Skip to main content

“...เราจะต้องดำรงชีวิตที่เป็นของเราเอง การงานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น และงานคือชีวิตก็ต่อเมื่อเราทำงานนั้นด้วยสติเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็จะเหมือนกับคนตายที่มีชีวิตอยู่ เราแต่ละคนจะต้องจุดคบเพลิงของชีวิตด้วยตนเอง แต่ชีวิตของเราแต่ละคนเกี่ยวพันกับชีวิตของบุคคลรอบๆ เราด้วย หากเรารู้จักวิธีปกปักรักษา และระวังจิตใจและหฤทัยของเราเอง นั่นแหละจะช่วยให้พี่น้องเพื่อนมนุษย์รอบข้างเรา รู้จักการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ...”

(ติช นัท ฮันห์,ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ: มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ 17,กันยายน 49)

ความเปลี่ยนแปลง คือสัจธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่เปลี่ยนด้วยตัวของมันเอง ก็ถูกสิ่งอื่นทำให้ต้องเปลี่ยน

“มนุษย์” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้

สมมติว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเป็นเวลายี่สิบปีเราจะไม่ส่องกระจกเลย เราใช้ชีวิต เราพบผู้คน เราสื่อสารกับพวกเขาเหล่านั้น เราฟังข่าวจากวิทยุ-โทรทัศน์ เราอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ เราทำงาน เราทานอาหาร เราอ่านหนังสือ เราออกกำลังกาย เราเหนื่อย เราพักผ่อน เราประสบความสำเร็จ เราเลี้ยงฉลอง เรามีความสุข เราเดินทาง เราล้มเหลว เราร้องไห้ เราทุกข์ เราเศร้า แล้วเราก็หายเศร้า เรากลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง วนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้

หนึ่งวันผ่านไป เมื่อเราลืมตาตื่นในวันต่อมา ภายนอกเรายังเป็นเราคนเดิม แต่ ภายในตัวเราไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ชีวิตหนึ่งวันที่ผ่านได้ทำให้เราเปลี่ยนไปแม้จะเล็กน้อยและเชื่องช้าอย่างยิ่งก็ตาม หนึ่งปีผ่านไป หลังผ่านพ้นการฉลองปีใหม่ ย้อนมองกลับไป เราอาจจะตกใจเมื่อคิดได้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้างในหนึ่งปีนั้น

ห้าปีผ่านไป สิบปีผ่านไป ยี่สิบปีผ่านไป เมื่อส่องกระจกอีกครั้งเราอาจจะจำตัวเองไม่ได้เสียแล้ว รูปร่างหน้าตาของเรายังมีเค้าเดิมอยู่ อาจจะกร้านโลกขึ้น อ่อนเยาว์น้อยลง แต่ภายในนั้น อาจจะไม่เห็นร่องรอยของยี่สิบปีก่อนอยู่เลย

ความสำคัญของระยะเวลาที่ผ่านไปสำหรับมนุษย์ ไม่ว่าจะแค่หนึ่งวันหรือยี่สิบปี ไม่ใช่อายุ ไม่ใช่สังขาร ไม่ใช่ความรู้ แต่คือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้น เราถูกทำให้เปลี่ยน หรือ เราได้เลือกที่จะเปลี่ยนด้วยตนเอง

แน่ละการดำเนินชีวิตมันก็ต้องมีทั้งสองด้าน แต่ด้านไหนล่ะที่มีมากกว่ากัน ถ้าให้ตอบอย่างจริงใจที่สุด คนส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนแปลงจากสิ่งแวดล้อม มากกว่าการเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง ชีวิตของคนจำนวนไม่น้อยจึงดำเนินไปพร้อมกับคำถามว่า “ชีวิตคืออะไร?” หรือ “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?” ผุดขึ้นมาในใจอยู่เสมอ

นานมาแล้วที่ผมเคยถามคำถามข้างต้น ถามและพยายามที่จะแสวงหาคำตอบ ได้คำตอบที่น่าคิดบ้าง ได้คำตอบที่เหลวไหลบ้าง เมื่อเวลาผ่านไป คำถามนี้ก็สำคัญน้อยกว่าคำถามที่ว่า พรุ่งนี้จะกินอะไร หรือ จะมีทางหาเงินได้มากกว่านี้อย่างไร จนไม่นานมานี้เอง ที่หลายสิ่งหลายอย่างได้ทำให้ผมเริ่มมองเห็นคำตอบของคำถามที่เกือบจะลืมเลือนไปแล้ว แม้จะไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่ก็รู้แล้วว่า ชีวิตไม่ได้ดำเนินไปอย่างไร้เป้าหมาย ทุกชีวิตมาอยู่บนโลกด้วยเป้าหมายอะไรบางอย่าง ท่ามกลางทางเลือกและทางแยกมากมาย เราทุกคนมีสิทธิ์ เลือก ไม่ใช่เป็นเพียง ผู้ถูกเลือก

ความเชื่อของคนนั้น ก่อรูปขึ้นด้วยประสบการณ์ชีวิต การตั้งคำถาม ความขัดแย้ง จนประสบกับตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของตนเอง จำเพาะเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล กว้างไกลไปถึงความเชื่อเรื่องชีวิต ก็สามารถพูดคุยได้อย่างไม่รู้จบสิ้น คุณค่าของใครก็ของมัน หนทางของใครก็ของมัน ไม่ควรก้าวก่าย ไม่ควรหยามเหยียด ไม่ควรดูถูกกัน กระนั้น ก็ไม่อาจแกล้งทำเป็นลืมได้ว่า โลกนี้ก็มีหนทางของมันเองเช่นกัน และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำต่อโลก ผลของมันก็ย่อมสะท้อนแก่ตัวมนุษย์เอง

