แม่น้ำเกิดมาจากสายฝน-สายฝนเกิดจากแม่น้ำ นานมาแล้วต้นกำเนิดของแม่น้ำ และสายฝนมาจากที่เดียวกัน ทุกสิ่งล้วนสัมพันธ์เชื่อมโยง เช่นเดียวกับแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงผู้คนในแถบอีสานใต้ แม่น้ำสายนี้ชื่อว่า ‘แม่น้ำมูน’ มีต้นกำเนิดจากสายน้ำเล็กๆ บริเวณเขาแผงม้า จังหวัดนครราชสีมา หลังจากนั้นก็ไหลเรื่อยผ่านสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ก่อนไหลลงบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณแม่น้ำสองสีในอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ลำน้ำสายยาวได้หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่หลายปีตลอดการไหลของแม่น้ำมีเรื่องราวหลายเรื่องเกิดขึ้น แต่เรื่องราวที่ทำให้แม่น้ำสายนี้เป็นที่สนใจของผู้คนทั่วไปคงหนีไม่พ้นเรื่องของการสร้างเขื่อน
หลังสร้างเขื่อนผลกระทบหลายอย่างเกิดขึ้น บนสันเขื่อนปากมูนจึงกลายเป็นฐานที่มั่นของชาวบ้านผู้มาชุมนุม เพื่อบอกกล่าวความเดือดร้อนของพวกเขาให้คนทั่วไปได้รับรู้ วันที่เราเดินทางไปเยือนครั้งนั้นกระท่อมเรียงรายกระจัดกระจายไปตามสันเขื่อนจำนวนหลายหลัง มีเวทีกลางตรงข้างถนน บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ปัจจุบันมันกลายเป็นลานจอดรถ เป็นที่ปลูกต้นไม้ และเป็นเขตหวงห้ามที่เข้าไปได้เฉพาะคนบางกลุ่ม
ผมยังจำได้ว่าหลายปีก่อนได้เคยมานั่งที่โขดหิน ตกปลากระทิงตรงหน้าเขื่อนกับเด็กน้อยจากโรงเรียนแม่มูนมั่นยืน สิ่งเหล่านี้คือภาพอดีตที่หลายคนยังคงจดจำ ในขณะที่หลายคนก็ลืมหลงภาพเหล่านั้นไปแล้ว
แม่น้ำมูนแห่งนี้คือแหล่งเรียนรู้ของคนปากมูน ทั้งคนริมมูนและคนบ้านโคก แม่น้ำมูนคือโรงเรียนสอนการใช้ชีวิตของผู้คนที่อยู่กับแม่น้ำมายาวนาน เป็นโรงเรียนที่มีเพียงคำสอนคำบอกเล่า ไม่มีตำราให้ท่องจำ มีเพียงการฝึกฝนปฏิบัติจริงจนรู้และชำนาญ จึงไม่แปลกหากจะกล่าวว่า คนอยู่กับแม่น้ำมูน คือคนที่รู้เรื่องแม่น้ำมูนมากที่สุด งานวิจัยไทบ้านเพื่อศึกษาพันธุ์ปลาและทรัพยากรแม่น้ำที่ฟื้นคืนหลังการทดลองเปิดประตูเขื่อนตามมติคณะรัฐมนตรี จึงได้เริ่มขึ้นที่นี่
ชาวบ้านปากมูนย่อมรู้ดีที่สุดในเรื่องแม่น้ำมูน และรู้ว่าการกั้นแม่น้ำด้วยเขื่อนมิได้ให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลย
ในวัยเด็กผมไม่รู้หรอกว่าเขื่อนมันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร แต่รู้ว่าเมื่อมีคนมาชวนไปเที่ยวเขื่อนจะรู้สึกดีใจมาก ผมยังจำคำที่แม่บอกว่า ผมเกิดปีเดียวกับที่เขื่อนอุบลรัตน์แตกและเกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ เมื่อเติบโตขึ้นผมก็ได้เรียนรู้จากโรงเรียนว่าเขื่อนมีไว้เพื่อผลิตไฟฟ้า ถ้าไม่มีเขื่อนก็ไม่มีไฟฟ้าใช้
