ตะวันสายแดดส่องฟ้า เรือหาปลากับชายชรากำลังเดินทางออกจากท่า เพื่อหาปลาอีกครั้ง ในแสงแดดยามสาย ชายชรากำลังสลัดคราบไคร้ที่เกาะติดเบ็ดออก เพื่อทำความสะอาดให้มันกลับมาพร้อมใช้งานอีกครั้ง
สายน้ำลดระดับลงอีกครั้งหลังโถมถั่งในหน้าฝน สายน้ำเชี่ยวกรากกลับกลายเป็นแผ่วเบา และลดความเกรี้ยวกราดลง วันนี้ไม่แตกต่างจากหลายวันในช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว ชายชรายังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติในครรลองของคนกับเรือเหนือสายน้ำอันกล่าวได้ว่าคือสายชีวิตของชายชราด้วย
สายลมแห่งเดือนมกราคมพัดมาเยือกเย็น ริมฝั่งน้ำตรงกระท่อมหาปลา ชายชรานั่งเงียบงันอยู่ข้างกองไฟ ๒ วันมาแล้วยังหาปลาไม่ได้ ช่วงนี้จึงมีเพียงกุ้งติดฟดริมฝั่งน้ำเท่านั้น กุ้งเหล่านี้แม้มันจะตัวเล็กกว่าปลา แต่ในยามหาปลาไม่ได้ นอกจากมันจะเป็นเหยื่อเบ็ดเพื่อล่อเอาปลาแล้ว มันยังกลายมาเป็นอาหารในบางมื้อสำหรับชายชราอีกด้วย
คนเคยกินแต่ปลาตัวใหญ่ พอมากินกุ้งที่ตัวเองคิดเพียงว่ามันเป็นเหยื่อล่อปลา ในห้วงแห่งความรู้สึกเช่นนี้ของชายชรา แกจะรู้สึกอย่างไร เสียใจ ดีใจหรือว่าแกไม่ได้คิดอะไรเลย เรื่องราวเหล่านี้มีเพียงชายชราเท่านั้นจะเฉลยมันออกมา
หลังกลับมาจากหาปลาในตอนใกล้ค่ำ วันนี้ก็เหมือนเดิมกับเมื่อวาน เมื่อลงมือทำอาหารชายชราก็มุ่งหน้าลงไปยังท่าน้ำ เพื่อเอากุ้งมาทำเป็นอาหาร หลังได้กุ้งพอกับความต้องการ ชายชราก็นำกุ้งมาคดเอาแต่ตัวขนาดนิ้วหัวแม่มือ เพราะถ้าเอากุ้งตัวใหญ่มันก็จะไม่เปลืองมาก แต่ถ้าเอากุ้งตัวเล็กมา เราก็ต้องใช้กุ้งเยอะ ชายชราเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหลังจากไม่ได้ปลาอาจจะไม่ได้กุ้งด้วย เพราะกุ้งจะติดฟดก็ในช่วงข้างขึ้นเท่านั้น การดักฟดกุ้งก็ไม่ได้ต่างจากการลอบหมึกในทะเลเท่าใดนัก ในช่วงที่กุ้งได้เยอะก็ได้เยอะ แต่ในช่วงที่ไม่ได้เลยแม้แต่จะพอเอาให้แมวกินก็ยังยาก
เมื่อกลับขึ้นมาถึงกระท่อม ชายชรามุ่งหน้าไปยังเตาไฟ ไม่นานนักไฟก็สว่างขึ้นมา หลังจากชายชราง่วนอยู่กับกองไฟ พอไฟสว่างโพลงขึ้นมา ฟืนชิ้นเล็กไปจนถึงชิ้นใหญ่ก็ถูกใส่เข้าในกองไฟ จากไฟกองเล็กก็กลายเป็นไฟกองใหญ่ ขณะไฟจากท่อมฟืนกำลังคุได้ที่ชายชราก็เดินไปยังถังน้ำแล้วกลับมาพร้อมกับหม้อหนึ่งใบที่มีกุ้งอยู่ในนั้น พอมาถึงชายชราก็จัดแจงเอาหม้อขึ้นวางบนก้อนหินที่วางอยู่ข้างกองไฟ หลังหม้อเดือด ชายชราก็หยิบเกลือมาใส่ลงไปในหม้อ หลังใส่เกลือลงไปไม่นาน ชายชราก็ยกหม้อออกมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะเดินไปหยิบจานมาใส่กุ้งคั่วเกลือ
อาหารทุกอย่างถูกจัดแจงมาวางบนพื้นระเบียงกระท่อม เมนูหลักเป็นกุ้งคั่วเกลือ เมนูรองลงมาเป็นน้ำพริกกับผักกาดลวกที่เหลือจากตอนเช้า แล้วมื้อค่ำของชายชราก็เริ่มขึ้น หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ชายชราก็ออกมานั่งม้วนบุหรี่ดูดอยู่ตรงระเบียงกระท่อม หลังดีดก้นบุหรี่ทิ้งไป ชายชราก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อม ไม่มีใครรู้ว่าในห้วงเวลาเช่นนี้ชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจ
ลมหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ชายชราก็ขัยบตัวลุกขึ้นเดินถือตะเกียงเข้าไปในกระท่อม จากนั้นก็จัดที่หลับที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสวดมนต์ไหว้พระ เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จสิ้น แสงตะเกียงก็ดับวูบลง ทุกอย่างในกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืด
เมื่อจมลงสู่ความหลับไปเนิ่นนาน ชายชราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ในลมดึกนั้น ชายชราลุกขึ้นมานั่งทบทวนความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นความฝันที่ชายชราไม่เคยฝันเลยแม้แต่ครั้งเดียว และชายชราจึงคิดว่าความฝันที่เกิดขึ้นเป็นความฝันประหลาด
