Skip to main content

ประเด็นมาแรงของยุคนี้เห็นจะไม่พ้นสตาร์ทอัพนะครับ (Start-Up Business) เนื่องจากเป็นแนวทางที่ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมทุนนิยมที่รัฐต้องการจะผลักดันประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง หรือการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อส่งออก มาเป็นการพัฒนาธุรกิจที่มีนวัตกรรมตอบสนองต่อความต้องการใหม่ๆของตลาด  

ยิ่งธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศแล้วสามารถทะลุทะลวงไปเจาะตลาดในต่างประเทศหรือดึงดูดนักลงทุนหรือลูกค้าจากต่างประเทศมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าได้ก็ยิ่งเป็นที่ปรารถนาของรัฐบาล เป็นตัวช่วยขับดันเศรษฐกิจที่ใครๆก็รู้ว่าโดนกีดกันอันเนื่องมาจากระบอบการเมืองการปกครองประเทศในตอนนี้

เมื่อพูดว่ารัฐจะลงมาช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการรายย่อยหน้าใหม่ๆ เข้าสู่โครงการตั้งตัวสร้างธุรกิจ ทำให้คิดขึ้นได้ทันทีว่า ใช้พลังภายในอะไรมาขับเคลื่อน?   เห็นจะไม่พ้นงบประมาณ และการอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ

รัฐในปัจจุบันมักถูกเรียกร้องให้แสดงบทบาทหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือเข้าไปแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจมากมายหลายชนิด จนลืมไปว่าต้องตั้งสติให้ดีว่า อะไรเป็นหน้าที่ของรัฐบ้าง สิ่งไหนรัฐแค่อำนวยความสะดวก และประเด็นไหนที่รัฐต้องเข้าไปกำกับควบคุม หรืออะไรที่รัฐต้องลงไปทำเสียเอง 

ความเหมาะสมตรงนี้ไม่ได้เอามาวัดผลงานรัฐบาล แต่จะเป็นตัวบอกว่า ผู้ประกอบการจะยืนอยู่บนลำแข้งของตนเองต่อไปได้หรือไม่ เมื่อหมดกำลังภายในของรัฐพยุงอีกต่อไปแล้ว

ระบอบเศรษฐกิจการเมืองที่รัฐเลือกจะเป็นตัวบอกว่า รัฐเข้ามาแทรกแซงมากน้อยเพียงไร และเอกชนต้องช่วยเหลือตัวเองมากขนาดไหน  ไล่มาตั้งแต่  รัฐรวบอำนาจทุกอย่างมาทำเองแบบรวมศูนย์การตัดสินใจ   รัฐออกกฎระเบียบไว้แล้วให้สมาคมผู้ประกอบการไปดำเนินการตามแนวทางและควบคุมกันเอง ไปจนถึงการปล่อยให้ผู้ประกอบการสร้างอาณาจักรธุรกิจและวางกฎกติกาโดยการตกลงกับลูกค้าโดยตรง ฯลฯ

หากมองธุรกิจที่พูดถึงเยอะในยุคเศรษฐกิจดิจิตัลที่รัฐแถลงไว้ว่าจะใช้เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน  “ธุรกิจบริการ” โดยใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร น่าจะเป็นสิ่งที่ควรหยิบมาวิเคราะห์

ประเด็นนี้โดนนักคิดบางส่วนดักทางไว้แต่ต้นว่า โครงการสนับสนุนสตาร์ทอัพของรัฐบาลเป็นการหาเสียงเชิงประชานิยมกับ “ชนชั้นกลางที่มีการศึกษา” หรือไม่?  เพราะรูปแบบการเขียนโครงการเอย การพัฒนานวัตกรรม การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ล้วนแล้วแต่ไกลเกิน คนรากหญ้าที่ทำมาหากินข้างถนนหรือในชนบท

ยิ่งมีชนักติดหลังเกี่ยวกับการเคยโจมตีนโยบายประชานิยมของรัฐบาลเลือกตั้งว่า เอาเงินไปโปรยให้กับวิสาหกิจชุมชนแบบประชานิยม ทั้งกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน ที่กลายเป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซื้อโทรศัพท์ มอเตอร์ไซค์ รถกระบะ (มีวิจัยพบว่า ชาวบ้านซื้อมือถือเพื่อติดต่อซื้อขายและรับจ้างงาน มอเตอร์ไซค์ทำให้ความสามารถในการออกไปรับจ้างได้ไกลขึ้น รถกระบะทำให้ส่งของหรือไปรับงานต่างถิ่นได้กว้างขึ้น)

