Skip to main content

“สาละวินไม่มีคน” คือคำพูดของบรรดานักพัฒนาผู้แสวงหากำไรบนหนทางของการพัฒนาลุ่มน้ำแห่งนี้ได้ยกขึ้นมาบอกกล่าวจนชินหู แต่หากได้ลงมาล่องเรือเลียบเลาะสายน้ำชายแดนแห่งนี้ จะพบว่าแม่น้ำนานาชาติสายที่ยาวที่สุดในภูมิภาคอุษาคเนย์ที่ยังคงไหลอย่างอิสระแห่งนี้เป็นบ้าน เป็นชีวิตของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าตลอดสองฝั่งน้ำ

งานวิจัยปกากญอ “วิถีแม่น้ำและผืนป่าของปกากญอสาละวิน” ได้จัดทำโดยนักวิจัยชาวบ้าน ปกากญอ หรือชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจาก ๕๐ หย่อมบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวินบนพรมแดนไทย-พม่า เขต อ.แม่สะเรียง และ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าในลุ่มน้ำแห่งนี้มีคนเล็กๆ อาศัยอยู่ และรักษาทรัพยากรดุจดังชีวิตของตนเอง

การศึกษาครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวินตลอดแนวพรมแดนไทย-พม่า โดยศึกษาข้อมูลฐานในประเด็นพันธุ์ปลา เครื่องมือหาปลาพื้นบ้าน การเกษตร พรรณพืชในป่า และสังคมวัฒนธรรมของชาวปกากญอ เพื่อนำมาอธิบายความสลับซับซ้อนของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในลุ่มน้ำสาละวิน และวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมของชุมชนที่ตั้งอยู่บนฐานของระบบนิเวศน์ดังกล่าว ตลอดจนพิธีกรรมและความเชื่อของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

งานวิจัยปกากญอสาละวินได้นำเอาวิธีการวิจัยไทบ้านที่ดำเนินการที่ปากมูนมาปรับใช้ แต่ยังคงตั้งบนฐานงานวิจัยไทบ้าน นั่นก็คือ ชาวบ้านเป็นนักวิจัยโดยใช้ความรู้พื้นบ้านในการอธิบายข้อมูลด้านต่างๆ ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมที่ช่วยประสานงานและช่วยจัดทำเอกสารในฐานะผู้ช่วยนักวิจัย

งานวิจัยปกากญอสาละวินได้ใช้วิธีการวิจัยผสมผสานกัน ทั้งการประชุมกลุ่มนักวิจัย การสำรวจภาคสนาม การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก และการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม โดยดำเนินการรวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๒ ปี ๗ เดือน โดยใช้ภาษาถิ่น คือภาษาปกากญอสะกอ เป็นภาษาหลักในการศึกษา

ผลการศึกษาพบว่า แม่น้ำสาละวินตลอดเส้นพรมแดน มีระบบนิเวศที่สลับซับซ้อน อาทิ แก่ง วังน้ำ หาดทราย และระบบนิเวศย่อยตามลำห้วยสาขาอีกมากมาย ความหลากหลายซับซ้อนทั้งหมดนี้ เป็นทั้งบ้านของปลานานาชนิด และแหล่งหาอยู่หากินของชาวบ้าน

ทีเซ คนขับเรือหนึ่งในนักวิจัยได้กล่าวว่า ขับเรือในแม่น้ำสาละวินมานานแล้ว ก็เห็นแก่งในน้ำสาละวินจำนวนมาก แก่งในหน้าฝนจะไม่โผล่ แต่พอหน้าแล้งนี่แก่งจะโผล่แล้ว แก่งบางแก่ก็อันตราย ถ้าคนไม่เคยมาแม่น้ำสาละวินพอมาเจอแก่งน้ำวนในช่วงหน้าแล้งก็จะกลัว ในหน้าแล้งคนขับเรือต้องระมัดระวังในการขับเรือ

การศึกษาพันธุ์ปลาในแม่น้ำสาละวินและลำห้วยสาขาพบพันธุ์ปลา ๗๐ ชนิด โดยชาวบ้านใช้เครื่องมือหาปลาพื้นบ้านหลากหลายชนิด ซึ่งสอดคล้องกันกับระบบนิเวศที่สลับซับซ้อนและฤดูกาล เครื่องมือหาปลาบางชนิด มีไว้สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เพราะผู้หญิงมีความสามารถในการใช้เครื่องมือได้ดีกว่า

วิธีการหาปลาบางชนิดแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนในชุมชน และความเชื่อของคนต่อธรรมชาติ เช่น การตึกแค หรือกั้นแควของลำห้วยเพื่อจับปลา ชาวบ้านเชื่อว่าถ้ามีการกั้นแควลำห้วยเพื่อจับปลาแล้วไม่ปล่อยน้ำให้เป็นอิสระดังเดิม ต่อไปก็จะไม่มีปลากินอีก

วิชัย อำพรนภา นักวิจัยเรื่องปลาได้เล่าถึงการทำวิจัยเรื่องพันธุ์ปลาในแม่น้ำสาละวินให้ฟังว่า คนในลุ่มน้ำสาละวินจะหาปลา ๒ ส่วนคือ หมู่บ้านตามริมห้วยสาขาก็จะหาปลาตามลำห้วย ใช้เครื่องมือหาปลาขนาดเล็ก เช่น เบ็ด มอง ไซ ส่วนมากก็จะได้ทั้งปลาตัวใหญ่และตัวเล็ก ปลาในลำห้วยเป็นปลาที่ขึ้นมาจากแม่น้ำสาละวินในช่วงหน้าฝน ปลามันจะเข้ามาวางไข่ตามลำห้วย ช่วงหน้าแล้งปลาก็จะอพยพลงไปในแม่น้ำสาละวิน บางช่วงของห้วยที่เป็นแก่งหินและน้ำลึกก็จะมีปลาหลงเหลือยู่ให้จับไปประกอบอาหารได้ ตอนนี้พอปลาลดน้อยลงที่บ้านโพซอก็มีการจัดทำเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา เพื่อจะได้มีปลากินอีกหลายๆ ปีในอนาคตข้างหน้า

นอกจากจะได้ทำงานวิจัยในประเด็นที่กล่าวมาแล้วคณะนักวิจัยยังได้ร่วมกันทำงานวิจัยในประเด็นเรื่องการทำเกษตรของชาวปกากญอ ในการวิจัยพบว่า ชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ในป่าสาละวินมีวิถีการทำเกษตรที่แตกต่างกันตามลักษณะภูมินิเวศ โดยสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะคือ

๑.การทำเกษตรริมฝั่งน้ำสาละวิน ในทุกปีเมื่อแม่น้ำสาละวินเริ่มลดระดับลงหลังฤดูฝน ริมฝั่งของแม่น้ำสาละวินจะเกิดเป็นหาดทรายขาวยาวตลอดริมฝั่ง พื้นที่หาดทรายอันอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุที่สายน้ำพัดพามาเหล่านี้คือแปลงเกษตรของชาวบ้านริมฝั่งน้ำ

หลังจากน้ำลดแล้วชาวบ้านจะทำการจับจองพื้นที่ในการปลูกพืชต่างๆ กว่า ๓๐ ชนิด เช่น ถั่ว แตงโม ยาสูบ เพื่อบริโภคในครัวเรือนหรือนำไปแลกเปลี่ยนในชุมชน เกษตรริมน้ำสร้างความมั่นคงทางอาหารแก่ชุมชนริมฝั่งน้ำสาละวินตลอดฤดูแล้ง    

๒.การทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ถือเป็นหัวใจของการผลิตของชุมชนสาละวิน ชาวบ้านทุกครอบครัวทำไร่หมุนเวียนบนดอย โดยมีวงรอบของการหมุนเวียนไปประมาณ ๕-๘ ปี ในไร่ของชาวบ้านสาละวินมีพันธุ์ข้าวไร่พื้นเมืองถึง ๕๒ ชนิด และพืชอาหารปลูกผสมกันไปอีกกว่า ๑๓๐ ชนิด  

๓.การทำนา ชุมชนริมห้วยสาขาในป่าสาละวินจะทำนาบนที่ราบลุ่มริมฝั่งลำห้วย โดยมีการจัดการน้ำด้วยวิถีพื้นบ้านในระบบเหมืองฝาย เป็นการ “ขอยืมน้ำ” จากลำห้วยให้ไหลผ่านนาขั้นบันได หล่อเลี้ยงต้นข้าวและไหลกลับคืนสู่ลำห้วยดังเดิม ทุกปี ชาวบ้านที่ใช้ฝายจะร่วมกันทำพิธีเลี้ยงผีฝาย เพื่อขอบคุณสรรพสิ่งที่มอบความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนนา   

