Skip to main content

สี่พันดอน: บ้านของคนและปลา


เมื่อเอ่ยถึงสี่พันดอนเชื่อว่าหลายคนที่เคยไปเยือนคงจินตนาการถึงได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปเยือนคงงุนงงไม่น้อยว่าหมายถึงอะไร คำว่า ‘สี่พันดอน’ เป็นชื่อเรียกเกาะ ดอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขตเมืองโขง แขวงจำปาสัก ภาคใต้ของประเทศลาว ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกเรียกขานว่า สี่พันดอน เพราะเต็มไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่มีจำนวนมากมายเรียงรายอยู่ในแม่น้ำโขงที่มีความกว้างกว่า ๑๔ กิโลเมตร เกาะต่างๆ เริ่มขึ้นที่เมืองโขงและยาวลงไปจนถึงชายแดนลาว-กัมพูชาที่บ้านเวินคามกับเมืองสตรึงเตร็ง ในจำนวนเกาะที่มีอยู่มากมาย เกาะใหญ่ที่สุดชื่อ ‘ดอนโขง’ คำว่า ‘ดอน’ เป็นคำที่คนลาวใช้เรียกเกาะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขง

คำว่า ‘คอน’ ในพจนานุกรมอีสาน ไทย อังกฤษโดย ดร. ปรีชา พิณทองตีพิมพ์เมื่อปี พ.. ๒๕๓๒ มีความหมายว่า “น.ร่องน้ำลึกที่น้ำตก แม่น้ำที่มีสันดอนสูง น้ำไหลไปเป็นร่องลึกเรียกว่า คอน ถ้าน้ำไหลไปสองร่องน้ำมีสันดอนอยู่ตรงกลางเรียก ‘สองคอน’ เช่น สองคอนในแม่น้ำโขง ดอนโขงเป็นที่ตั้งของเมืองโขง นอกจากจะเป็นดอนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังมีดอนต่างๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญด้วย เช่น ดอนเดช ดอนคอน ดอนสะดำ ดอนสะโฮง

ในแต่ละดอนที่เกิดขึ้น บางดอนก็มีน้ำตกขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการยกตัวของเปลือกโลกที่ต่างระดับกัน น้ำตกบางแห่งมีความสูงถึง ๑๕ เมตร น้ำตกที่ขึ้นชื่อที่สุด และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญคือน้ำตกคอนพะเพ็ง น้ำตกที่ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นไนแองการ่าแห่งเอเชีย และน้ำตกสมพะมิด

นอกจากสถานที่ทั้งสองแห่งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่คนท้องถิ่นเรียกว่า ‘หลี่ผี’ ‘หลี่’ หมายถึงเครื่องมือหาปลาชนิดหนึ่งที่พบมากในภาคใต้ของลาวบริเวณสี่พันดอน ผีหมายถึงคำที่ชาวบ้านทั่วไปใช้เรียก คนตายหรื่อสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว ‘หลี่ผี’ ในความหายของคนท้องถิ่นจึงหมายถึงบริเวณหลี่ที่พบศพของคนตาย โดยจะพบมากในช่วงที่ลาวเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงก่อนปี ๒๕๑๘ หลี่ผีประกอบไปด้วยฮูน้ำฮูเล็กฮูน้อยที่เกิดขึ้นในแต่ละดอน ฮูน้ำ ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญกับคนท้องถิ่นในการใช้เป็นพื้นที่ใส่หลี่หาปลา และนอกจากนั้นฮูน้ำเหล่านี้ยังเป็นเส้นทางผ่านของปลาที่จะว่ายขึ้นไปยังพื้นที่ต่างๆ ในแม่น้ำโขง