หากมองว่า ธุรกิจใดจะรอดได้มีเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ
1. Speed  เพิ่มความเร็วในการให้บริการ ขาย/ส่งสินค้า รวมไปถึงสะดวกสบายให้กับลูกค้า

2. Diversity รองรับความต้องการที่มากมายจากลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ต่างพื้นที่ หรือมีเวลาในการซื้อขาย/ใช้บริการไม่ประจำ

3. Trust ประกันความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าธุรกรรมที่ทำไปจะมีผลบังคับได้จริง และได้รับการดูแลเป็นอย่างดีหากมีปัญหา
เราจะเห็นว่า บทบาทภาครัฐที่แท้จริงอยู่ที่ ข้อ 3 คือการสร้าง “ความไว้วางใจ” ให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงในการกำหนดกฎเกณฑ์และบังคับให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบต่อสัญญาที่ได้ให้ไว้ และปรับปรุงบริการให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง กลับเป็นภาครัฐทยอยใช้อำนาจกฎหมายทื่อๆและล้าหลังเข้าไปปิด โมเดลธุรกิจที่ Startup มาจากต่างประเทศ และเริ่มมีผู้ประกอบการรายย่อยไทยเข้าไปร่วม อาทิ UberMoto, GrabBike, Airbnb โดยมีสาเหตุหลักจริงๆ จากการเสียประโยชน์ของผู้อยู่ในตลาดมาก่อน และมีเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่ได้ประโยชน์รู้สึกวิตกกังวลจนต้องสกัดกั้น  และนำมาสู่การลอกโมเดลธุรกิจมาทำเองในนามของ “รัฐ”  มิพักต้องพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ หรือโครงสร้างบริษัทประชารัฐกลุ่มทุนเดิมๆเข้ามาอยู่กุมบังเหียน  

จนชวนให้คิดไปว่า รัฐไทยมีการจัดระบอบเศรษฐกิจการเมือง อย่างไรกันแน่? 

เอกชนควรจะเป็นแรงขับดันหลัก หรือผู้ประกอบการรายย่อยต้องเข้าไปสยบต่อรัฐ หรืออยู่เป็นลูกไล่ของทุนใหญ่

หากมองว่า ทุนของรัฐไทย ที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจได้ ก็มีธุรกิจอีกกลุ่มที่น่าพูดถึง คือ ธุรกิจที่ใช้มรดกทางวัฒนธรรม เป็นศูนย์กลาง นั่นก็คือ ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ รวมไปถึงการค้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่มีข่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านขอขึ้นทะเบียน "โขน" เป็น Intangible Cultural Heritage: ICH ตามอนุสัญญา Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage  มีข่าวว่า ไม่ต้องตกใจ เพราะเราก็เตรียมการเรื่อง "โขน" ไว้แล้ว  อีกทั้งยังมีอีก 4 รายการ คือ นวดแผนไทย โนราห์ มวยไทย และสำรับอาหารไทย   แต่จริงๆเรายังทำไม่ได้เพราะเราไม่ได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ

กฎหมายระหว่างประเทศสายอนุรักษ์ทรัพยากรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมรดกวัฒนธรรม ธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม มักจะต้องพยายามหาวิธีการชักจูงให้รัฐภาคีดูแล "มรดก" ที่อยู่ในเขตอำนาจของตน


 

การจดทะเบียน หรือ ขึ้นทะเบียน มิได้ทำให้ กรรมสิทธิ์ ความเป็นเจ้าของเปลี่ยนไปก็จริง แต่สิ่งที่เกิดคือ

การนำไปใช้ประโยชน์ในทางการตลาดท่องเที่ยวระดับโลก เพราะเป็นการผูกเอา มรดกนั้นเข้ากับรัฐ กลายเป็น Brand สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา เพื่อเสริมสร้าง ตำแหน่งแห่งที่ของตน Position ให้คนที่กำลังตัดสินใจเห็นชัดขึ้น

