Skip to main content

“...พูดอย่างกว้างที่สุดคือ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเกิดจากการเลือกของเธอเอง ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การเลือกนั้นแต่อยู่ที่การเรียกว่าเลวร้าย เพราะเมื่อเธอบอกว่ามันเลวร้ายก็เท่ากับบอกว่าตัวเธอเองเลวร้ายด้วย เพราะเธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เธอไม่อาจยอมรับการตราหน้านี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะตราหน้าตัวเองว่าเป็นคนเลวร้าย เธอกลับปฏิเสธสิ่งต่างๆ ที่ตนสร้างขึ้นมาเสียเลย

อสัตย์ทางสติปัญญาและจิตวิญญาณนี้เองที่ทำให้เธอยอมรับโลกอันมีสภาพอย่างนี้ หากเธอจะยอมรับหรือแม้เพียงรู้สึกลึกๆ ข้างในว่าตนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่อโลกใบนี้บ้าง โลกจะต่างออกไปกว่านี้มาก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หากทุกคนรู้สึกถึงความรับผิดชอบ การที่สิ่งเหล่านี้ชัดเจนเหลือเกินทำให้เป็นเรื่องสุดแสนเจ็บปวดและน่าขันสิ้นดี

ภัยพิบัติและหายนะภัยทางธรรมชาติต่างๆ เช่นพายุทอร์นาโด เฮอริเคน ภูเขาไประเบิด อุทกภัย หรือความโกลาหลเชิงกายภาพของโลก ไม่ได้เกิดจากเธอคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะหรอก เธอมีส่วนทำให้เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนให้ดูจากระดับที่เหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเธอ...”

(สนทนากับพระเจ้า : นีล โดนัล วอลซ์ ,รวิวาร โฉมเฉลา แปล ,สำนักพิมพ์ โอ้ มายก๊อด พิมพ์ครั้งที่ 2 มีค.50)

เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะยอมรับและเชื่อว่า
1. สิ่งเลวร้าย เกิดขึ้นเพราะเราเรียกมันว่า เลวร้าย
2. เราแต่ละคนมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนโลก
3. เรามีส่วนต่อความเลวร้ายที่เกิดบนโลกมากน้อยแค่ไหน ดูจากผลกระทบของมันที่มีต่อเรา

คำอธิบายเรื่องกรรม น่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้วกับข้อความนี้ แน่นอน เราแต่ละคนมีสิทธิ์ไม่เชื่อ และสามารถหาเหตุผลตั้งร้อยแปดพันเก้าเพื่อโต้แย้ง แต่ข้อโต้แย้งเหล่านั้น สามารถเปลี่ยนวิธีการมองโลก และ/หรือ เปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ ?

การประณามนั้นง่ายกว่าการลงมือเปลี่ยนแปลงมากมายนัก เมื่อเกิดสิ่งใดที่ถูกเรียกว่าเลวร้ายขึ้น ผู้คนจึงยินดีที่จะกล่าวโทษ ซึ่งโดยนัยยะของมันก็คือการผลักความรับผิดชอบออกไปให้พ้นตัว เมื่อเราผลักความรับผิดชอบออกไป โดยบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเรา นั่นหมายความว่า เรากำลังปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น

เมื่อเราปฏิเสธความเกี่ยวข้อง ปฏิเสธความรับผิดชอบเสียแล้ว เราจึงไร้พลังที่จะเปลี่ยนแปลง หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง เรายกย่องการประณามสิ่งเลวร้าย และละอายที่จะรับผิดชอบว่าเรามีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น

เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าเรายังกล่าวโทษสิ่งนั้นอยู่
เราจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าเราไม่เริ่มต้น รับผิดชอบ

มนุษย์ทุกคนบนโลกล้วนเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ทั้งไม่ง่ายที่จะเชื่อ และยังยากยิ่งกว่าที่จะเชื่อว่าเราทั้งหมด “ล้วนเป็นหนึ่งเดียว” แต่ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ อำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของคนๆ หนึ่งนั้นมากมายมหาศาลยิ่งนัก ทั้งยังยิ่งใหญ่และส่งผลสะเทือนต่อคนทั้งโลก ทั้งเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่และเมื่อเขาได้สิ้นชีวิตไปแล้ว