ตลอดรอบปีของการเกษตรทั้งไร่หมุนเวียนและนา พบว่าชาวบ้านมีพิธีกรรมจัดขึ้นในทุกช่วง เพื่อขออนุญาตผืนดิน แม่น้ำ และป่า ในการทำการเกษตรเพื่อเลี้ยงครอบครัว พิธีกรรมเหล่านี้เป็นการแสดงความเคารพต่อสรรพสิ่งและธรรมชาติ ซึ่งแนวคิดที่เคารพในธรรมชาติถูกปลูกฝังอยู่ในทุกชีวิตแห่งป่าสาละวิน

พ่อหลวงธวัชชัย อมรไผ่ชนแดน หนึ่งในนักวิจัยเรื่องการทำเกษตรได้เล่าถึงผลการศึกษาว่า คนอยู่ในป่าก็หากินกับป่า ทำไร่บนดอย บางคนก็ทำนา พันธุ์ข้าวในไร่มีเยอะ ปลูกข้าวไร่ทีก็ปลูกผักอย่างอื่นไปด้วย ไม่มีอดกิน แต่ถ้าต่อไปไม่ให้ชาวบ้านทำไร่หมุนเวียนแล้ว ชาวบ้านคงอดตายกันแน่ เพราะไม่รู้จะเอาข้าวที่ไหนมากินจะให้ไปรับจ้างก็คงไม่ไหว เพราะพวกเราไม่คุ้นเคย อยู่กับไร่นี่แหละสบายดี ทำไร่ปีหนึ่งมีข้าวกินก็พอแล้ว

ส่วนพะตีสิริพอ จตุพรเวียรสกุล นักวิจัยเรื่องสมุนไพรและอาหารจากป่าได้กล่าวว่า ในป่าสาละวินมีพืชสมุนไพรเยอะ ป่าสาละวินอันอุดมสมบูรณ์มีพรรณพืชมากมายที่ชาวบ้านได้ใช้เป็นอาหารและยาสมุนไพรด้วยความรู้พื้นบ้าน โดยชาวบ้านสามารถเก็บพรรณพืชสมุนไพรได้กว่า ๑๓๐ ชนิด

ชาวบ้านก็จะไปเก็บเอามารักษาโรค เพราะกว่าจะเดินทางเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลในเมืองมันก็นาน ในป่านี่สมุนไพรมีความจำเป็น คนอยู่ป่าก็อาศัยป่า รักษาป่า บางคนอายุมากแล้วไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ เลยเพราะกินแต่สมุนไพร เดี๋ยวนี้คนในเมืองป่วยกันเยอะ เพราะกินสารเคมีมาก คนในป่าบางทีเป็นมาลาเรียเอาใบไม้มาต้มกินก็หาย พรรณพืชเหล่านี้จึงเป็นความมั่นคงของชุมชนในผืนป่าสาละวินที่มิต้องซื้อหา   

เนื่องจากพื้นที่ทำการศึกษาวิจัยอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  คณะนักวิจัยจึงได้เพิ่มประเด็นการศึกษาวิจัยเรื่องสัตว์ป่าเข้าด้วย นักวิจัยได้ระดมร่วมกันว่าการศึกษาวิจัยเรื่องสัตว์ป่านั้นก็เพื่อศึกษาถึงความรู้และความเชื่อของชุมชนในการรักษาป่าและสัตว์ป่า ไม่ได้หมายเอาการศึกษาเรื่องของตัวสัตว์ป่า

การศึกษาพบว่าในผืนป่าสาละวินมี โป่ง คือแหล่งแร่ธาตุที่สัตว์ป่านานาชนิดลงมากินจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ของหมู่บ้านต่างๆ ในผืนป่าสาละวิน พ่อหลวงประวิทย์  กมลวรรณหงส์ นักวิจัยเรื่องสัตว์ป่ากล่าวว่า โป่งในป่าสาละวินนี่มี ๒ ลักษณะคือ ม้อเค--โป่งแห้งกับม้อที้--โป่งน้ำ  ชาวบ้านเชื่อว่าสัตว์ที่ลงมากินโป่งจะเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าของโป่งเหมินกับที่เราเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ชาวบ้านจะไม่ไปซุ่มยิงสัตว์ที่กำลังหากินบริเวณโป่งเป็นอันขาด  เพราะเชื่อว่าสัตว์ป่ามีเจ้าของดูแลปกป้อง  

