ครั้งหนึ่งของการเดินทาง โดย ภัทรวดี หอมรอด

กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อว่า น้องสาว เธอได้เป็นหนึ่งใน 20 คน ที่โชคดีได้ออกเดินทางไปที่ต่างๆ แต่มีกฎว่าเลือกได้เพียงแค่ 1 ที่ น้องสาวเลือกสถานที่ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้ ในการเดินทางน้องสาวจะต้องขึ้นยานไป โดยที่ในยานจะมีลูกเรือค่อยให้บริการ และลูกเรือคนนี้จะพูดทุกครั้งที่มีคนใหม่มา

          ลูกเรือ : สวัสดีค่ะ ขึ้นมาก่อนได้ค่ะ เดี๋ยวดูที่นั่งให้ค่ะ

          คนที่จะสามารถขึ้นยานได้จะต้องมีกระดาษแผ่นบางที่เขาเรียกกันว่า ‘การ์ด’ เพื่อเป็นการยืนยันว่ามาได้อย่างถูกต้อง เราได้มันมาด้วยการจ่าย ‘เหรียญทอง’ พวกเราในปัจจุบันให้ความสำคัญกับเหรียญทองเอามาก เพราะมันคือชีวิต คนอย่างพวกเรารวมถึงน้องสาว ทำงานเพื่อแลกเหรียญทอง และเมื่อเอาเหรียญทองไปใช้ไปแลก มันคือการแลกความสุข แลกสิ่งที่เราปรารถนา การดำเนินเราก็มีเพียงเท่านี้ การ์ดนี้เราก็ได้มาเพื่อที่เราจะได้เดินทางไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้

          ในระหว่างเดินทาง น้องสาวรู้สึกว่าทุกคนที่อยู่ในยาน เหมือนมีกำแพงใสที่เรามองไม่เห็นปิดกลั้นอยู่ ถ้าจะให้เรียกน้องสาวคงเรียกมันว่า ‘กำแพงโลกส่วนตัว’ เป็นกำแพงที่จะปิดกลั้นกันได้เพียงแค่มีที่อุดหู เพื่อรับรู้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะรับรู้ ขณะเดียวกันลูกเรือคนเดิมก็พยายามที่จะบริการพวกเราทุกคนอย่างยากลำบาก อย่างกับว่ายานนี้ ไร้แรงโน้มถ่วงทำให้เธอเดินโซซัดโซเซและกว่าจะก้าวเท้าได้เธอต้องกะจังหวะให้ดีเลยแหละ ไม่นานนักน้องสาวก็ได้ยินเสียงพูดคุยของชายสองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า พวกเข้าพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน จนน้องสาวเองก็อดไม่ได้ที่จะแอบฟัง ถึงแม้ว่าจะอยากรวมวงคุยด้วย แต่จากการแอบฟังของน้องสาวก็ได้รู้อะไรบางอย่าง ทุกคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันรวมถึงเหตุผลของการขึ้นยาน  บางทีเราขึ้นอาจจะขึ้นยานที่จุดหมายปลายทางเดียวกัน เพราะในระหว่างทางก็มีคนอีกมากที่ลงก่อน จนสุดท้ายคนที่ลงปลายทางเดียวกันอาจจะมีแค่ไม่กี่คนก็ได้

          ตลอดการเดินทางน้องสาวเองก็เอาแต่หลับตลอดมา ถ้าไม่มีคุณลุงที่ค่อยนำทาง น้องสาวอาจจะแย่เพราะไปไม่ถูกทางแน่ๆ เมื่อถึงที่หมายของการขึ้นยานพวกเขาก็ต้องลงและเดินไปต่อ คุณลุงนำทางบอกกับน้องสาวแค่ว่า เดินตรงไปทางนี้อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว น้องสาวได้ยินแบบนั้นก็รีบเดินนำไปราวกับว่าตัวเองชำนาญเส้นทาง เพียงแค่คุณลุงนำทางบอกแค่ว่าเดินไปทางนี้ น้องสาวเฝ้ารอมากๆ ที่จะได้ไปเห็นที่จุดหมายปลายทางที่เฝ้ารอ แต่ว่า... ไม่ว่าเดินทางไรมันก็ไม่ถึงสักที จนน้องสาวก็เริ่มบ่นว่าร้อนบ้าง เหนื่อยบ้าง ไกลบ้าง แต่ถึงจะบ่นแบบนั้นฝีเท้าของน้องสาวก็ยังก้าวเท้าต่อไป  เพราะน้องสาวยังมีความหวังอยู่ว่าข้างหน้ายังมีจุดหมายรอน้องสาวอยู่ และรวมถึงกำลังผลักดันจากคุณลุงนำทางที่ค่อยบอกกับน้องสาวด้วยเสียงเรียบ