ชายชราฝันไปว่า มีปลาใหญ่รูปร่างประหลาดมาติดเบ็ด ปลาใหญ่ตัวนั้นมันดิ้น เพื่อจะให้ตัวเองหลุดจากเบ็ด ทุกครั้งที่มันดิ้น น้ำจะแตกกระจายขึ้นไปในอากาศ รูปร่างของปลาตัวนี้ชายชราไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนหัวของมันสีขาวคล้ายปลาเลิม ส่วนตัวมีลายคล้ายหินอยู่เต็มตัว มีหางคล้ายปลากระทิง เมื่อลากเส้นผ่าสูญกลางผ่านมุมปากเส้นผ่าสูญกลางจะผ่ากลางดวงตาของปลาตัวนี้พอดี
ในฝันนั้นชายชราเห็นตัวเองกำลังดึงปลาตัวนั้นเข้าฝั่ง ทุกครั้งที่ดึงมันเข้าฝั่ง มันก็จะดึงชายชรากลับลงไปในน้ำ ชายชรากับเจ้าปลาประหลาดตัวนั้นต่อสู้กันเนิ่นนาน แต่ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ เมื่อตะวันสายโด่ง ความร้อนได้ทำให้ชายชราเหนื่อยหอบ เรี่ยวแรงเคยมีก็ค่อยๆ หายไป ขณะชายชรานั่งพักเหนื่อยอยู่ริมฝั่ง ปลาประหลาดตัวนั้นก็กระโดดขึ้นเหนือสายน้ำ ก่อนมันจะตกลงไปในน้ำ สีของมันได้เปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมันจมลงสู่น้ำ ก็เป็นเวลาที่ชายชราหายจากการตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้ ชายชราก็แก้เชือกสายเบ็ดและลองดึงเจ้าปลาประหลาดตัวนั้น หลังชายชราใช้มือสาวเชือก ๒-๓ ครั้ง เชือกสายเบ็ดเบาโหวง แรงดึงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
หลังสาวเชือกขึ้นมาบนฝั่งจนหมด ชายชราก็พบว่า ตรงปลายเชือกผูกเบ็ดมีเพียงเบ็ดดวงเดียว ปลาประหลาดตัวนั้นหายไปแล้ว ขณะชายชราตะลึงงันอยู่ ลมหนาววูบใหญ่ก็พัดมาอย่างแรง ลมนั้นพัดชายชราจนล้มลง เมื่อนอนกองอยู่กับพื้นความทรงจำของชายชราก็ดับวูบลง หลังคววามจำสุดท้ายดับวูบลง ชายชราก็สะดุ้งตื่น...
สิ้นเสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืน ชายชราก็ตัดสินใจลุกจากที่นอน เพราะหลังจากความฝันประหลาดผ่านพ้นไป ชายชราก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ เมื่อตื่นขึ้นมาชายชราก็นั่งเรียบเรียงความฝันประหลาดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายชรามึนงงกับความฝันเป็นอย่างมาก ในชีวิตแกไม่เคยฝันอะไรแปลกประหลาดอย่างนี้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงสับสน เมื่อความมึนงงสับสนไม่มีทีท่าว่าจะหาย สุดท้ายชายชราจึงหยุดคิดถึงความฝันประหลาด หลังความมึนงงสับสนหายไป ชายชราก็ลุกออกจากกระท่อมเดินไปท่าน้ำ เมื่อไปถึง ชายชราก็เดินขึ้นไปบนเรือ และพายเรือออกไปจากท่าน้ำ
ตะวันสายโด่งแล้ว ชายชรากับเรือหาปลาได้เดินเข้ากลับเข้าฝั่ง หลังจากออกไปเก็บกู้เบ็ด สีหน้าของชายชราหม่นเศร้าลง เพราะไม่มีปลาแม้แต่ตัวเดียวติดเบ็ด เมือเรือเข้าถึงฝั่ง ชายชราก็ผูกเรือกับเสาไม้ไผ่ เมื่อผูกเรือเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นเดินไปปลดเครื่องยนต์ตรงท้ายเรือ จากนั้นก็ยกขึ้นบนบ่า ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากเรือขึ้นไปบนกระท่อม
หลายวันมาแล้วที่หาปลาไม่ได้ วันนี้ชายชราจึงตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากเก็บของทุกอย่างบริเวณกระท่อมไว้อย่างดีแล้ว ชายชราก็แบกถุงปุ๋ยใส่เสื้อผ้าเดินจากกระท่อมขึ้นมาตามทางเดินแคบ และชันไปบนถนน เพื่อรอรถโดยสารกลับบ้าน
บรรยากาศของพลบค่ำเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าในฤดูหนาวมืดเร็วกว่าฤดูอื่น ขณะตะวันใกล้ลับตา ผมได้รู้จากแม่เฒ่าว่าชายชรากลับมาแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปหาชายชรา เพราะยากได้ปลาไปลาบสักตัวอยู่พอดี พอเดินไปถึงบ้าน ชายชราก็ชวนนั่งบนเตียงหน้าบ้าน ถัดมาจากผมและชายชราไป แม่เฒ่ากำลังล้างทำความสะอาดปลา เพื่อทำอาหารเย็น หลังผมนั่งลงเรียบร้อย ชายชราก็ยกน้ำใสแจ๋วออกมา ชายชราบรรจงรินมันใส่แก้วใบเล็กแล้วยื่นให้ผม หลังรับมาผมก็ยกครั้งเดียวหมด หลังน้ำใสแจ๋วผ่านลำคอ ไปสู่กระเพาะ ความร้อนจากแรงดีกรีก็เริ่มทำงาน เมื่อผลยื่นแก้วกลับไปให้ชายชราผมก็ถามชายชราว่า