แต่เมื่อได้เรียนรู้มากขึ้น ก็รู้ว่าเขื่อนไม่ได้มีไว้เพื่อผลิตไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่มันได้ตัดวิถีชีวิตของชุมชนออกไปจากแม่น้ำ เช่น กรณีเขื่อนปากมูน เขื่อนราษีไศล เมื่อแม่น้ำถูกเขื่อนกั้น คนหาปลาก็ลดจำนวนลง แต่เมื่อเปิดเขื่อน คนหาปลาก็กลับมาจับปลาในแม่น้ำกันอย่างคึกคักกันอีกครั้ง ผมคิดว่า เมื่อจะทำอะไรก็ตามที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต แม้ผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นคนส่วนน้อยก็ตาม สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดี ทำไมคนส่วนน้อยต้องเสียสละ ในเมื่อเขาก็มีเพียงชีวิตเดียวเช่นเดียวกับทุกคน
หลังการเปิดเขื่อนมีงานวิจัยออกมายืนยันว่าแม่น้ำ ปลา และวิถีชีวิตชุมชนฟื้นคืนมาจนเกือบสมบูรณ์เมื่อแม่น้ำปราศจากเขื่อน ผมเชื่อมั่นว่าสังคมย่อมตระหนักดี แม้ในท้ายที่สุดรัฐบาลจะเพิกเฉยต่องานวิจัยทั้งที่ทำโดยมหาวิทยาลัย และของชาวบ้านเอง
รวมพลังผู้เดือดร้อนจากเขื่อนทั่วโลก ณ ริมฝั่งแม่น้ำมูน
ลมหนาวพัดมา ณ ริมน้ำมูนตอนกลางที่บริเวณทุ่งน้อย ราษีไศล ผู้คนหลายชาติ หลายภาษา แต่มีภารกิจร่วมกัน มารวมกันรักษาแม่น้ำในงานประชุมนานาชาติครั้งที่ ๒ ของผู้เดือดร้อนจากเขื่อนทั่วโลก “River for Life”
ผมเดินทางมาถึงทุ่งน้อยก่อนวันงานประชุมหลายวันเพื่อเตรียมงาน งานก่อสร้างและการเตรียมการทั้งหลายดำเนินไปอย่างเร่งรีบ เพราะวันงานใกล้เข้ามาทุกที ผมบอกกับตัวเองว่า มนุษย์ต้องรู้จักการใช้แรงกายบ้าง ยามค่ำคืนที่เหนื่อยล้าจากการทำงานกลางแดดเปรี้ยงมาทั้งวัน ก็หวนคิดถึงผู้คนอีกมากมายที่ต้องใช้แรงกายทำงาน เช่น คนที่ทำงานก่อสร้าง เขาเหนื่อยกว่าเราหลายเท่านักเพื่อแลกสิ่งที่จะมาเลี้ยงชีวิต
ระหว่างการเตรียมงานเมื่อมีคนมากมายมารวมกัน ย่อมมีความแตกต่างกันหลายๆ ด้าน และความแตกต่างนี้เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ หลายวันที่ตรากตรำทำงานก่อสร้างหนักๆ ผมได้เรียนรู้ว่าความลำบากให้อะไรเรามากกว่าความสบาย ความสบายทำให้เราดูหมิ่นความลำบาก มองเห็นความลำบากเป็นขวากหนามที่ต้องคอยหลีกเลี่ยง เหมือนกับชนชั้นกลางที่มองเห็นการชุมนุมของผู้เดือดร้อนจากเขื่อนปากมูนอย่างไรอย่างนั้น แต่มนุษย์เหล่านั้นไม่เคยเรียนรู้เลยว่า ทำไมชาวบ้านต้องมาชุมนุม
ช่วงเวลาที่ใช้แรงงานนั้น ผมได้เรียนรู้ทักษะที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการเรียนนอกตำรา สิ่งที่ได้เรียนรู้คือการสร้างบ้าน ทำอย่างไรจึงจะให้งานออกมาดี ทำอย่างไรหน้าต่างจึงจะปิดได้ ทำอย่างไรไม้แต่ละแผ่นจึงจะซ้อนออกมาสวยงาม งานก่อสร้างตอกย้ำให้เรารู้ว่าเมื่อเราอยู่กับพี่น้องในชุมชน เราต้องทำตัวเป็นนักเรียนน้อย อย่าคิดว่าตนรู้ทุกสิ่ง ผู้รู้ที่แท้จริงย่อมบอกว่าตัวเองไม่รู้ และเมื่อเราพร้อมจะเรียนจากผู้อื่น เปิดใจและประตูแห่งการรับรู้ เราก็จะเห็นหลายอย่างที่เราไม่เคยได้รู้จากผู้คนมากมาย
งานประชุมนี้ทำให้ผมได้เห็นภาพที่กว้างขึ้นของขบวนการผู้เดือดร้อนจากเขื่อนว่า แท้จริงแล้วเรื่องของการปกปักรักษาแม่น้ำไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเพียงที่เดียวเท่านั้น