ใน ยุโรปตะวันตก กับ ญี่ปุ่น นี่ยื่นจดทะเบียนกันมากมายทั้งมรดก "อรูป" และ มรดกวัฒนธรรม/ธรรมชาติ   ซึ่งเอกชนทำเองไม่ได้ นี่เป็น หน้าที่รัฐในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ใช้กฎหมายภายในไปห้ามโน่น ห้ามนี่ กีดกันไปเรื่อย

จริงอยู่ว่าไม่ถึงกับต้องเดือดร้อนถึงขั้นเป็นความขัดแย้งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ การช้ากว่าทุกก้าวย่อมเป็น “ต้นทุนค่าเสียโอกาส”  กล่าวคือ  การขึ้นทะเบียน “วัฒนธรรมอรูป” โดยเชื่อมกับชื่อของ “รัฐ” นั้นประเทศที่มีชื่อจะได้ประโยชน์ในเชิง Branding และสร้าง Positioning ในทางธุรกิจการท่องเที่ยว และสินค้า/บริการ วัฒนธรรม ระหว่างประเทศครับ

มีกรณีศึกษาของกลุ่มประเทศโลกที่ 3  จดทะเบียนมรดกวัฒนธรรมต่างๆ ไป ทั้ง “วัฒนธรรมอรูป” หรือ “มรดกวัฒนธรรมและธรรมชาติ” (ตาม Convention Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage – เขาใหญ่ และกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร) โดยมิได้สร้างเครือข่ายในการหาประโยชน์มาล้อมไว้ให้พร้อม   ก็จะเกิดการสูญเสียโอกาสและถูกชุบมือเปิบไปนั่นก็คือ บรรษัทข้ามชาติมาล้อมหมด ทั้งโรงแรม และร้านอาหาร ทัวร์ สินค้าที่ระลึก ปลอดภาษี และการเดินทางของคนและสินค้า


หากรัฐต้องการขับเคลื่อนภาคธุรกิจก็ต้องรู้หน้าที่หลัก และเร่งดำเนินการประสานกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ต้องทำงานร่วมกันมากขึ้นในการเร่งทำข้อมูลและขึ้นทะเบียนมรดกทั้งหลาย

ครับ ปัญหาคลาสสิกของราชการไทย

ส่วนเรื่องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆปล่อยให้ผู้ประกอบการหาทางกันไปถ้ามันมีช่องทาง จะห้ามทำไมล่ะครับ

 

