบนความต่างของวัฒนธรรมหากเราเข้าใจและเคารพกันนั่นไม่ใช่ปัญหาของการอยู่ด้วยกัน และสถานที่สุดท้ายของวันนี้นั่นก็คือสถานนีขนส่งการจากลาเกิดขึ้นอีกครั้งพวกเรายกมือไหว้ขอบคุณลุง ลุงพูดว่าถ้ามาเชียงรายอีกอย่างลืมรถเขียวลุงน่ะ
จบทริปการท่องเที่ยวเชียงราย เราถ่ายรูปมากมายใส่มือถือเพื่อใช้ทบทวนหากเราหลงลืมกัน ว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยมอบความสุขกับเรา ต่อให้ไม่มีรูปถ่ายเก็บไว้ฉันก็เชื่อและกล้าการันตีเลยว่าเราทั้ง5คนคงไม่มีใครลืมโมเมนต์ความรู้สึกนี้ได้อย่างแน่นอน
#สาธารณะศึกษา
#พื้นที่การเรียนรู้สาธารณะ
#Storytellersinjourney
#midl2018
#InclusiveCities