การหาปลาด้วยวิธีการใส่หลี่ของคนท้องถิ่นจึงสัมพันธ์กับการอพยพของปลา โดยในอาณาบริเวณที่เรียกว่าหลี่ผีนั้นมีฮูน้ำทั้งหมด ๒๙ ฮู แต่บางฮูปลาก็ไม่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำที่ไหลเชียว และเป็นน้ำตกที่สูงชันขึ้นไปยังพื้นที่อื่นของสีพันดอนได้ เช่น ฮูน้ำคอนพะเพ็ง ฮูน้ำสมพะมิด แต่บางฮูก็จะมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น เช่น ฮูสะดำ ส่วนในบางฮูจะมีน้ำตลอดปี และไม่สูงชันปลาก็จะว่ายทวนน้ำอพยพขึ้นไปได้ เช่นที่ ฮูสะฮอง เป็นต้น

ด้วยความหลากหลายทางพันธุ์ปลาที่จับได้จากหลี่ รายได้ที่เกิดขึ้นจากปลาจึงแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิดพันธุ์ปลา และความต้องการของตลาด กล่าวได้ว่าราคาปลาคนหาปลาสามารถกำหนดความพอใจในราคาขายได้เอง นอกจากคนหาปลาจะเอาปลาไปขายเองแล้ว พ่อค้า แม่ค้าปลายังลงไปรับซื้อถึงหลี่ การรับซื้อก็เป็นการเหมาซื้อตลอดระยะเวลาของการทำหลี่

จากการเดินเตร็ดเตร่ในตลาดเมืองปากเซ และช่องเม็กพบว่า ปลาจำนวนมากที่เดินทางมาจากบ้านนากะสังถูกส่งไปขายตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งภายในในประเทศลาว และปลาบางชนิดมีปลายทางกระจัดกระจายไปสู่ที่อื่นๆ เช่น จังหวัดอุบลราชธานี และมีปลาบางชนิด เช่น ปลานาง ปลาเพี้ย ปลาเนื้ออ่อนชนิดอื่นๆ ปลายทางของมันอยู่ไกลถึงกรุงเทพมหานคร

ในการขายปลาจะมีทั้งการขายปลาสด ราคาก็จะแตกต่างกันออกไปไม่ได้มีราคาตายตัวแน่นอน นอกจากจะขายปลาสดแล้วยังมีการแปรรูปปลาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ออกมาขายด้วย เช่น ปลาแดก
-ปล้าร้าอัตราการขายจะอยู่ที่เทละประมาณ ๑๐๐,๐๐๐-๑๕๐,๐๐๐ กีบ ราคาปลาร้าก็จะแตกต่างกันออกไป เช่นปลาร้าปลาพอนเทละ ๑๕๐,๐๐๐ กีบ ขึ้นไป ราคาปลากะเตา (ปลาหลายชนิดตากแห้งรวมกัน) กิโลกรัมละ ๒๕,๐๐๐ กีบขึ้นไป ปลาย่างรมควันแยกขายแล้วแต่ละชนิดของปลา ปลาเกล็ดอยู่ที่กิโลกัรมละ ๒๐,๐๐๐ กีบ ปลาหนังอยู่ที่กิโลกรัมละ ๒๕,๐๐๐ กีบปลาส้มราคากิโลกรัมละ ๑๐,๐๐๐ กีบ ราคาขายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของตลาด เช่นที่บ้านนากระสังขายปลาพรกิโลกรัมละ ๑๕,๐๐๐กีบ ที่ตลาดปากเซจะขายอยู่ที่ ๒๕,๐๐๐ กีบต่อกิโลกรัมหรือมากกว่านั้น ราคาปลาจึงไม่สามารถกำหนดตายตัวได้

คนทำหลี่ผู้มีชีวิตอยู่บนนาน้ำ


เรือหาปลาลำเล็ก ๒ ลำพาเราออกเดินทางจากบ้านนากะสังในตอนบ่าย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่คอนซวง ที่นั่นเราจะตามไปดูหลี่ที่เคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปีก่อน และที่น่าตื่นเต้นคือวิถีชีวิตของคนทำหลี่ที่คอนซวงถูกถ่ายทอดออกมาผ่านโทนทัศน์ของไทยในรายการคนค้นคน เราจะได้พบคนต้นเรื่องที่คุ้นเคยกันอีกครั้ง