นอกจากชาวบ้านจะไม่ไปซุ่มยิงสัตว์แล้วยังมีสัตว์ป่าบางชนิดที่ห้ามยิงด้วย เช่น โกยูปก่า-ชะนี เพราะชะนีไม่กินข้าวที่ชาวบ้านปลูกไว้ ชาวบ้านถือว่าชะนีเป็นเหมือนเจ้าป่า ถ้าหากยิงชะนีตายไป ๑ ตัวขุนห้วยจะเศร้าไป ๗ ขุนห้วย การห้ามลูกห้ามหลานของผู้เฒ่าสมัยก่อนมันก็เหมือนเป็นการบอกให้ลูกหลานได้อนุรักษ์สัตว์ป่าไว้นั่นแหละ

ว่ากันว่าถ้าหากเข้าไปในผืนป่าใดก็ตามหากได้ยินเสียงชะนีร้องแสดงว่าผาป่าผืนนั้นยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ เพราะความที่ผู้เฒ่าผู้แก่กลัวว่าสัตว์ป่าเหล่านี้จะหมดไปจากป่าผู้เฒ่าผู้แก่จึงได้คิดค้นคำทาขึ้นมากล่าวพร่ำสอนลูกหลานให้จำสืบต่อๆ กันมาว่า “ทุกสิ่งล้วนมีเจ้าของ เรากินเราใช้แค่พอเลี้ยงชีวิต ไม่ทำลาย เพื่อให้ลูกหลานได้มีกินสืบไป”

นอกจากนี้แต่ละชุมชนก็มีกฎเกณฑ์ในการห้ามล่าสัตว์บางชนิดอย่างชัดเจนแล้ว บางชุมชนยังมีการกำหนดโทษปรับ และหลายชุมชนยังได้มีการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์ปลา และเขตป่าอนุรักษ์ เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนอีกด้วย

สังคมวัฒนธรรมของชาวปกากญอแห่งลุ่มน้ำสาละวิน ชุมชนในผืนป่าสาละวินเกี่ยวเนื่องถึงกันโดยเป็นเพื่อน เป็นเครือญาติ  ไปมาหาสู่  ช่วยเหลือกัน และร่วมในพิธีกรรมต่างๆ  สร้างความแน่นแฟ้นระหว่างคนและชุมชนในลุ่มน้ำ การศึกษาพบว่าชุมชนสองฝั่งสาละวิน เชื่อมโยงกันโดยไม่มีพรมแดนของรัฐชาติเป็นอุปสรรค แม้ในหลายชุมชนจะไม่มีสถานะบุคคล ไม่มีสัญชาติไทย แต่ก็ยังสัมพันธ์เหนียวแน่น  และสืบทอดคำสอนของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ว่า
“อ่อทีกะต่อที อ่อก่อกะต่อก่อ กินน้ำรักษาน้ำ อยู่ป่ารักษาป่า”

สายธารแห่งวัฒนธรรมและการอนุรักษ์ธรรมชาติของชาวปกากญอจึงยาวไกลเหมือนกับการไหลของแม่น้ำสาละวินนั่นเอง