          คุณลุงนำทาง : เดินต่อไปอีก  อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว

          ในที่สุดน้องสาวก็ได้มาถึงที่หมาย เขาเรียกที่นี่กันว่า ‘โรงเรียนสร้างความฝัน’ โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไกลห่างออกจากความเจริญเป็นโรงเรียนที่ตั้งแยกโดดออกมาจากเมืองเล็กๆ ที่ให้พวกเขาได้ลงไปซื้อของ สิ่งแรกที่น้องสาวได้เจอ น้องสาวเจอเด็กๆที่อายุน้อยกว่าน้องสาว พวกเขามาจากที่ไกลแสนไกลและมารวมตัวกันที่นี่เพื่อที่จะเรียนรู้และสร้างความฝัน  โรงเรียนสร้างความฝันแห่งนี้ ไม่เหมือนกับโรงเรียนที่น้องสาวเคยเรียนมา ที่นี่ทำให้น้องสาวรู้สึกว่าพวกเขาอยู่กันแบบครอบครัว พวกเขาเชื่อมกันด้วยคำว่า ‘เข้าใจกัน’ เพราะมันทำให้น้องสาวเห็นว่า พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและพูดคุยกันได้

          ตอนที่น้องสาวมาถึงก็ได้รับการตอนรับอย่างอบอุ่น บรรดาคุณครูพาน้องสาวไปกินข้าวที่บ้าน มีอาหารมากมายที่น้องสาวไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าในใจจะมีความรู้สึกไม่กล้ากินอยู่บ้าง แต่ในเมื่อโอกาสการเรียนรู้ของน้องสาวได้มาถึงแล้ว น้องสาวจึงเต็มที่กับมันก่อนที่จะมานั่งเสียใจภายหลัง แต่แล้วน้องสาวก็หยุดตัวเองไม่ได้ อาหารมื้อแรกของการมาถึงมันอร่อยจนหยุดมือไม่ได้ น้องสาวตั้งใจกินจนบางทีก็ลืมที่จะพูดคุยกับเหล่าคุณครู เมนูที่ได้กินมันมีทั้งสีเขียวที่ต้องกินคู่กับแท่งกรอบสีน้ำตาลที่ให้ทั้งรสชาติที่เผ็ดและความรู้สึกกรอบ หรือจะเป็นผลไม้ที่หน้าตาคล้ายรูปดาว ที่เมื่อไรได้ลองกัดเข้าไปหน้าตาของเราก็จะเปลี่ยนไปอย่างประหลาด ทานข้าวอิ่มได้ไม่นาน น้องสาวก็ไปอยู่กับเด็กๆในโรงเรียนกันต่อ วันนี้โรงเรียนมีการประชุม เขาเรียกกันว่า ‘ประชุมสภา’ การประชุมดำเนินการโดยเด็กนักเรียนที่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนคอยนำให้กับเด็กคนอื่นๆ ชุดประจำตัวของเธอจะแตกต่างกับคนอื่นอาจจะเพราะเธอมาจากที่ไม่เหมือนกับเพื่อนๆ  นอกจากนี้สิ่งที่น้องสาวได้เห็นคือ ความแตกต่างจากสิ่งที่น้องสาวเคยเจอ ตลอดมาน้องสาวจะมีสิทธิเป็นเพียงแค่ผู้ฟัง และจะต้องทำตามหากไม่ทำตามน้องสาวก็อาจจะต้องโดนลงโทษ แต่สำหรับที่โรงเรียนสร้างความฝันมันไม่ใช่ ทุกคนที่นี่รับฟังกัน เพราะแบบนี้สินะทำให้น้องสาวรู้สึกได้ในครั้งแรกว่าพวกเขาเชื่อมโยงกันด้วยความเข้าใจกัน  และตอนนี้น้องสาวก็เหมือนจะตกหลุมรักที่นี่เสียแล้ว