“วันนี้ได้ปลาอะไรบ้างพ่อเฒ่า”
“ได้ปลาสะโม้ตัวเดียว ขายไปแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่ขายแต่กลัวไม่มีค่าน้ำมันเรือขึ้นไปเก็บกู้เบ็ดก็เลยขาย ปลานี่มันใจเสาะตายเร็วถ้าได้มาต้องรีบขาย หรือไม่ก็เอาแช่น้ำไว้ ถ้าตายมันได้ราคาไม่ดี ปลาอะไรไม่รู้พอได้มาเราต้องรีบเอาไปทำอย่างอื่น จับปลาเหมือนจับไฟเลย มันคงร้อนตอนอยู่ในมือเรา มันก็เลยให้เรารีบปล่อยมัน ถ้าไม่ปล่อยมันตายเลย”
“ได้เงินมาเท่าไหร่พ่อเฒ่า”
เมื่อผมถามถึงจำนวนเงินจากการขายปลา ชายชราไม่ตอบ แต่ลุกเดินไปหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ดู
“ได้เท่านี้แหละ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้ปลาหรือเปล่าหรือจะกลับมามือเปล่าอีกก็ไม่รู้”
พอพูดคำนี้ออกมา แกก็หันหน้าไปทางอื่นไม่ยอมหันมาสบตากับผม ในแววตาของชายชราหม่นเศร้าลงชั่วขณะ
“พรุ่งนี้จะขึ้นไปหาปลาอยู่หรือเปล่า”
“ไปอยู่ ตอนแรกว่าจะไม่ไป พอคิดไปคิดมา ถ้าเราไม่ไปใครจะเปลี่ยนเหยื่อเบ็ดให้”
“แล้วไปเช้าไหมพ่อเฒ่า”
“เช้าอยู่ แต่ถ้าไปครั้งนี้พรุ่งนี้ไม่ได้ปลาอีกจะไม่เอาเรือลงมาแล้ว จะมากับรถโดยสาร มันถูกกว่า เอาเรือมาจ่ายค่าน้ำมันทั้งไปและกลับแพงกว่าค่ารถโดยสารเท่าตัว”
“ถ้าว่างก็ขึ้นไปเที่ยวหาสิ”
เสียงของแม่เฒ่าเชิงแสดงความคิดเห็นดังเล็ดลอดออกมาจากในครัว หลังจากปลาปิ้งเริ่มส่งกลิ่นหอม
เมื่อแม่เฒ่าพูดจบ ผมก็ตอบแม่เฒ่ากลับไปว่า
“พรุ่งนี้ผมจะขึ้นไปเที่ยวหาพ่อเฒ่าอยู่บอกแกแล้ว”
ตอนนี้เสียงทำอาหารในครัวเงียบลงแล้ว ตรงหน้าประตูห้องครัว แม่เฒ่ากำลังถือจานปลาปิ้งเดินออกมา หลังวางจานปลาปิ้งลง แม่เฒ่าก็เดินกลับไปในครัวอีกครั้ง แล้วก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระติ๊บข้าวและถ้วยน้ำพริก มื้อเย็นสำหรับสองผู้เฒ่าในวันนี้คือ ปลาตากแห้งปิ้งกับน้ำพริกปลาร้า
แม่เฒ่าชวนผมกินข้าวด้วย แต่เพราะความเกรงใจผมจึงบอกปฏิเสธ และขอตัวกลับบ้าน ก่อนจะกลับ ชายชราได้ยื่นแก้วใบเดิมมาให้ ผมรับแก้วมาจากชายชราแล้วยกขึ้นแก้วขึ้นดื่มน้ำในแก้วรวดเดียวหมด หลังน้ำในแก้วหมด ผมก็ยื่นแก้วกลับคืนไปให้ชายชรา จากนั้นก็เดินจากบ้านหลังนั้น และผู้เฒ่าทั้งสองมาตามถนนกลับไปสู่บ้านพัก
เมื่อวงข้าวเริ่มต้นขึ้น ผมจึงตัดสินใจร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสอง เพื่อปล่อยให้บรรยากาศแห่งความสุขในยามค่ำคืนของผู้เฒ่าทั้งสองกลับมาอีกครั้ง เพราะวันพรุ่งนี้คนหนึ่งต้องเดินทางออกจากบ้าน เพื่อไปทำมาหากิน และไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ ผู้เฒ่าทั้งสองจะได้ร่วมวงกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันอีกหรือไม่
หลังผมกลับมาถึงบ้านพักก็หวนคิดถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่า หากเราไม่จากกัน เราคงไม่ได้พบกัน ในยามจากถึงแม้เราต้องเดินทางไปส่งกันไกลเพียงไหน สุดท้ายเราก็ต้องจากกันอยู่ดี และความจริงก็คงเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับผู้เฒ่าทั้งสองคน เมื่อยามเช้าเดินทางมาถึง ห้วงยามแห่งการจากลาระหว่างก็จะเดินทางมาถึง ในความจริง ยามเช้าอาจหมายถึงการเริ่มต้นในหลายๆ สิ่ง แต่ในขณะที่บางคนต้องตื่นมาพบกับยามเช้าอันจบลงด้วยการพรัดพราก หากว่ายามเช้าคือความเศร้าของชีวิต โลกยามเช้าจะเป็นโลกชนิดใด จังหวะชีวิตอันเกิดขึ้นจากโลกอันโศกเศร้าจะเป็นเช่นไรคงยากจะคาดเดาได้...