จากการเข้าร่วมการประชุมกลุ่มย่อยในประเด็นต่างๆ ประเด็นที่สำคัญที่ได้รับรู้คือ เบื้องหลังของเขื่อนและโครงการพัฒนาขนาดใหญ่นั้นมิใช่แค่เรื่องของรัฐบาลในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ยังมีตัวละครอีกหลายตัวที่เข้าร่วมผลักดันโครงการเหล่านี้ให้ดำเนินไปอย่างไม่เห็นชีวิตคนตัวเล็กๆ อาทิ ธนาคารเพื่อการพัฒนาต่างๆ รัฐบาลประเทศร่ำรวย และกลุ่มอุตสาหกรรมเขื่อน แนวโน้มปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกในปัจจุบันมิได้จำกัดอยู่เพียงในพรมแดนประเทศอีกต่อไป มีแต่จะข้ามพรมแดนไปเรื่อยๆ
เมื่อประเทศที่มีทุนมากกว่าเข้ารุกล้ำประเทศที่ยังคงมีทรัพยากร เช่น ไปสร้างเขื่อนในประเทศเพื่อบ้านแล้วเอาไฟฟ้าหรือน้ำมาใช้ในประเทศตนเอง หรือสร้างเขื่อนบนแม่น้ำนานาชาติที่ใช้ร่วมกันหลายประเทศ ผลกระทบของโครงการก็มิได้อยู่เฉพาะในพื้นที่โครงการ แต่ไหลบ่าข้ามพรมแดนแห่งรัฐมากระทบประชาชนที่ร่วมสายน้ำในประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
และการเคลื่อนไหวทางสังคมต่อต้านเขื่อนจะหยุดอยู่เป็นเรื่องท้องถิ่นเพียงในพื้นที่หรือในประเทศของตนมิได้อีกต่อไป เครือข่ายระดับภูมิภาคในประเด็นเดียวกัน เช่น การเรียกร้องค่าปฏิกรณ์ หรือเครือข่ายร่วมลุ่มน้ำเดียวกัน เป็นยุทธศาสตร์รวมพลังที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ ทำให้การต่อสู้สัมฤทธิ์ผลได้จริงด้วยความร่วมมือ
ผมได้พบว่าเรื่องทรัพยากรเราจะมองเพียงเรื่องทรัพยากรที่เป็นเงื่อนไขของรัฐชาติไม่ได้เพราะเมื่อเรามองเพียงเงื่อนไขของความเป็นรัฐชาติที่มีอยู่ เราก็จะจัดการและปกป้องทรัพยากรเฉพาะในประเทศเราเท่านั้น ในงานนี้ผมได้รับการเปิดมุมมองของตัวเองใหม่ๆ เกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรว่า เราต้องมองเรื่องทรัพยากรให้ไปไกลกว่าการมองการจัดการทรัพยากรแบบความเป็นรัฐชาติ แล้วเราจะได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ให้กับตัวเองในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ดิน น้ำ ป่า
สิ่งนี้ทำให้ผมย้อนคิดไปถึงเชียงของ ที่ชาวบ้านในประเทศไทยต้องเดือดร้อนเพราะโครงการเขื่อนและระเบิดแก่งในจีนและพรมแดนพม่า-ลาว ที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ความเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำพัดพาความเดือดร้อนไปไกลนัก
ยามค่ำของวันสุดท้ายของการประชุม พี่น้องต่างเชื้อชาติต่างภาษาต่างพากันทยอยเดินไปยังแม่น้ำมูนเพื่อประกาศเจตนารมณ์ของผู้ปกป้องแม่น้ำ และต้องการให้แม่น้ำได้ไหลอย่างอิสระ ขบวนเรือกาบกล้วยหลายสิบลำไหลสู่แม่น้ำ เรือลำน้อยไหลตามน้ำไปอย่างช้าๆ คำประกาศของการประชุมดังกึกก้อง บางคนกำหมัดชูขึ้นพร้อมคำประกาศว่า “พอกันทีกับการที่คนส่วนน้อยต้องเสียสละเพื่ออำนาจผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่อ้างว่าเป็นคนส่วนมาก”