เรือค่อยๆ วิ่งลัดเลาะไปตามแม่น้ำ คนขับเรือกุมหางเสือเรือราวกับคนขับรถผู้ชำนาญทางกุมพวงมาลัยมั่นในมือ หลายคนเมื่อรู้ว่าเส้นทางที่จะไปนั้นน่าหวาดกลัวเพียงใด บางคนก็เริ่มนั่งนิ่งๆ อยู่บนเรือ คงเป็นโชคดีอยู่บ้างที่น้ำเริ่มขึ้นมาบ้าง การบังคับเรือจึงไม่ลำบากนัก ราว ๑ ชั่วโมงเรือก็พาเรามาถึงจุดที่ถือได้ว่าน่ากลัวที่สุด เพราะหากเกิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เรือทั้งลำก็จะพุ่งลงเหวที่มีความสูงเท่าตึก ๒ ชั้น

เมื่อความหวาดกลัวเดินทางมาเคาะประตูหัวใจ การยึดกุมเอาแคมเรือด้วยมือทั้งสองข้างไว้มั่นจึงเกิดขึ้น ชั่วยามเช่นนี้แรงเต้นของหัวใจใครบางคนอาจเร็ว และถี่ขึ้น แต่พอเรือเงียบเสียงและจอดสงบนิ่งลง รอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าของคนขับเรือ และผู้โดยสาร ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเดินทางมายังคอนซวงแห่งนี้ถูกจำกัดโดยความยากในการขับเรือ คอนซวงจึงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึง นอกจากคนที่รู้ใจกันจริงๆ เท่านั้น คนหาปลาที่ทำหลี่อยู่บนคอนซวงจึงจะยอมให้ขึ้นเรือมาด้วย

คอนซวงแห่งนี้เป็นหนึ่งในจำนวนคอนที่มีอยู่มากมายในเขตสี่พันดอน ในแต่ละคอนก็จะมีฮูที่ไม่สูงชัน ซึ่งเป็นพื้นที่วางเครื่องมือหาปลาอันสำคัญของคนท้องถิ่นที่เรียกว่า ‘ลวงหลี่’ ‘ลวง’ เป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกพื้นที่หาปลา มีความสัมพันธ์กับเครื่องมือหาปลาแต่ละชนิด เช่น ลวงมอง ก็ใช้มองอย่างเดียว ลวงเบ็ดก็ใช้เบ็ดอย่างเดียว ลวงปลามีทั้งแบบกรรมสิทธิ์คนเดียว และกรรมสิทธิ์หน้าหมู่
(ส่วนรวม)’

เมื่อเราไปถึงคอนซวง อ้ายใหญ่ผู้เป็นเจ้าของหลี่ได้ชื่อว่าได้ปลาเยอะที่สุดก็ยิ้มต้อนรับ ก่อนจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่ให้นักข่าวจากกรุงเทพฟัง อ้ายใหญ่เริ่มเล่าด้วยสำเนียงคนไทใต้ว่า ฮูน้ำในเขตนี้มีมาก หลี่ก็มีมาก บางฮูน้ำมีหลี่มากกว่า ๑๐ ลวงขึ้นไป ลวงหลี่นี่เป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่มาบุกเบิก ก็เหมือนคนทำนาบุกเบิกป่าโคกมาเป็นนา คนสมัยก่อนจะมาแสวงหาพื้นที่ในการทำหลี่โดยเลือกเอาฮูน้ำที่มีสภาพไม่สูงชันเป็นที่ทำหลี่ พอคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เสียชีวิต ลวงหลี่ก็จะตกมาเป็นมรดกของลูกหลานต่อไป บางคนที่ไม่ได้ทำก็ให้คนอื่นเช่าทำ ในการเช่าก็จะตกลงกันว่าจะจ่ายเป็นเงินหรือแบ่งปลา แต่ละคนเอาไปจัดการขายเอาเอง ลวงหลี่จะเป็นของใครของมัน คนอื่นไม่สามารถเข้ามาทำแทนได้ นอกจากเจ้าของจะขายสัมปทานให้เท่านั้น ในกรณีที่มีการขายสัมปทานจะเป็นการขายขาดไปเลย เช่น ตกลงกันว่าจะขาย ๓๐
,๐๐๐ บาท ถ้ามีคนมาซื้อ คนทำหลี่คนเก่าก็จะไม่ได้ทำอีกต่อไป แต่ก่อนทำหลี่ไม่ได้เสียภาษีให้รัฐ แต่จะมีการเก็บภาษีเมื่อ ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา อัตราภาษีก็เก็บอยู่ที่ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐กีบต่อลวงหลี่หนึ่งที่