สายน้ำลดระดับลงอีกครั้งหลังโถมถั่งในหน้าฝน สายน้ำเชี่ยวกรากกลับกลายเป็นแผ่วเบา และลดความเกรี้ยวกราดลง วันนี้ไม่แตกต่างจากหลายวันในช่วงเริ่มต้นฤดูหนาว ชายชรายังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติในครรลองของคนกับเรือเหนือสายน้ำอันกล่าวได้ว่าคือสายชีวิตของชายชราด้วย
สายลมแห่งเดือนมกราคมพัดมาเยือกเย็น ริมฝั่งน้ำตรงกระท่อมหาปลา ชายชรานั่งเงียบงันอยู่ข้างกองไฟ ๒ วันมาแล้วยังหาปลาไม่ได้ ช่วงนี้จึงมีเพียงกุ้งติดฟดริมฝั่งน้ำเท่านั้น กุ้งเหล่านี้แม้มันจะตัวเล็กกว่าปลา แต่ในยามหาปลาไม่ได้ นอกจากมันจะเป็นเหยื่อเบ็ดเพื่อล่อเอาปลาแล้ว มันยังกลายมาเป็นอาหารในบางมื้อสำหรับชายชราอีกด้วย
คนเคยกินแต่ปลาตัวใหญ่ พอมากินกุ้งที่ตัวเองคิดเพียงว่ามันเป็นเหยื่อล่อปลา ในห้วงแห่งความรู้สึกเช่นนี้ของชายชรา แกจะรู้สึกอย่างไร เสียใจ ดีใจหรือว่าแกไม่ได้คิดอะไรเลย เรื่องราวเหล่านี้มีเพียงชายชราเท่านั้นจะเฉลยมันออกมา
หลังกลับมาจากหาปลาในตอนใกล้ค่ำ วันนี้ก็เหมือนเดิมกับเมื่อวาน เมื่อลงมือทำอาหารชายชราก็มุ่งหน้าลงไปยังท่าน้ำ เพื่อเอากุ้งมาทำเป็นอาหาร หลังได้กุ้งพอกับความต้องการ ชายชราก็นำกุ้งมาคดเอาแต่ตัวขนาดนิ้วหัวแม่มือ เพราะถ้าเอากุ้งตัวใหญ่มันก็จะไม่เปลืองมาก แต่ถ้าเอากุ้งตัวเล็กมา เราก็ต้องใช้กุ้งเยอะ ชายชราเองก็ไม่แน่ใจนักว่าหลังจากไม่ได้ปลาอาจจะไม่ได้กุ้งด้วย เพราะกุ้งจะติดฟดก็ในช่วงข้างขึ้นเท่านั้น การดักฟดกุ้งก็ไม่ได้ต่างจากการลอบหมึกในทะเลเท่าใดนัก ในช่วงที่กุ้งได้เยอะก็ได้เยอะ แต่ในช่วงที่ไม่ได้เลยแม้แต่จะพอเอาให้แมวกินก็ยังยาก
เมื่อกลับขึ้นมาถึงกระท่อม ชายชรามุ่งหน้าไปยังเตาไฟ ไม่นานนักไฟก็สว่างขึ้นมา หลังจากชายชราง่วนอยู่กับกองไฟ พอไฟสว่างโพลงขึ้นมา ฟืนชิ้นเล็กไปจนถึงชิ้นใหญ่ก็ถูกใส่เข้าในกองไฟ จากไฟกองเล็กก็กลายเป็นไฟกองใหญ่ ขณะไฟจากท่อมฟืนกำลังคุได้ที่ชายชราก็เดินไปยังถังน้ำแล้วกลับมาพร้อมกับหม้อหนึ่งใบที่มีกุ้งอยู่ในนั้น พอมาถึงชายชราก็จัดแจงเอาหม้อขึ้นวางบนก้อนหินที่วางอยู่ข้างกองไฟ หลังหม้อเดือด ชายชราก็หยิบเกลือมาใส่ลงไปในหม้อ หลังใส่เกลือลงไปไม่นาน ชายชราก็ยกหม้อออกมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะเดินไปหยิบจานมาใส่กุ้งคั่วเกลือ
อาหารทุกอย่างถูกจัดแจงมาวางบนพื้นระเบียงกระท่อม เมนูหลักเป็นกุ้งคั่วเกลือ เมนูรองลงมาเป็นน้ำพริกกับผักกาดลวกที่เหลือจากตอนเช้า แล้วมื้อค่ำของชายชราก็เริ่มขึ้น หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ชายชราก็ออกมานั่งม้วนบุหรี่ดูดอยู่ตรงระเบียงกระท่อม หลังดีดก้นบุหรี่ทิ้งไป ชายชราก็นั่งเหม่อมองออกไปนอกกระท่อม ไม่มีใครรู้ว่าในห้วงเวลาเช่นนี้ชายชราคิดเรื่องใดอยู่ในใจ
ลมหนาวพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ชายชราก็ขัยบตัวลุกขึ้นเดินถือตะเกียงเข้าไปในกระท่อม จากนั้นก็จัดที่หลับที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสวดมนต์ไหว้พระ เมื่อสวดมนต์ไหว้พระเสร็จสิ้น แสงตะเกียงก็ดับวูบลง ทุกอย่างในกระท่อมจึงเดินทางไปสู่ความมืด
เมื่อจมลงสู่ความหลับไปเนิ่นนาน ชายชราก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ในลมดึกนั้น ชายชราลุกขึ้นมานั่งทบทวนความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น มันเป็นความฝันที่ชายชราไม่เคยฝันเลยแม้แต่ครั้งเดียว และชายชราจึงคิดว่าความฝันที่เกิดขึ้นเป็นความฝันประหลาด