หากไม่มี มหาตมคานธี ประเทศอินเดียจะเป็นอย่างไร
หากไม่มี เช กูวารา เราคงไม่รู้จักคำว่า ปฏิวัติ ดีเท่านี้
หากไม่มีแม่ชีเทเรซา ผู้ทุกข์ยากนับล้านๆ อาจไม่พบแสงสว่างตลอดชีวิต
หากไม่มีท่านพุทธทาส สังคมไทยในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา อาจมืดมนยิ่งกว่านี้

บุคคลสำคัญของโลกทั้งหลายล้วนเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา แต่สิ่งที่ท่านเหล่านั้นมีมากกว่า คนธรรมดาคือความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง มิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น บุคคลสำคัญของโลกคือผู้ลงมือเปลี่ยนแปลง มิใช่ผู้ได้แต่กล่าวประณามสิ่งต่างๆ เราทุกคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโลกทั้งสิ้น หากเรามีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งที่เราเรียกมันว่า เลวร้าย เลิกกล่าวโทษแล้วลงมือเปลี่ยนแปลงมัน ลงมือทำ มิใช่เพียงกล่าวประณาม โลกนี้ไม่มีวันดีขึ้นมาได้จากการกล่าวโทษกัน เมื่อถึงจุดหนึ่งของความรู้สึกรับผิดชอบ อาจต้องอาศัย ความกล้าหาญ และพลังใจอย่างมหาศาลเพื่อที่จะกระทำ แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็คล้ายพลังงานอย่างหนึ่ง เหมือนดวงไฟที่รอให้มีคนจุด เมื่อผู้อื่นมองเห็นเขาก็จะเดินตามมา และช่วยทำให้ไฟดวงนี้สว่างมากยิ่งขึ้น

แท้จริงแล้ว มนุษย์ไม่เคยเดียวดาย แต่ความเห็นแก่ตัวมักจะทำให้มนุษย์โดดเดี่ยวตนเองอยู่เสมอ ขณะที่ถูกเหวี่ยงไปมาระหว่างขั้วของ “ความรัก” และ “ความเกลียด” เราจึงสับสนกับการแสดงออกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หากเราเชื่อว่า ความรักเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น ไม่ใช่ความเกลียด เชื่ออย่างลึกซึ้งแท้จริง เรา และ โลก จะไม่ใช่สิ่งแปลกแยกต่อกันอีกต่อไป

ความรักเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ไม่ใช่ความเกลียด

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
แกชื่อยายอิ่ม ผู้เคยเฉิดฉายในวงสังคม เพราะคัดสรรเฉพาะสามีรวย หนีออกจากบ้านไปมีผัวตั้งแต่อายุสิบสอง ผ่านมาสี่สิบกว่าปี มีผัวมากี่คน คงนับได้ยากเสียแล้ว พอยายอิ่มแก่ตัวลูกก็หนีหาย ต่างคนต่างไป ไม่มีใครเลี้ยง สุดท้าย แกคว้าตาหงอก ผู้(อ้างว่า)เป็นผู้ดีเก่ามาไว้หาเลี้ยงจนได้ สมัยสาวๆ ยายอิ่มได้มรดกจากพ่อแม่ไปเยอะ แต่ขายกินจนหมด แกมีชื่อเสียงมากด้านความคด ในข้องอในกระดูก ถึงขนาดที่ แม้แต่พี่น้องด้วยกันก็ยังโดน จนต้องตัดพี่ตัดน้องกันนั่นแหละ ในที่สุด พอแก่ตัวไม่มีที่จะอยู่ ต้องมาบีบน้ำตาขอที่จากแม่เฒ่า ซึ่งแม่เฒ่าแกก็ค่อยอยากจะให้ เพราะให้ไปมากแล้ว (แต่เอาไปขายกินหมด)…
ฐาปนา
นี่คือตลาดนัดประจำตำบล ที่เปิดมายาวนานหลายสิบปี ในละแวกใกล้เคียง 3-4 ตำบล เป็นที่รู้กันว่า ถ้า “นัดวันอาทิตย์” ก็ต้องมาที่นี่ ในระดับอำเภอ ตลาดนัดวันอาทิตย์ตอนเช้าของที่นี่ น่าจะใหญ่ที่สุด คึกคักที่สุด ลานกว้างพื้นที่หลายไร่ข้างวัด มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งสินค้ากันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า พอเริ่มสว่าง คนก็เริ่มมา หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเยอะ เพราะมีของให้เลือกมาก และแดดยังไม่ร้อน ก่อนที่ตลาดจะเริ่มวายประมาณแปดโมง จอดรถที่ข้างตลาด หรือ ถ้าไม่อยากเบียดเสียดก็ไปจอดในวัด บรรยากาศคึกคักของตลาดเห็นได้แต่ไกล ซอยอาหารทะเลตรงกับทางเข้าด้านที่ตรงมาจากวัด มีคนพลุกพล่านที่สุด…
ฐาปนา
ทุกเช้า ประมาณตีสี่ครึ่ง หอกระจายข่าวกลางหมู่บ้านจะเปิดข่าวเช้า(มืด)จากสถานีวิทยุของจังหวัด เป็นสัญญาณให้ทุกบ้านตื่นนอน เตรียมตัวมาปฏิบัติภารกิจประจำวัน หุงข้าว ทำกับข้าว เตรียมใส่บาตร เตรียมตัวรอขึ้นรถไปโรงเรียน เตรียมตัวรอขึ้นรถไปทำงาน ใครไม่ตื่นก็ต้องตื่น เพราะเสียงดังจนตามเข้าไปถึงในฝัน รายการเช้ามืด เริ่มต้นด้วยเพลงปลุกใจให้ยึดมั่นในสถาบัน แล้วตามด้วยธรรมเสวนา จากเจ้าอาวาสวัดที่เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด ตามด้วยสาระน่ารู้เกี่ยวกับเรื่องการเกษตร การทำมาหากิน โครงการต่างๆ จากรัฐบาล และ การปฏิบัติงานของหน่วยงานในจังหวัด
ฐาปนา
เช้าตรู่ของวันอากาศดีเสียงตามสายประกาศให้สมาชิกสหกรณ์การเกษตร เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันตอนบ่ายโมงตรง ณ ศาลาของหมู่บ้านพอบ่ายโมงครึ่ง สมาชิกสหกรณ์ฯ ก็มากันพร้อมหน้าเจ้าหน้าที่สหกรณ์มากันสามคน คนที่ดูอาวุโสกว่าใคร พูดมากกว่าใคร และเรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าใคร เป็นหัวหน้าชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุมได้รับกระดาษคนละหนึ่งแผ่น ปากกาคนละหนึ่งด้าม อ่านดู ก็เห็นว่าเป็นแบบฟอร์มสำรวจเรื่อง “ความพอเพียงในครัวเรือน”
ฐาปนา
ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากทะเล ป่าและเขาก็อยู่ไม่ไกล มีคลองส่งน้ำจากเขื่อนผ่านพื้นที่อย่างทั่วถึง ทำนาได้ปีละสองครั้ง ด้านป่าบนติดเขื่อน เขาปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ได้ผลที่มีรสชาติไม่น้อยไปกว่าทางภาคใต้หรือทางภาคตะวันออก แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ ถนัดปลูกผัก เพราะเก็บขายได้ตลอดทั้งปี แต่ละวันจะมีรถสิบล้อขนผักผลไม้ วันละหลายสิบคันวิ่งจากตำบลต่างๆ ในอำเภอ มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ พระประแดง สมุทรปราการ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ พร้อมด้วยผลิตผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง ตั้งแต่ของจำเป็นในครัวอย่าง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด มะนาว พริก หอม กระเทียม ไปจนถึงผักเจ้าประจำบนแผงผักทั้ง กะเพราะ โหระพา สะระแหน่ บวบ…