ผู้เขียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
คลินิกกฎหมาย ฉบับสมบูรณ์ 41 ตอน พร้อมเชิงอรรถอ้างอิงข้อกฎหมายเป๊ะๆ วางแผงแล้ว 
ทศพล ทรรศนพรรณ
วิกฤตการเมืองการปกครองไทยในหลากหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช่วง 4-5 ปีหลัง   ประเด็นทางกฎหมายที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชนนั้นมุ่งตรงมาที่ “การใช้อำนาจอธิปไตยในการวินิจฉัยชี้ขาดของศาล”   เนื่องจากการทำหน้าที่ของศาลนับแต่ปี 2549 เป็นต้นมา ได้อยู่ในความสนใจของสังคมเป็นอย่างยิ่ง &nbsp
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องถัดมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งพึ่งมารู้จักกันด้วยเหตุแห่งความซวยครับ   ปัญหาจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์นั่นเอง แต่ไม่ใช่การประสบอุบัติเหตุหรอกนะครับ แต่เป็นเรื่องของความซวยที่มากระแทกหน้าเสียมากกว่า   คงสงสัยกันแล้วว่าเป็นมาอย่างไร ไปติดตามเรื่องที่น้องเขา
ทศพล ทรรศนพรรณ
เนื่องจากมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปรัชญากฎหมาย สำนักกฎหมายธรรมชาติ และสำนักกฎหมายบ้านเมือง ในการตอบโต้ทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง   และตำราด้านปรัชญากฎหมายไทยก็มีความเฉื่อยกว่าพัฒนาการด้านปรัชญากฎหมายที่ถกเถียงและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในระดับโลก   จึงขออธิบายให้เข้าใจดังต่อไปนี้
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องถัดมาเกี่ยวเนื่องกับการใช้โทรศัพท์มือถือนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้จะเห็นแผงขายมือถือ บัตรเติมเงิน และการออกประกาศแจกซิมการ์ดโทรศัพท์ฟรีๆ กันตามสถานที่ทั่วไป ทั้งป้ายรถเมล์ ในห้าง วินมอเตอร์ไซค์ ท่าน้ำ ในตลาด และแหล่งชุมชนที่คนพลุกพล่าน   พอมารับเรื่องร้องทุกข์จึงได้รู้ว่ามีคนจำนวนมากที
ทศพล ทรรศนพรรณ
ค่าไฟ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ใกล้ตัวเรามากในสมัยนี้ เพราะ ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่ไม่ว่าบ้านไหนก็คงต้องใช้ขับเคลื่อนเครื่องใช้ไฟฟ้ากันใช่ไหมครับ แต่ผมก็เคยออกไปลงพื้นที่กับคลินิกกฎหมายในพื้นที่ห่างไกลไม่มีไฟฟ้าอยู่บ้างเหมือนกันครับ ซึ่งชีวิตของคนในพื้นที่นั้นจะต่างจากในเมืองหรือบ้านที่ไฟฟ้าเข้าถึงเลยครั
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องราวความสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่งที่ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ประการใด หลังจากนั้นมีปัญหาเรื่องมือที่สามเข้ามา ทำให้ครอบครัวฝ่ายชายมาปรึกษาเพราะกลัวว่าจะถูกหลอกและปอกลอกทรัพย์สินไปจนหมด
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องนี้ผู้ที่มาปรึกษาเล่าว่า “บิดาข้าพเจ้าไปเซ็นค้ำประกันการซื้อรถยนต์ให้กับเพื่อนที่สนิทกันมานาน เนื่องจากเพื่อนไม่มีญาติเป็นข้าราชการ อีกทั้งสินทรัพย์ต่างๆก็ไม่มีจะเอาไปค้ำประกัน   แต่จำเป็นต้องซื้อรถเพื่อเอามาขนส่งของทำมาหากิน พ่อของข้าพเจ้าเห็นว่าควรช่วยให้เพื่อนมีช่องทางทำมาหากิน
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องของสัตว์ในบางครั้งก็สร้างความยุ่งยากให้กับคน ยิ่งสัตว์เลี้ยงไปสร้างความเสียหายให้กับคนอื่นก็ย่อมเป็นเรื่องปวดหัวให้เจ้าของต้องจัดการ ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามกลายเป็นการทรมานหรือสังหารสัตว์อย่างที่เห็นสื่อนะครับ   ในทางกฎหมายเรื่องสัตว์เลี้ยงนี้เป็นข้อพิพาทในทางทรัพย์สิน จึงอยู่ที่การใช้การ
ทศพล ทรรศนพรรณ
สังคมที่ขับเคลื่อนโดยระบบตลาดทุนนิยมเสรีนั้น ฝากความหวังไว้กับผู้บริโภคในการคัดเลือกสิ่งที่ดีให้คงอยู่ในตลาด  ผ่านการจ่ายเงินซื้อและสนับสนุนสินค้าและบริการที่ผลิตอย่างมีคุณภาพ ราคาเหมาะสม หรือที่นักเศรษฐศาสตร์คาดหวังว่า จะมีเพียง “ผู้ใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” เท่านั้นที่จะคงเหลืออยู
ทศพล ทรรศนพรรณ
เรื่องต่อไปนี้ขยายวงกว้างไปมากหลังจากบัตรเครดิต/เดบิต กลายเป็นเงินพลาสติกที่เราพกพาไปไหนได้ง่าย ไม่ต้องกลัวว่าแบบพกเงินสดว่าถ้าตกหายไปแล้วมันจะสูญเสียไปทันที  แถมยังมีข้อดีตรงที่เรามีวงเงินเพิ่มเติมได้หากต้องการใช้เงินฉุกเฉินหรือใช้เงินเกินกวาที่วางแผนล่วงหน้าไว้นิดหน่อย   แม้มีหลา
ทศพล ทรรศนพรรณ
คราวนี้เราจะกล่าวถึงเรื่องใด?