อ้ายใหญ่ยังเล่าเพิ่มเติมถึงการทำหลี่ให้ฟังว่า การทำหลี่จะเริ่มขึ้นในช่วงเดือน ๓
(มีนาคม)ไปจนถึงหลังช่วงปีใหม่ลาวที่ทำในช่วงนี้ เพราะน้ำน้อยสามารถทำหลี่ได้สะดวก การทำหลี่ก็จะเริ่มขึ้นโดยการไปตัดไม้เนื้อแข็งจากป่ามาทำขาหลี่ จากนั้นก็จะใช้วิธีการตอกไม้ลงไปในน้ำให้ลึกที่สุดเพื่อความแข็งแรง แล้วก็ผูกไม้ที่ได้มาเป็นแนวยาวไปตามน้ำกับขาหลี่ และนำหินมาวางเรียงรายกั้นเป็นกำแพง เพื่อกั้นให้ปลาขึ้นไปตามร่องน้ำที่มีอยู่ร่องเดียวด้านหน้าหลี่ การเรียงหินจะเรียงขึ้นให้สูงที่สุด จากนั้นก็จะเอาแพไม้ไผ่ และแตะที่สานแล้วมาวางทับลงไปบนขา และไม้ระแนงที่มัดเป็นคาน โดยการวางไม้จะให้ด้านหนึ่งลาดเอียงลง ส่วนอีกด้านหนึ่งจะทำให้สูงขึ้น กาทำหลี่ต้องทำให้แข็งแรง เพราะน้ำจะแรง ถ้าทำไม่ดีหลี่จะแตกได้

การทำหลี่เราต้องเลือกพื้นที่ตรงมันเป็นแก่งหินหรือไม่ก็มีหินเรียงเป็นแนวขวางลำน้ำ บางแห่งที่เป็นตาดก็ใช้ได้ ตามตาดจะมีวงัน้ำที่ปลามันจะว่ายขึ้นไปพักพาอาศัยก่อนจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ ปลามันจะเข้าหลี่ เพราะเราทำร่องน้ำให้เหลือร่องเดียว พอน้ำเหลือร่องเดียวน้ำก็จะแรงปลาว่ายขึ้นไปลำบาก พอว่ายขึ้นไปไม่ได้น้ำก็จะตีกลับให้ปลามาค้างบนแตะเป็นแพที่เรามัดไว้กับระแนงอีกที่หนึ่ง

ในช่วงที่ทำหลี่จะเป็นช่วงที่ต้องเกณฑ์ญาติพี่น้องมาช่วยทำ บางครั้งก็จะมีการจ้างแรงงานในหมู่บ้าน แต่การจ้างจะไม่ได้จ้างเฉพาะมาทำหลี่อย่างเดียวจะจ้างมาเฝ้าหลี่และช่วยกันเก็บปลา รวมทั้งแปรรูปลา เช่น ทำปลาร้า ปลากะเต้า
(ปลาขนาดเล็กหลายชนิดตากแห้งรวมกัน) ถ้าแรงงานน้อยจะทำไม่ทัน เพราะในบางช่วงปลาจะขึ้นหลี่มาก ถ้าทำไม่ทันหลี่จะแตกได้ เพราะปลามันเยอะ มันหนัก การจ้างแรงงานนี่เราจะแบ่งเงินให้ตอนที่น้ำท่วมหลี่ และไม่ได้หาปลาอีก