ชายชราฝันไปว่า มีปลาใหญ่รูปร่างประหลาดมาติดเบ็ด ปลาใหญ่ตัวนั้นมันดิ้น เพื่อจะให้ตัวเองหลุดจากเบ็ด ทุกครั้งที่มันดิ้น น้ำจะแตกกระจายขึ้นไปในอากาศ รูปร่างของปลาตัวนี้ชายชราไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนหัวของมันสีขาวคล้ายปลาเลิม ส่วนตัวมีลายคล้ายหินอยู่เต็มตัว มีหางคล้ายปลากระทิง เมื่อลากเส้นผ่าสูญกลางผ่านมุมปากเส้นผ่าสูญกลางจะผ่ากลางดวงตาของปลาตัวนี้พอดี
ในฝันนั้นชายชราเห็นตัวเองกำลังดึงปลาตัวนั้นเข้าฝั่ง ทุกครั้งที่ดึงมันเข้าฝั่ง มันก็จะดึงชายชรากลับลงไปในน้ำ ชายชรากับเจ้าปลาประหลาดตัวนั้นต่อสู้กันเนิ่นนาน แต่ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ เมื่อตะวันสายโด่ง ความร้อนได้ทำให้ชายชราเหนื่อยหอบ เรี่ยวแรงเคยมีก็ค่อยๆ หายไป ขณะชายชรานั่งพักเหนื่อยอยู่ริมฝั่ง ปลาประหลาดตัวนั้นก็กระโดดขึ้นเหนือสายน้ำ ก่อนมันจะตกลงไปในน้ำ สีของมันได้เปลี่ยนเป็นสีทอง เมื่อมันจมลงสู่น้ำ ก็เป็นเวลาที่ชายชราหายจากการตกตะลึง เมื่อตั้งสติได้ ชายชราก็แก้เชือกสายเบ็ดและลองดึงเจ้าปลาประหลาดตัวนั้น หลังชายชราใช้มือสาวเชือก ๒-๓ ครั้ง เชือกสายเบ็ดเบาโหวง แรงดึงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
หลังสาวเชือกขึ้นมาบนฝั่งจนหมด ชายชราก็พบว่า ตรงปลายเชือกผูกเบ็ดมีเพียงเบ็ดดวงเดียว ปลาประหลาดตัวนั้นหายไปแล้ว ขณะชายชราตะลึงงันอยู่ ลมหนาววูบใหญ่ก็พัดมาอย่างแรง ลมนั้นพัดชายชราจนล้มลง เมื่อนอนกองอยู่กับพื้นความทรงจำของชายชราก็ดับวูบลง หลังคววามจำสุดท้ายดับวูบลง ชายชราก็สะดุ้งตื่น...
สิ้นเสียงไก่ขันครั้งที่ ๒ ของค่ำคืน ชายชราก็ตัดสินใจลุกจากที่นอน เพราะหลังจากความฝันประหลาดผ่านพ้นไป ชายชราก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ เมื่อตื่นขึ้นมาชายชราก็นั่งเรียบเรียงความฝันประหลาดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชายชรามึนงงกับความฝันเป็นอย่างมาก ในชีวิตแกไม่เคยฝันอะไรแปลกประหลาดอย่างนี้ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนงงสับสน เมื่อความมึนงงสับสนไม่มีทีท่าว่าจะหาย สุดท้ายชายชราจึงหยุดคิดถึงความฝันประหลาด หลังความมึนงงสับสนหายไป ชายชราก็ลุกออกจากกระท่อมเดินไปท่าน้ำ เมื่อไปถึง ชายชราก็เดินขึ้นไปบนเรือ และพายเรือออกไปจากท่าน้ำ
ตะวันสายโด่งแล้ว ชายชรากับเรือหาปลาได้เดินเข้ากลับเข้าฝั่ง หลังจากออกไปเก็บกู้เบ็ด สีหน้าของชายชราหม่นเศร้าลง เพราะไม่มีปลาแม้แต่ตัวเดียวติดเบ็ด เมือเรือเข้าถึงฝั่ง ชายชราก็ผูกเรือกับเสาไม้ไผ่ เมื่อผูกเรือเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นเดินไปปลดเครื่องยนต์ตรงท้ายเรือ จากนั้นก็ยกขึ้นบนบ่า ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากเรือขึ้นไปบนกระท่อม
หลายวันมาแล้วที่หาปลาไม่ได้ วันนี้ชายชราจึงตัดสินใจกลับบ้าน หลังจากเก็บของทุกอย่างบริเวณกระท่อมไว้อย่างดีแล้ว ชายชราก็แบกถุงปุ๋ยใส่เสื้อผ้าเดินจากกระท่อมขึ้นมาตามทางเดินแคบ และชันไปบนถนน เพื่อรอรถโดยสารกลับบ้าน
บรรยากาศของพลบค่ำเริ่มมาเยือน ท้องฟ้าในฤดูหนาวมืดเร็วกว่าฤดูอื่น ขณะตะวันใกล้ลับตา ผมได้รู้จากแม่เฒ่าว่าชายชรากลับมาแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปหาชายชรา เพราะยากได้ปลาไปลาบสักตัวอยู่พอดี พอเดินไปถึงบ้าน ชายชราก็ชวนนั่งบนเตียงหน้าบ้าน ถัดมาจากผมและชายชราไป แม่เฒ่ากำลังล้างทำความสะอาดปลา เพื่อทำอาหารเย็น หลังผมนั่งลงเรียบร้อย ชายชราก็ยกน้ำใสแจ๋วออกมา ชายชราบรรจงรินมันใส่แก้วใบเล็กแล้วยื่นให้ผม หลังรับมาผมก็ยกครั้งเดียวหมด หลังน้ำใสแจ๋วผ่านลำคอ ไปสู่กระเพาะ ความร้อนจากแรงดีกรีก็เริ่มทำงาน เมื่อผลยื่นแก้วกลับไปให้ชายชราผมก็ถามชายชราว่า