บล็อกของ สุมาตร ภูลายยาว

สุมาตร ภูลายยาว
วารสารวรรณศิลป์บนแผ่นดินลาว ลมหนาวและความร้อนแล้งโชยผ่านยอดขุนเขาด้านทิศตะวันตกแห่งเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านนามาแผ่วๆ แล้วฤดูกาลแห่งความเหน็บหนาวก็เดินทางมาอีกครั้งพร้อมกับลมสายลมนั้น
สุมาตร ภูลายยาว
สี่พันดอน: บ้านของคนและปลา เมื่อเอ่ยถึงสี่พันดอนเชื่อว่าหลายคนที่เคยไปเยือนคงจินตนาการถึงได้ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยไปเยือนคงงุนงงไม่น้อยว่าหมายถึงอะไร คำว่า ‘สี่พันดอน’ เป็นชื่อเรียกเกาะ ดอนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขตเมืองโขง แขวงจำปาสัก ภาคใต้ของประเทศลาว ดินแดนแห่งนี้ได้ถูกเรียกขานว่า สี่พันดอน เพราะเต็มไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่มีจำนวนมากมายเรียงรายอยู่ในแม่น้ำโขงที่มีความกว้างกว่า ๑๔ กิโลเมตร เกาะต่างๆ เริ่มขึ้นที่เมืองโขงและยาวลงไปจนถึงชายแดนลาว-กัมพูชาที่บ้านเวินคามกับเมืองสตรึงเตร็ง ในจำนวนเกาะที่มีอยู่มากมาย เกาะใหญ่ที่สุดชื่อ ‘ดอนโขง’ คำว่า ‘ดอน’…
สุมาตร ภูลายยาว
เจ้าม้าศึกสีเทา ๒,๒๐๐ ซีซี ทะยานไปตามทางลูกรังสีแดงเบื้องหลังฝุ่นคลุ้งตลบ หากมีรถวิ่งตามมาคงบอกได้คำเดียวว่า ‘ขอโทษ’ ก่อนจะถึงทางแยกเสียงโทรศัพท์ของผู้ไปถึงก่อนก็บอกให้ตรงมาตามทางอย่าได้เลี้ยวซ้ายเป็นอันขาด เพราะนั่นหมายถึงการหลงทางจะเกิดขึ้น
สุมาตร ภูลายยาว
การเดินทางเที่ยวนี้มีผู้หญิงนำ เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นเช้ากว่าวันอื่น แต่หากว่าเมื่อเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ถือว่ายังสาย โดยเฉพาะกับพ่อค้าแม่ค้าการตื่นนอนตอน ๖ โมงเช้านั้นถือว่าสายมากแล้ว เช้านี้กว่าจะเปิดเปลือกตาตื่นช่างหนักหนาสาหัส ราวกับว่าเปือกตาทั้งสองข้างถูกปิดทับไว้ด้วยเทปกาวชั้นดี หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ สมองยังคงงุนงง อาจเป็นเพราะช่วงนี้พักผ่อนไม่ค่อยพอ รวมทั้งมีเรื่องหลายเรื่องให้ได้คิด แต่เพราะงานที่ทำจึงต้องบังคับตัวเองให้ลุกจากที่นอน
สุมาตร ภูลายยาว
จะแกคนเลี้ยงวัวผู้ไม่เคยขุ่นมัวในหัวใจ ผมจำได้ว่าพบชายคนนี้ครั้งแรกเมื่อเข้าไปบ้านสองพี่น้อง เขาดูแปลกกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน เพราะเขาเป็นผู้ชายคนเดียวในหมู่บ้านที่ไว้ผมยาว เค้าโครงใบหน้าของเขาราวกับถอดแบบออกมาจากหัวหน้าชนเผ่าของอินเดียนแดง
สุมาตร ภูลายยาว
การงานของชีวิตที่ตกค้าง ฝนเทลงมาอีกวันแล้ว...เสียงสังกะสีดังราวกับมีก้อนหินนับล้านร่วงลงมาใส่ เย็นวันนี้มีเรื่องราวให้ขบคิดมากมาย กลับมาจากการประชุมที่เคร่งเครียด อันนับว่าเป็นการงานส่วนหนึ่งของชีวิต เล่นเอาเหนื่อยสายตัวแทบขาด แล้วยังมีงานอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกไหมนี่
สุมาตร ภูลายยาว
บันทึกในค่ำคืนที่เปลี่ยนผ่านกับนิทรรศการที่ไม่ได้จัด สายฝนของเดือนกันยายนโปรยสายลงมาทั้งวัน เราออกเดินทางจากเชียงของมาแต่ตอนเช้าด้วยรถคันเล็ก บนกระบะทางตอนท้ายบรรทุกเอกสารต่างๆ รวมทั้งนิทรรศการมาเต็ม รถต้องจดหลายครั้ง เพื่อห่มผ้ายางกันฝนให้ของบนกระบะรถ เราผ่านมากว่าครึ่งทาง ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ซ้ำร้ายยังตกลงมาหนักกว่าเดิม รถวิ่งทำความเร็วได้ไม่มากนัก ทั้งที่ความเป็นจริงแม้ฝนจะไม่ตก มันก็ไม่เคยวิ่งได้เร็วกว่าที่วิ่งอยู่เท่าใดนัก
สุมาตร ภูลายยาว
เมฆสีดำเหนือฟ้าด้านตะวันออกส่งสายฝนลงมาตั้งแต่เช้าจนล่วงบ่าย แม่น้ำเป็นสีชานมเย็น เศษขยะ ขอนไม้ ท่อนไม้ และต้นไม้ลอยมากับสายน้ำ และไหลไปตามแรงเฉื่อยของกระแสน้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
เช้านี้เหมือนกับทุกเช้าในช่วงนี้พ่อท่อน ยาแก้วเดินทอดน่องในสวนบนดอนทรายริมฝั่งแม่น้ำโขงเพื่อดูแปลงมะเขือราว ๔ ไร่ ในใจพ่อท่อนเองไม่อยากเก็บมะเขือในตอนนี้แม้ว่าจะถึงช่วงเวลาในการเก็บแล้ว สาเหตุที่ทำให้พ่อท่อนไม่อยากเก็บมะเขือในตอนนี้ เพราะราคามะเขือต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ปีนี้มะเขือหนึ่งหมื่น (๑๒ กิโลกรัม) ขายส่งจากสวนได้เงิน ๑๒ บาท
สุมาตร ภูลายยาว