ส่วนการหาปลาก็จะเริ่มลงไปเฝ้าหลี่ในปลายเดือน ๕
(เมษายน) จนถึงเดือน ๘ (สิงหาคม) หรือบางทีอันนี้แล้วแต่น้ำ ถ้าน้ำท่วมหลี่ก็พอดีน้ำในแม่น้ำโขงเป็นน้ำใหญ่ หลี่ก็จะใช้การไม่ได้ คนทำหลี่ก็จะกลับบ้านไปทำไร่ไถนา พอเราไม่ได้ใช้หลี่แล้ว คนอื่นก็จะมาหาปลาตรงหลี่เราได้ รายได้จากการขายปลานี่ก็ต้องพูดกันเป็นหลัก ๑๐-๒๐ ล้านกีบ หลี่นี่คนเฒ่าคนแก่บอกว่าเป็นนาน้ำ เพราะเรามีข้าวกินจากการทำหลี่

ก่อนสิ้นแสงแห่งชีวิตที่ดอนสะฮอง


รถโดยสารพาเราออกเดินทางจากดอนเดชในตอนเช้าโดยมีเป้าหมายอยู่ที่หัวดอนหรือบริเวณที่สิ้นสุดลงของทางรถไฟที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ร
.. ๑๑๒ (ช่วง พ..๒๔๒๙) สมัยฝรั่งเศสนักล่าอาณานิคมได้เดินทางมาสำรวจลุ่มแม่น้ำโขง การสำรวจในครั้งนั้นพบอุสรรคที่หนักหนาสำหรับการเดินเรือขนสินค้า เพราะตรงที่คอนพะเพ็งกับสมพะมิดมีน้ำตกขนาดใหญ่ที่เรือไม่สามารถเดินทางข้ามผ่านไปได้ เมื่อเห็นว่าแก่งหินเหล่านั้นเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือ นักสำรวจชาวฝรั่งเศสในยุคนั้นจึงตัดสินใจการสร้างท่าเรือ และทางรถไฟขึ้น เมื่อเรือแล่นผ่านมาถึงบริเวณสี่พันดอนก็จะนำเรือไปจอดที่หัวดอนคอนขนถ่ายสินค้าจากเรือมาขึ้นรถไฟที่มีเส้นทางตัดจากหัวดอนเดชไปท้ายคอนคอน ในการสำรวจครั้งนั้นฝรั่งเศสก็สามารถเอาชนะความท้าทายของธรรมชาติได้ ในยาวนี้ผ่านมาหลายปี สะพานอันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างดอนเดชกับดอนคอนโดยมีทางรถไฟอยู่ตรงกลางจึงกลายเป็นอารยธรรมที่ผู้รุกรานทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าเวลาคิดถึง

ขณะรถวิ่งไปบนทางรถไฟเก่าเมื่อผ่านจุดแวะเข้าไปชมสมพะมิดกลิ่นผักปู่ย่า
(ผักที่มีลักษณะคล้ายต้นไมยราบยักษ์ แต่มีสีแดง) ก็โชยเข้ามาปะทะจมูก อารมณ์นั้นหลายคนก็คิดถึงแกงหน่อไม้ขึ้นมาทันใด จนต้องตกลงกับคนขับรถว่าขากลับให้จอดรถเก็บผักนี้กลับบ้านพักด้วย บางคนว่าจะเอาผักนี้ไปกินกับก้อยปลา