“วันนี้ได้ปลาอะไรบ้างพ่อเฒ่า”
“ได้ปลาสะโม้ตัวเดียว ขายไปแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่ขายแต่กลัวไม่มีค่าน้ำมันเรือขึ้นไปเก็บกู้เบ็ดก็เลยขาย ปลานี่มันใจเสาะตายเร็วถ้าได้มาต้องรีบขาย หรือไม่ก็เอาแช่น้ำไว้ ถ้าตายมันได้ราคาไม่ดี ปลาอะไรไม่รู้พอได้มาเราต้องรีบเอาไปทำอย่างอื่น จับปลาเหมือนจับไฟเลย มันคงร้อนตอนอยู่ในมือเรา มันก็เลยให้เรารีบปล่อยมัน ถ้าไม่ปล่อยมันตายเลย”
“ได้เงินมาเท่าไหร่พ่อเฒ่า”
เมื่อผมถามถึงจำนวนเงินจากการขายปลา ชายชราไม่ตอบ แต่ลุกเดินไปหยิบเงินในกระเป๋าเสื้อออกมาให้ดู
“ได้เท่านี้แหละ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะได้ปลาหรือเปล่าหรือจะกลับมามือเปล่าอีกก็ไม่รู้”
พอพูดคำนี้ออกมา แกก็หันหน้าไปทางอื่นไม่ยอมหันมาสบตากับผม ในแววตาของชายชราหม่นเศร้าลงชั่วขณะ
“พรุ่งนี้จะขึ้นไปหาปลาอยู่หรือเปล่า”
“ไปอยู่ ตอนแรกว่าจะไม่ไป พอคิดไปคิดมา ถ้าเราไม่ไปใครจะเปลี่ยนเหยื่อเบ็ดให้”
“แล้วไปเช้าไหมพ่อเฒ่า”
“เช้าอยู่ แต่ถ้าไปครั้งนี้พรุ่งนี้ไม่ได้ปลาอีกจะไม่เอาเรือลงมาแล้ว จะมากับรถโดยสาร มันถูกกว่า เอาเรือมาจ่ายค่าน้ำมันทั้งไปและกลับแพงกว่าค่ารถโดยสารเท่าตัว”
“ถ้าว่างก็ขึ้นไปเที่ยวหาสิ”
เสียงของแม่เฒ่าเชิงแสดงความคิดเห็นดังเล็ดลอดออกมาจากในครัว หลังจากปลาปิ้งเริ่มส่งกลิ่นหอม
เมื่อแม่เฒ่าพูดจบ ผมก็ตอบแม่เฒ่ากลับไปว่า
“พรุ่งนี้ผมจะขึ้นไปเที่ยวหาพ่อเฒ่าอยู่บอกแกแล้ว”
ตอนนี้เสียงทำอาหารในครัวเงียบลงแล้ว ตรงหน้าประตูห้องครัว แม่เฒ่ากำลังถือจานปลาปิ้งเดินออกมา หลังวางจานปลาปิ้งลง แม่เฒ่าก็เดินกลับไปในครัวอีกครั้ง แล้วก็กลับออกมาพร้อมด้วยกระติ๊บข้าวและถ้วยน้ำพริก มื้อเย็นสำหรับสองผู้เฒ่าในวันนี้คือ ปลาตากแห้งปิ้งกับน้ำพริกปลาร้า
แม่เฒ่าชวนผมกินข้าวด้วย แต่เพราะความเกรงใจผมจึงบอกปฏิเสธ และขอตัวกลับบ้าน ก่อนจะกลับ ชายชราได้ยื่นแก้วใบเดิมมาให้ ผมรับแก้วมาจากชายชราแล้วยกขึ้นแก้วขึ้นดื่มน้ำในแก้วรวดเดียวหมด หลังน้ำในแก้วหมด ผมก็ยื่นแก้วกลับคืนไปให้ชายชรา จากนั้นก็เดินจากบ้านหลังนั้น และผู้เฒ่าทั้งสองมาตามถนนกลับไปสู่บ้านพัก
เมื่อวงข้าวเริ่มต้นขึ้น ผมจึงตัดสินใจร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสอง เพื่อปล่อยให้บรรยากาศแห่งความสุขในยามค่ำคืนของผู้เฒ่าทั้งสองกลับมาอีกครั้ง เพราะวันพรุ่งนี้คนหนึ่งต้องเดินทางออกจากบ้าน เพื่อไปทำมาหากิน และไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ ผู้เฒ่าทั้งสองจะได้ร่วมวงกินข้าวมื้อเย็นด้วยกันอีกหรือไม่
หลังผมกลับมาถึงบ้านพักก็หวนคิดถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกว่า หากเราไม่จากกัน เราคงไม่ได้พบกัน ในยามจากถึงแม้เราต้องเดินทางไปส่งกันไกลเพียงไหน สุดท้ายเราก็ต้องจากกันอยู่ดี และความจริงก็คงเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะกับผู้เฒ่าทั้งสองคน เมื่อยามเช้าเดินทางมาถึง ห้วงยามแห่งการจากลาระหว่างก็จะเดินทางมาถึง ในความจริง ยามเช้าอาจหมายถึงการเริ่มต้นในหลายๆ สิ่ง แต่ในขณะที่บางคนต้องตื่นมาพบกับยามเช้าอันจบลงด้วยการพรัดพราก หากว่ายามเช้าคือความเศร้าของชีวิต โลกยามเช้าจะเป็นโลกชนิดใด จังหวะชีวิตอันเกิดขึ้นจากโลกอันโศกเศร้าจะเป็นเช่นไรคงยากจะคาดเดาได้...
บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว
สุมาตร ภูลายยาว
วารสารวรรณศิลป์บนแผ่นดินลาว
ลมหนาวและความร้อนแล้งโชยผ่านยอดขุนเขาด้านทิศตะวันตกแห่งเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านนามาแผ่วๆ แล้วฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาวก็เดินทางมาอีกครั้งพร้อมกับลมสายลมนั้น
สุมาตร ภูลายยาว
สี่พันดอน: บ้านของคนและปลา เมื่อเอ่ยถึงสี่พันดอนเชื่อว่าหลายคนที่เคยไปเยือนคงจินตนาการถึงได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปเยือนคงงุนงงไม่น้อยว่าหมายถึงอะไร คำว่า ‘สี่พันดอน’ เป็นชื่อเรียกเกาะ ดอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขตเมืองโขง แขวงจำปาสัก ภาคใต้ของประเทศลาว ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกเรียกขานว่า สี่พันดอน เพราะเต็มไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่มีจำนวนมากมายเรียงรายอยู่ในแม่น้ำโขงที่มีความกว้างกว่า ๑๔ กิโลเมตร เกาะต่างๆ เริ่มขึ้นที่เมืองโขงและยาวลงไปจนถึงชายแดนลาว-กัมพูชาที่บ้านเวินคามกับเมืองสตรึงเตร็ง ในจำนวนเกาะที่มีอยู่มากมาย เกาะใหญ่ที่สุดชื่อ ‘ดอนโขง’ คำว่า ‘ดอน’…
สุมาตร ภูลายยาว
เจ้าม้าศึกสีเทา ๒,๒๐๐ ซีซี ทะยานไปตามทางลูกรังสีแดงเบื้องหลังฝุ่นคลุ้งตลบ หากมีรถวิ่งตามมาคงบอกได้คำเดียวว่า ‘ขอโทษ’ ก่อนจะถึงทางแยกเสียงโทรศัพท์ของผู้ไปถึงก่อนก็บอกให้ตรงมาตามทางอย่าได้เลี้ยวซ้ายเป็นอันขาด เพราะนั่นหมายถึงการหลงทางจะเกิดขึ้น
สุมาตร ภูลายยาว
การเดินทางเที่ยวนี้มีผู้หญิงนำ เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นเช้ากว่าวันอื่น แต่หากว่าเมื่อเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ถือว่ายังสาย โดยเฉพาะกับพ่อค้าแม่ค้าการตื่นนอนตอน ๖ โมงเช้านั้นถือว่าสายมากแล้ว เช้านี้กว่าจะเปิดเปลือกตาตื่นช่างหนักหนาสาหัส ราวกับว่าเปือกตาทั้งสองข้างถูกปิดทับไว้ด้วยเทปกาวชั้นดี หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ สมองยังคงงุนงง อาจเป็นเพราะช่วงนี้พักผ่อนไม่ค่อยพอ รวมทั้งมีเรื่องหลายเรื่องให้ได้คิด แต่เพราะงานที่ทำจึงต้องบังคับตัวเองให้ลุกจากที่นอน
สุมาตร ภูลายยาว
จะแกคนเลี้ยงวัวผู้ไม่เคยขุ่นมัวในหัวใจ ผมจำได้ว่าพบชายคนนี้ครั้งแรกเมื่อเข้าไปบ้านสองพี่น้อง เขาดูแปลกกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน เพราะเขาเป็นผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านที่ไว้ผมยาว เค้าโครงใบหน้าของเขาราวกับถอดแบบออกมาจากหัวหน้าชนเผ่าของอินเดียนแดง
สุมาตร ภูลายยาว
การงานของชีวิตที่ตกค้าง ฝนเทลงมาอีกวันแล้ว...เสียงสังกะสีดังราวกับมีก้อนหินนับล้านร่วงลงมาใส่ เย็นวันนี้มีเรื่องราวให้ขบคิดมากมาย กลับมาจากการประชุมที่เคร่งเครียด อันนับว่าเป็นการงานส่วนหนึ่งของชีวิต เล่นเอาเหนื่อยสายตัวแทบขาด แล้วยังมีงานอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกไหมนี่
สุมาตร ภูลายยาว
บันทึกในค่ำคืนที่เปลี่ยนผ่านกับนิทรรศการที่ไม่ได้จัด สายฝนของเดือนกันยายนโปรยสายลงมาทั้งวัน เราออกเดินทางจากเชียงของมาแต่ตอนเช้าด้วยรถคันเล็ก บนกระบะทางตอนท้ายบรรทุกเอกสารต่างๆ รวมทั้งนิทรรศการมาเต็ม รถต้องจดหลายครั้ง เพื่อห่มผ้ายางกันฝนให้ของบนกระบะรถ เราผ่านมากว่าครึ่งทาง ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ซ้ำร้ายยังตกลงมาหนักกว่าเดิม รถวิ่งทำความเร็วได้ไม่มากนัก ทั้งที่ความเป็นจริงแม้ฝนจะไม่ตก มันก็ไม่เคยวิ่งได้เร็วกว่าที่วิ่งอยู่เท่าใดนัก