          วันต่อมาน้องสาวได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็กๆ ในโรงเรียนน้องสาวก็ได้รู้มาว่าเด็กที่นี่ล้วนมีความฝัน น้องสาวได้มีเพื่อนใหม่คือ มอนรี่กับลิสา ทั้งสองคนเป็นขี้อายแตกต่างจากน้องสาวที่ชวนพูดชวนคุยอยู่ฝ่ายเดียว แต่แล้วไม่นานน้องทั้งสองเด็กทั้งสองก็ได้ถามชื่อของน้องสาว ความรู้สึกของน้องสาวในตอนนั้นดีใจมาก เพราะมันไม่ใช่แค่น้องสาวคนเดียวแล้วที่อยากจะรู้จัก แต่เด็กทั้งสองก็เช่นกันที่ก็อยากรู้จักเขา การพูดคุยดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้หยุด น้องสาวได้ถามถึงเรื่องเสียงเพลงที่เด็กทั้งสองฟังกัน จนต้องเปิดฟังดูว่าเป็นแบบไหนผ่านทาง ‘เครื่องสารพัดประโยชน์’ จากนั้นมอนรี่จึงขอให้เราเปิดเพลงที่อยากจะฟัง ความปรารถนาเพียงเล็กน้อย แต่รอยยิ้มแห่งความสุขของเด็กๆ มันดูยิ่งใหญ่สำหรับน้องสาวในเวลานั้นมากๆ มีหลายอย่างที่น้องสาวเคยทำแล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่มอนรี่และลิสายังไม่เคยที่จะได้ทำ แต่ทั้งสองมีความฝันที่ชัดเจน มอนรี่บอกมาว่าอยากจะทำขนม ในขณะที่ลิสาบอกอยากทำด้านเย็บปัก แตกต่างกับน้องสาวที่แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร เป็นสิ่งที่น่ายินดี สำหรับคนที่ค้นหาความฝันของตัวเองเจอ และใช้ประสบการณ์เป็นตัวทำให้พวกเธอพัฒนาไปมากยิ่งขึ้น

น้องสาวพูดคุยไปด้วยแต่สายตาก็มองที่สิ่งที่ลิสาทำ มันคือสิ่งหนึ่งที่หากเทียบกับน้องสาวในวัยเดียวกันกับลิสาแล้ว คงไม่มีวันจะได้ทำ มันคือการทอผ้า เป็นผ้าแบบเดียวกันที่พวกเธอสวมใส่ เป็นผ้าประจำตัวของพวกเธอ แต่ที่เขาทำไม่ได้ทอเพื่อใส่เองอย่างเดียว แต่พวกเธอทำมันเพื่อที่จะแลกกับเหรียญทอง เพื่อเก็บเอาไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น มันอาจจะเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับน้องสาวมันแตกต่าง การทำงานแลกเหรียญทองในสังคมของน้องสาวมันคือการทำเพื่อความปรารถนาของตัวเอง แต่สำหรับคนที่นี่มันคือการทำงานเพื่อให้ได้ถึงการเลี้ยงชีวิต ฉะนั้นคุณค่าของเหรียญทองของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน

          อยู่ที่โรงเรียนสร้างความฝันมาได้ 2 วัน และวันนี้คือวันสุดท้ายที่น้องสาวจะได้อยู่ และวันนี้โรงเรียนจะออกไปร่วมงานที่แดนศักดิ์สิทธิ์ ในวันนี้ทุกคนก็จะใส่ชุดประจำตัวเอง และน้องสาวก็ได้ใส่ชุดเหมือนกับทุกๆคน เมื่อได้ไปร่วมงานที่แดนศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความอบอุ่น ทุกคนในงานมาจากต่างที่ทั้งคนในพื้นที่และคนนอกพื้นที่เหมือนกับน้องสาว ในงานมีแต่ความกันเองและสนุกมาก ได้ดูการแสดงศักดิ์สิทธิ์ของคนที่นี่ ทุกครั้งที่เหล่านักแสดงโปรยดอกไม้ เป็นภาพที่สวยและติดตาน้องสาว ที่แห่งนี้ทำให้น้องสาวหลงรักทุกครั้งที่เจอสิ่งใหม่ จนทำให้อยากจะอยู่ที่นี่ แต่คงจะไม่ได้เพราะสุดท้ายน้องสาวก็ต้องเดินทางไปที่อื่นต่อ โดยที่ครั้งนี้น้องสาวไม่ได้มีโอกาสบอกลาเด็กๆ ในโรงเรียน

          น้องสาวได้ขึ้นยานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนน้องสาวต้องไปขึ้นยานของคนอื่น ในยานมีคุณลุงใจดีอยู่ 3-4 คน พวกเขาชวนน้องชวนคุยอย่างสนุกสนานคุณลุงชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่คุณลุงได้ไปมา และทุกที่ที่คุณลุงไปก็จะมีแก่นเรื่องหรือสาระอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเรื่องประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่นั้น หรือเรื่องความดี การช่วยเหลือกัน แม้กระทั่งเสน่ห์ของแต่ละที่ที่คุณลงไป การพูดคุยมีตลอดทางไม่เว้นแม้แต่ตอนที่พวกเขาแวะทานข้าว คุณลุงใจดีก็แนะนำอาหารต่างๆ ให้กับน้องสาว อีกทั้งยังเลี้ยงข้าวน้องสาวอีก การเดินทางครั้งนี้มีแต่ความสุขจนน้องสาวก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่านี้พวกเขารู้จักกันได้ไม่ถึง 3ชั่วโมงด้วยซ้ำ และเมื่อต้องแยกจากกัน น้องสาวก็คิดได้ขึ้นมาว่า อยากจะเป็นเหมือนกับพวกคุณลุงบ้าง อยากจะออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ และได้บอกเล่าให้คนอื่นได้ฟัง และน้องสาวก็อยากจะกลับไปที่โรงเรียนสร้างความฝัน กลับไปเล่าเรื่องที่น้องสาวได้เจอมา หวังว่าสิ่งนั้นจะสามารถเติมเต็มความฝันของเด็กให้เพิ่มมากขึ้น

          น้องสาวเข้ามาอีกเมือง เพื่อรอเวลานั่งยานกลับบ้าน เมืองนี้มีชื่อว่า เมืองแห่งตัวตน  น้องสาวรู้สึกได้ทันทีของความแตกต่างจากสิ่งที่น้องสาวไปเจอมา เมืองนี้มีความหลากหลาย เป็นเมืองที่มีความเจริญแต่ก็ยังรักษาความเป็นตัวเองอยู่ ความเป็นตัวเองที่น้องสาวพูดถึงไม่ใช่แค่ตัวตนเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้คนที่มีสีสันและความสุข น้องสาวได้มีโอกาสเดินไปรอบๆ เมือง ก็ได้เห็น ‘หอแห่งการบันทึก’ อยู่หลายที่ เป็นการเก็บเรื่องราวต่างๆของเมืองนี้เอาไว้ แต่น่าเสียดายที่มันดันปิดเสียแล้ว น้องสาวจึงไม่ได้เข้าไปดู น้องสาวเดินคอตกตลอดทางจนเดินมาถึง ‘ประตูศักดิ์สิทธ์’ ในวันนี้เป็นวันที่คนส่วนใหญ่จะมาทำการค้าขายและแลกเปลี่ยนเหรียญทองกันที่นี่ น้องสาวก็ได้เดินเข้าไปดู มีของมากมายจนน้องสาวเดินไม่ทั่ว และมีสิ่งใหม่ๆ ที่น้องสาวก็ไม่เคยเห็น ‘เหล่านักเที่ยว’ มาเดินชมของและแลกเปลี่ยนเหรียญกันอย่างสนุก เพราะมันคือสิ่งที่เขาต้องการสร้างความสุขให้กับตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้คนที่นี่มากหน้าหลายตาเพื่อเป็นเมืองที่ใครๆ ก็อยากจะได้มา รวมถึงน้องสาวด้วย และยิ่งมาเจอแบบนี้น้องสาวก็ยิ่งอยากจะรู้จักเมืองนี้มากขึ้น แต่เพราะหอแห่งการบันทึกเกี่ยวกับเมืองแห่งตัวตนปิด ทำให้น้องสาวจะต้องเปลี่ยนสถานที่ศึกษา น้องสาวจึงเลือกไปที่หอแห่งการบันทึกเกี่ยวกับบ้านที่ห่างไกล เป็นเรื่องราวของบ้าน มอนรี่ ลิสา และเพื่อนๆทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนสร้างความฝัน พวกเขาคือกลุ่มๆ หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป และน้องสาวก็ได้รู้ถึงความเก่งของพวกเขา จนน้องสาวยังเสียดายที่อยู่นานกว่านี้ไม่ได้ถ้าอยู่นานทำความรู้จักกับคนที่นั่นมากกว่านี้ น้องสาวคงจะเห็นอะไรด้วยเองอีกเยอะ