เมื่อมาถึงท่าเทียบเรือ เพื่อนคนท้องถิ่นผู้เป็นคนนำทางก็ไปติดต่อเรือ เพื่อข้ามไปยังดอนสะฮอง ที่นั้นมีน้องสาวของเพื่อนคนท้องถิ่นรออยู่ การเดินทางในครั้งนี้ ถือว่าไม่ได้ออกนอกเส้นทางเสียทีเดียว เพราะดอนที่เราจะไปอาจไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ดอนนี้มีความสำคัญที่เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของเขตสี่พันดอนในเรื่องปลา เพราะจากการสำรวจของ
Worldfish Centerit ระบุว่า ฮูสะฮองที่มีความยาว ๗ กิโลเมตร กว้าง ๒๐๐ เมตรเป็นฮูเดียวที่ปลาจากทางกัมพูชาจะสามารถขึ้นไปยังพื้นที่ต่างๆ ของสี่พันดอนได้ง่ายที่สุด เพราะฮูสะฮองไม่มีหน้าผา และไม่มีแก่งหินขนาดใหญ่

แต่เมื่อเราไปถึง และได้พูดคุยกันกับชาวบ้าน เราก็ได้พบความจริงบางอย่างว่า ในตอนนี้ปลาที่ว่ายทวนน้ำเข้ามาในฮูสะฮองนั้นมีน้อยเต็มที เพราะในช่วงที่ทำหลี่เสร็จก็พอดีเป็นช่วงที่บริษัทจากเวียดนามเข้ามาขุดเจาะพื้นที่เพื่อสำรวจในการก่อสร้างเขื่อน พอปลากำลังจะว่ายเข้ามาในฮูสะฮองแล้วมาเจอเสียงเครื่องขุดเจาะ และกลิ่นน้ำมัน ปลาก็ไม่เข้าหลี่ เมื่อปลาไม่เข้าหลี่นาน้ำที่เคยทำเงินให้หลักแสนปลาต่อปีรายได้ก็หายวับไปในอากาศ


ในตอนนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าเขื่อนกั้นฮูสะฮองจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่จากข้อมูลของ Worldfish Centerit ก็ได้ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ยังไม่เคยมีโครงการเขื่อนใดในโลกที่สามารถใช้มาตรการการลดผลกระทบด้านการประมงได้เป็นผลสำเร็จ


ก่อนจากลากันและกัน ใครบางคนในคณะเดินทางเลือกซื้อปลาเนื้ออ่อนย่างควันไฟหอมกรุ่นกลับมาทำต้มโคลงปลาเนื้ออ่อนยอดมะขามเป็นเมนูในตอนเย็น เมื่อได้รับรู้เรื่องราวความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเดินทางมาสู่ดินแดนแห่งบ้านปลาเมืองปลา ความทรงจำเกี่ยวกับลาวใต้ในครั้งนี้จึงเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความหม่นเหงาเศร้าซึม พอๆ กับความหม่นเศร้าของท้องฟ้าเวลาค่ำที่ดูอึมครึมด้วยความมืดดำ...

 

 

 

บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
    ...เสียงปืนดังลั่นเปรี้ยง-คล้ายเสียงชะนีหวน
สุมาตร ภูลายยาว
สายลมเริ่มพัดเปลี่ยนทิศจากเหนือลงใต้ ฤดูฝนใกล้พ้นผ่านแล้ว ฤดูหนาวกำลังเดินทางมาแทน ขณะอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าถัดจากกระท่อมหลังสุดท้ายตรงหาดทรายไปไม่ไกล คนจำนวนมากกำลังวุ่นวายอยู่กับการเก็บเครื่องมือทำงาน หากนับตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ก็ล่วงเข้าไป ๔ วันแล้วที่ช่างในหมู่บ้านถูกไหว้วานให้มาช่วยกันทำเรือไฟ เพื่อให้ทันใช้ในวันออกพรรษา หลังจมอยู่กับงานมาทั้งวัน เมื่อโรงงานต่อเรือไฟปิดประตูลงในตอนเย็น โรงมหรสพริมฝั่งน้ำก็เข้ามาแทน
สุมาตร ภูลายยาว
แม่น้ำนิ่งงันลงชั่วการกระพริบตาของพญามังกร ชาวบ้านริมฝั่งน้ำไม่มีใครรู้ว่า พญามังกรกระพริบตากี่ครั้ง หรือด้วยอำนาจใดของพญามังกร แม่น้ำจึงหยุดไหล ทั้งที่แม่น้ำเคยไหลมาชั่วนาตาปี วันที่แม่น้ำหยุดไหล คนหาปลาร้องไห้ปานจะขาดใจ เพราะปลาจำนวนมากได้หนีหายไปจากแม่น้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
แดดร้อนของเดือนมีนาคมแผดเผาหญ้าแห้งกรัง หน้าร้อนปีนี้ร้อนกว่าทุกปี เพราะฝนไม่ตก ยอดมะม่วงอ่อนจึงไม่ยอมแตกช่อ มะม่วงป่าเริ่มออกดอกรอฝนพรำ เพื่อให้ผลได้เติบโต ความร้อนมาพร้อมกับความแห้งแล้ง ในความแห้งแล้ง ดอกไม้ป่าหลากสีกำลังผลิบาน มีทั้งดอกสีส้ม แดง ม่วง ความแห้งแล้งดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
สุมาตร ภูลายยาว
‘ย่างเข้าเดือนห้า น้ำท่าก็เริ่มขอดแล้ง’ คนแก่บางคนว่าอย่างนั้น (ถ้าผมจำไม่ผิด) คำพูดนี้ได้สะท้อนบางอย่างออกมาด้วย นั่นคือสิ่งที่ผู้คนในยุคสมัยก่อนเห็น พอถึงเดือนห้า น้ำที่เคยมีอยู่ก็แห้งขอดลงเป็นลำดับ ผู้คนในสมัยก่อนที่จะก้าวเข้าสู่สังคมเกษตรอุตสาหกรรมเช่นทุกวันนี้ทำอะไรบ้าง ในสังคมภาคกลางยุคที่ทำการเกษตรไม่ใช่อุตสาหกรรม หน้าแล้งไม่มีใครทำนา เพราะทุกคนต่างรู้ว่า หน้าแล้งแล้วนะ น้ำท่าจะมาจากไหน แต่พอยุคอุตสาหกรรมเกษตรเรืองอำนาจ หน้าแล้งผู้คนก็ยังคงทำนา เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมการเกษตรกันอยู่
สุมาตร ภูลายยาว
ผู้ดีตีนแดง-ขอ โทษ เท้าแดง ตะแคงเท้าเดิน เวลาเหยียบปุ่มปมของพรมผืนนุ่มนิ่มราวกับปุยเมฆ นั่นแหละเท้าของผู้ดี และโลกของผู้ดีมีแต่น้ำครำ –น้ำคำ แห่งการหลอกลวง ทั้งผู้ดีจริง และผู้ดีกลวง ขณะเดินย่ำไปบนเส้นทางสู่ร้านอาหารเลิศหรู เมนูไข่คาเวียกับบรั่นดีแก้วทรงสูงดัดจริตวางรอ ผู้ดีน้ำครำละเลียดเมรัยรสคมผ่านลำคอ และละเลียดไข่คาเวียที่มีอยู่นับจำนวนได้บนจานราคาแพงกว่าการขึ้นห้องกับปอง ของโฉน ไพรำ ผู้ดี น้ำครำมองออกไปนอกหน้าต่างสูงลิบของห้องอาหารโรงแรมเสียดฟ้า เบื้องล่างแม่น้ำไหลเอื่อยเหนื่อยปานจะขาดใจตาย ผู้ดีน้ำครำละเลียดไข่คาเวียราคาแพง เพื่อเลิศหรูมีหน้ามีตา…