สุมาตร ภูลายยาว
เมฆสีดำเหนือฟ้าด้านตะวันออกส่งสายฝนลงมาตั้งแต่เช้าจนล่วงบ่าย แม่น้ำเป็นสีชานมเย็น เศษขยะ ขอนไม้ ท่อนไม้ และต้นไม้ลอยมากับสายน้ำ และไหลไปตามแรงเฉื่อยของกระแสน้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
เช้านี้เหมือนกับทุกเช้าในช่วงนี้พ่อท่อน ยาแก้วเดินทอดน่องในสวนบนดอนทรายริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อดูแปลงมะเขือราว ๔ ไร่ ในใจพ่อท่อนเองไม่อยากเก็บมะเขือในตอนนี้แม้ว่าจะถึงช่วงเวลาในการเก็บแล้ว สาเหตุที่ทำให้พ่อท่อนไม่อยากเก็บมะเขือในตอนนี้ เพราะราคามะเขือต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ปีนี้มะเขือหนึ่งหมื่น (๑๒ กิโลกรัม) ขายส่งจากสวนได้เงิน ๑๒ บาท
สุมาตร ภูลายยาว
รถตู้วิ่งไปบนถนนลาดยางมะตอยที่บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนสายนี้เป็นเส้นทางจากจังหวัดกระแจะไปอำเภอสามบอ เพราะถนนไม่ค่อยดีนัก ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตรต้องใช้เวลาเกือบ ๑ ชั่วโมงจึงถึงจุดหมาย เมื่อรถตู้ทั้ง ๓ คันจอดสงบนิ่งลงตรงประตูหน้าวัด ผู้โดยสารในรถตู้ก็พากันทยอยลงจากรถ
เบื้องล่างของถนนเป็นแม่น้ำสายใหญ่ คนท้องถิ่นเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า ‘โตนเลของ-แม่น้ำของ-โขง’ แม้ยังไม่สายมากนัก แต่แสงแดดก็ส่องประกายร้อนแรงเหนือสายน้ำ ฟ้ากว้างเปล่าแปนเป็นสีฟ้าไกลสุดสายตาหยั่งถึง บนสายน้ำเรือหลายลำจอดลอยลำอยู่ ใกล้กับเรือตรงโคนต้นจามจุรีมีเด็ก ๓-๔ คนนั่งอยู่ ถัดจากโคนต้นจามจุรีไปมีเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่…
สุมาตร ภูลายยาว
จากพื้นที่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ผู้คนสองฝั่งได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำที่มีความยาว ๔,๙๐๔ กิโลเมตรสายนี้ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้าน ลักษณะการใช้ประโยชน์ก็แตกต่างกันออกไปตามแต่สภาพของพื้นที่ ในช่วงที่ไหลผ่านประเทศไทยตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีผู้คนไม่จำนวนไม่น้อยได้ใช้ประโยชน์ในด้านแตกต่างกันออกไป ผู้ใหญ่ใช้หาปลา และใช้พื้นที่ตามหาดทรายที่โผล่พ้นน้ำ และริมฝั่งทำการเกษตร เด็กๆ ใช้เป็นห้องเรียนสำหรับฝึกหาปลา และว่ายน้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
ผาชันเป็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำโขงอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี หมู่บ้านแห่งนี้มีเรื่องราวน่าสนใจหลายอย่าง เริ่มแรกเดิมทีก่อนเดินทางไปถึง ผมจินตนาการถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในรูปแบบต่างๆ และพอเดินทางไปถึงบ้านผาชันเป็นครั้งแรก ซึ่งอยู่ในหน้าฝน ผมก็พบว่า ในฤดูฝนหมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นเกาะขนาดย่อมๆ ชาวบ้านบอกว่า "ในฤดูฝน น้ำจากห้วยจะไหลจนท่วมสะพาน และถนนที่เข้าสู่หมู่บ้าน การเดินทางเข้าหมู่บ้านต้องใช้เรือข้ามลำห้วยแล้วไปต่อรถ" ร่องรอยของคำพูดปรากฏให้เห็นเมื่อผมเดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน รถข้ามสะพานที่น้ำในลำห้วยเริ่มปริ่มอยู่ใต้สะพาน…