รถตู้วิ่งไปบนถนนลาดยางมะตอยที่บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนสายนี้เป็นเส้นทางจากจังหวัดกระแจะไปอำเภอสามบอ เพราะถนนไม่ค่อยดีนัก ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตรต้องใช้เวลาเกือบ ๑ ชั่วโมงจึงถึงจุดหมาย เมื่อรถตู้ทั้ง ๓ คันจอดสงบนิ่งลงตรงประตูหน้าวัด ผู้โดยสารในรถตู้ก็พากันทยอยลงจากรถ เบื้องล่างของถนนเป็นแม่น้ำสายใหญ่ คนท้องถิ่นเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า ‘โตนเลของ-แม่น้ำของ-โขง’ แม้ยังไม่สายมากนัก แต่แสงแดดก็ส่องประกายร้อนแรงเหนือสายน้ำ ฟ้ากว้างเปล่าแปนเป็นสีฟ้าไกลสุดสายตาหยั่งถึง บนสายน้ำเรือหลายลำจอดลอยลำอยู่ ใกล้กับเรือตรงโคนต้นจามจุรีมีเด็ก ๓-๔ คนนั่งอยู่ ถัดจากโคนต้นจามจุรีไปมีเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่…
สุมาตร ภูลายยาว
จากพื้นที่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ผู้คนสองฝั่งได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำที่มีความยาว ๔,๙๐๔ กิโลเมตรสายนี้ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ล้าน ลักษณะการใช้ประโยชน์ก็แตกต่างกันออกไปตามแต่สภาพของพื้นที่ ในช่วงที่ไหลผ่านประเทศไทยตั้งแต่จังหวัดเชียงรายจนถึงจังหวัดอุบลราชธานี ก็มีผู้คนไม่จำนวนไม่น้อยได้ใช้ประโยชน์ในด้านแตกต่างกันออกไป ผู้ใหญ่ใช้หาปลา และใช้พื้นที่ตามหาดทรายที่โผล่พ้นน้ำ และริมฝั่งทำการเกษตร เด็กๆ ใช้เป็นห้องเรียนสำหรับฝึกหาปลา และว่ายน้ำ
สุมาตร ภูลายยาว
  ผาชันเป็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำโขงอยู่ในเขตอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี หมู่บ้านแห่งนี้มีเรื่องราวน่าสนใจหลายอย่าง เริ่มแรกเดิมทีก่อนเดินทางไปถึง ผมจินตนาการถึงหมู่บ้านแห่งนี้ในรูปแบบต่างๆ และพอเดินทางไปถึงบ้านผาชันเป็นครั้งแรก ซึ่งอยู่ในหน้าฝน ผมก็พบว่า ในฤดูฝนหมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นเกาะขนาดย่อมๆ ชาวบ้านบอกว่า "ในฤดูฝน น้ำจากห้วยจะไหลจนท่วมสะพาน และถนนที่เข้าสู่หมู่บ้าน การเดินทางเข้าหมู่บ้านต้องใช้เรือข้ามลำห้วยแล้วไปต่อรถ" ร่องรอยของคำพูดปรากฏให้เห็นเมื่อผมเดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน รถข้ามสะพานที่น้ำในลำห้วยเริ่มปริ่มอยู่ใต้สะพาน…