สุมาตร ภูลายยาว
สายลมหนาวพัดมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยสายลงมา ว่ากันว่านี่คือฝนหลงฤดู! กาแฟแก้วของวันเป็นคาปูชิโน่ร้อนสองแก้ว แต่ไม่ใช่ของผมเป็นของลูกค้าต่างชาติ รสชาติของกาแฟเป็นอย่างไรในเช้านี้ ผมไม่อาจรู้ เพราะไม่ได้ชิม หลังสตรีมนมสดจนร้อนได้ที่ กลิ่นกาแฟสดหอมกรุ่นโชยออกมา และพร้อมแล้วสำหรับการดื่ม-กิน
สุมาตร ภูลายยาว
เนิ่นนานหลายปีแล้วที่ผมพเนจรจากบ้านเกิด แต่หลายๆ ความรู้สึกเกี่ยวกับบ้าน ผมไม่มีทางลืมได้เด็ดขาด บางค่ำคืนที่มีโอกาสอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ด้วยความสงบเงียบ ภาพบ้านเกิดจะย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ-ความทรงจำในวัยเยาว์เกี่ยวกับบ้านเกิด
สุมาตร ภูลายยาว
เวลาผ่านไปเร็ว ยามที่เราโตขึ้น เราเชื่อเช่นนั้น เพราะเราโหยหาเวลาของวัยเยาว์ เมื่อเราเติบโตขึ้นเป็นลำดับมีหลายความรู้สึกของวัยเยาว์ที่หล่นหายไปอย่างไม่อาจเรียกคืนกลับมา ราวกับสายน้ำที่ไหลไกลออกไปทุกทีๆ มิอาจหวนกลับมาเป็นสายน้ำได้เช่นเดิม แต่กลายเป็นสายฝนพรำลงมาแทน หากพูดถึงอดีตแล้ว บางด้านที่เลวร้าย เราอยากผ่านเลย แต่กลับจำได้ฝังใจ...
สุมาตร ภูลายยาว
บุนทะนอง ซมไซผล แปลโดย สุมาตร ภูลายยาว    ๑.ผลน้ำเต้าบุ่ง และวรรณคดีพื้นเมือง ถ้าจะให้พูดถึงความสัมพันธ์ไทย-ลาว ความเชื่อมโยงด้านวรรณคดีของชนชาติเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำของ สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิดถึงคือ น้ำเต้าบุ่ง
สุมาตร ภูลายยาว
ดอกเกดเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ลำต้นมีลักษณะเหมือนต้นปาล์ม เวลาออกดอก ดอกจะส่งกลิ่นหอม คนเฒ่าคนแก่จะนิยมนำไปบูชาพระและนำมาทัดหู ผมไม่รู้เหมือนกันว่าดอกไม้ชนิดนี้จะมีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยหรือมีเฉพาะที่ภาคอีสานและประเทศลาว
สุมาตร ภูลายยาว
จากใบไม้ใบสุดท้ายถึงซิ่นไหมผืนเก่าๆ: ๒ เรื่องสั้นซีไรต์บนแผ่นดินเบื้องซ้ายแม่น้ำของ (โขง) เมื่อพูดถึงวรรณกรรมบนแผ่นดินฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแล้ว หลายคนคงอดที่จะพูดถึงวรรณกรรมชิ้นคลาสสิกเช่น ‘สังสินไซ’ ไม่ได้ เพราะสังสินไซเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงรู้จักมากที่สุดชิ้นหนึ่ง นอกจากสังสินไซแล้ว ผลงานของนักเขียนลาวหลายคนในความรับรู้ของคนไทยคงหนีไม่พ้นผลงานเขียนของท่านมหาสีลา วีระวงค์ ผู้รจนางานมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ในนาม ‘ท้าวฮุ่งและขุนเจือง’