สัจธรรมประการหนึ่ง ที่พบได้ในคำสอนของหลายๆ ศาสนา ไม่จำเพาะเพียงศาสนาพุทธ นั่นคือคำสอนที่ว่าด้วยการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่เรามีชีวิตอยู่ อดีตนั้นล่วงเลยไปแล้ว และอนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันจึงสำคัญทุกขณะ แน่นอน เราไม่อาจยึดจับปัจจุบันได้ เพราะปัจจุบันย่อมเคลื่อนไปด้วยตรรกะของเวลา แต่สิ่งที่เชื่อมโยงตัวเรากับปัจจุบันขณะได้นั้นมีอยู่ นั่นคือ “สติ” ของเรานั่นเอง

ผมยกคำสอนของท่าน ติช นัท ฮันห์ ขึ้นในตอนต้นเพื่อเชื่อมโยงให้เห็นว่า ชีวิตของเราจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าเราไม่ได้ดำรงชีวิตอย่างมีสติ รู้ในสิ่งที่เรากำลังทำ อยู่กับปัจจุบันขณะ เรื่องนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่จริงๆ แล้วลึกซึ้งมาก หากพยายามทำความเข้าใจ เราจะรู้ถึงคุณค่าของปัจจุบันขณะของการมีชีวิต นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในโลกที่คนส่วนใหญ่ละเลยความสำคัญของปัจจุบันขณะ มุ่งแต่จะพุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ บางคนห่วงกังวลถึงสิ่ง

ที่ล่วงไปแล้ว และบางคนก็มัวแต่คาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เราจึงมองไม่เห็นคุณค่าของปัจจุบัน ขณะที่ชีวิตเรายังดำรงอยู่ ขาดภูมิต้านทานการตระหนักรู้ความสุขในปัจจุบัน เมื่อทุกข์มากเข้าก็กลายเป็นว่ามองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตตนเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อจะสอนธรรมะนะครับ เพียงแค่อยากแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีสติ เห็นคุณค่าของสติ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เราดำเนินชีวิตไปอย่างตระหนักรู้แล้ว ยังทำให้คนรอบข้างเราได้ตระหนักรู้ไปพร้อมกับเราด้วย

ก่อนหน้าที่คอลัมน์ “ทางใบไม้”จะเกิดขึ้น ผมเขียนคอลัมน์ “สถานการณ์ไม่ปกติ” มาประมาณปีกว่า แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะเขียนในกรอบเรื่องสังคม การเมือง เศรษฐกิจ แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ทั้งหมด ชีวิตที่ดำเนินไป ทำให้ผมหันเหความสนใจไปในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในสังคมปัจจุบันมากกว่า คอลัมน์ของผมช่วงหลังๆ ก็มักจะมีเรื่องในแนวทางนี้ค่อนข้างมาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในด้านคอลัมน์ของประชาไท ผมจึงขออนุญาตเปลี่ยนแนวทางการเขียนให้ตรงกับสิ่งที่ตั้งใจไว้

คำว่า ใช้ชีวิต ผมคิดว่าเป็นคำที่มีความหมายกว้างขวางและลึกซึ้ง เพราะทุกคนมีเพียงหนึ่งชีวิต หนึ่งชีวิตนี้คุณจะใช้อย่างไร เพื่อใคร เพื่ออะไร นี่เป็นคำถามสำคัญยิ่ง ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ทั้งในระดับสังคม กระทั่งลึกซึ้งไปจนถึงระดับปรัชญาและศาสนา

ขึ้นต้นด้วยธรรมะ แต่ขอเรียนว่าคอลัมน์ “ทางใบไม้” ไม่ใช่คอลัมน์เกี่ยวกับธรรมะ เพราะผมไม่ใช่นักบวช ทั้งไม่มีความรู้มากพอจะสอนใครได้ แต่ผมสนใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ ความเห็น ในเรื่องการใช้ชีวิตตามแนวทางที่มนุษย์ควรจะเดิน และคาดว่าด้วยกรอบเท่านี้ ก็น่าจะกว้างใหญ่พอที่จะไม่ทำให้ผมอับจนปัญญาในการหาเรื่องนำมาเสนอ ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องของสติ เพราะเชื่อว่า ชีวิตจะมีคุณค่าเมื่อเราใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้มีสติรู้ตัวในสิ่งที่ทำ สิ่งที่รับผิดชอบ และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ในขณะนี้

ถ้าใช้ชีวิตอย่างหลับไหล หรือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ ก็น่าจะลองทบทวนดู ว่าที่ผ่านมาเราได้ใช้ชีวิต อย่างขาดสติ หรือมีสติ และต่อไป เราจะยังใช้ชีวิตแบบเดิม หรือ เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ผมไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ขนาดจะปลุกใครให้ตื่นได้หรอกครับ คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นก็คือตัวท่านเองตัวท่านเองเท่านั้น ที่จะปลุกตัวท่านเองให้ตื่นขึ้นตัวท่านเองเท่านั้น ที่จะสร้างตัวท่านเองให้เป็นอย่างที่ท่านต้องการ

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…