          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว น้องสาวก็ต้องเดินทางกลับแล้ว การเดินทางที่แสนรวดเร็ว น้องสาวได้อะไรหลายอย่าง ได้เปิดโลกที่น้องสาวไม่เคยพบ ทำให้น้องสาวก็อยากจะรู้อยากจะเรียนมากขึ้น และเมื่อน้องสาวได้กลับมาที่เดิม ‘เมืองสายน้ำ’ มันอาจจะดูเหมือนน้องสาวได้วนกลับมาอยู่ที่เดิม ถึงแม้จะเป็นที่เดิมแต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม เพราะความทรงจำที่ได้มาน้องสาวยังจำมันได้ดี รวมถึงความฝันที่อยากจะกลับไปโรงเรียนสร้างความฝันอีกครั้ง เพื่อกลับไปเล่าเรื่องราวต่างๆ ต่อเติมความฝันให้กับเด็กๆ เหมือนกับคุณลุงใจดีสร้างมันให้กับน้องสาว  

 

ย่านเมืองเก่า ความปวดร้าวที่ต้องยอมรับ? (2) โดยนางสาวฑิชาธร กลั่นเกษร

ปรากฏการณ์การพิทักษ์ความดีงามแห่งรัฐ คำว่า “ความดีงามแห่งรัฐ” คือ สิ่งที่รัฐมองว่าดีงามและควรค่าแก่การรักษา

ย่านเมืองเก่า ความปวดร้าวที่ต้องยอมรับ? (1) โดย นางสาวฑิชาธร กลั่นเกษร

หากเราลัดเลาะรอบกรุงรัตนโกสินทร์ สิ่งที่เห็นล้วนเต็มไปด้วยวัดวาอาราม ย่านที่เต็มไปด้วยความดีงามที่ควรแค่แก่การอนุรักษ์นำมาซึ่ง “แผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์”

Storytellers In Journey : นักเล่าเรื่องในที่อื่น

“Raising and caring for children is more like tending a garden :
it involves “a lot of exhausted digging and wallowing in manure” to create a safe,
nurturing space in which innovation, adaptability and resilience can thrive.”

เดินทาง เรียนรู้ แลกเปลี่ยน ก้าวข้าม โดย ดาราวดี พานิช

หลังจากครุ่นคิดมาทั้งคืน ถึงพื้นที่การเรียนรู้ มุกได้เลือกไปที่ ชุมชนไทดำ จังหวัดสุราษฎร์ธานีค่ะ มีหลายเหตุผลมากมายในการเลือกเดินทางครั้งนี้ นั่นก็คือ อยากที่จะไปเรียนรู้ถึงวัฒนธรรม พิธีกรรม รวมถึงวิถีชีวิตต่าง ๆของคนไทดำ ว่ามีความแตกต่างกับชีวิตประจำวันของเราอย่างไร และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้