ฐาปนา
ดั้งเดิม ก่อนที่แต่ละบ้านจะมีเอกสารกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินของตัวเอง บ้านส่วนใหญ่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “รั้ว” อย่างเป็นทางการ เพราะแต่ละบ้านในละแวกก็ล้วนพี่น้อง หรือนับไปนับมาก็ญาติกันทั้งนั้น อาจปลูกต้นไม้เป็นแนวให้บอกได้ว่าเป็นแดนใคร แต่จะถึงขั้นปักเสาขึงลวดหนาม หรือก่อกำแพงล้อมนั้นน้อยราย เพราะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเงิน เขตบ้านใครก็บ้านมัน ถึงไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถึงไม่มีรั้วรอบขอบชิด ก็ไม่ก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ใครคนหนึ่งเกิดอยากทำเอกสารสิทธิ์ที่ดินของตน จากที่เคยชี้นิ้วบอกว่านี่เขตใคร การออกเอกสารสิทธิ์…
ฐาปนา
วัยเยาว์ของเธอ ขณะที่หัวใจครึ่งหนึ่งเปี่ยมด้วยความฝันและความหวัง ทะเยอทะยานปรารถนา แต่หัวใจอีกครึ่งกลับอ่อนไหว บอบช้ำง่าย ทั้งยังอ่อนด้อยต่อโลกแห่งเหตุผล อนาคตเลือนลางอยู่ในความฝันยามหลับ และวนเวียนอยู่ในความคิดยามตื่น เธอร่ำร้องหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่อาจบอกได้ มองไม่เห็น ไม่รู้จุดเริ่มต้น ไม่รู้จุดสิ้นสุด พลังสร้างสรรค์ของเธอฟุ้งกระจาย ไร้ทิศทาง เมื่อคำว่า ความพร้อม อยู่ห่างจากความเข้าใจ เธอจึงได้แต่ก่นโทษตนเองอยู่เป็นนิจ เธอร่อนเร่ไปในเมืองของผู้อื่น จากเมืองสู่เมือง แลกความเพียรกับเงินเลี้ยงชีพ ยิ้มแย้มให้คำดูหมิ่นเพื่อจะได้เห็นเกียรติของตนเสื่อมค่าลง
ฐาปนา
(มะพร้าวกะทิ)ตอนอายุสิบขวบ ผมค้นพบว่าโลกนี้มีผลไม้ประหลาดที่เรียกว่า “มะพร้าวกะทิ” เมื่อพ่อซื้อมันมาจากตลาดฟังดูน่าหัวเราะ เหมือนชาวเมืองมาคอนโดค้นพบว่าโลกนี้มีน้ำแข็ง ในนวนิยายมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวแต่นี่คือเรื่องจริงในวัยเด็กของผมอาจเป็นเพราะมันไม่ใช่ของที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่นที่ผมอยู่ ไม่ใช่ของที่หากินได้ทั่วไป จึงได้มีราคาสูงถึงลูกละ 50 บาท ซึ่งแน่ละ สำหรับยี่สิบปีก่อน ถือว่า แพงมาก แล้วเมื่อแพงขนาดนี้ ก็ย่อมไม่ใช่ของที่จะซื้อกันบ่อยๆผมจำความตื่นเต้นในการเจอหน้าครั้งแรกได้ดี มะพร้าวอะไรกัน มีเนื้อเต็มลูก ไม่แข็งแต่นิ่มๆ หยุ่นๆ รสชาติก็ลื่นๆ มันๆ…
ฐาปนา
แกชื่อยายหอม เป็นคนอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีแม่ของแกมีเชื้อลาวพวน พ่อของแกเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรกของหมู่บ้าน แต่เดิมแกอยู่ตำบลอื่น แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ แกเป็นคนรุ่นแรกที่มาหักร้างถางพงทำไร่ทำนาหมู่บ้านยุคบุกเบิก มองไปทางไหนก็มีแต่ป่า สัตว์ป่าชุกชุม เข้าป่าเจอเสือ หรือเสือแอบเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน เป็นเหตุการณ์ประจำวัน คอกวัวสมัยนั้น ต้องกั้นเป็นฝาจึงพอกันเสือได้ ชาวบ้านกินเนื้อเก้ง เนื้อกวาง เนื้อไก่ป่า บ่อยกว่าเนื้อหมู หนองน้ำเต็มไปด้วยปลาตัวโตๆ ตะพาบตัวเท่ากระด้ง เรื่องผีสางนางไม้อยู่แนบชิดชุมชนมากกว่าเรื่องวัดเรื่องพระแกเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นแกยังเป็นสาว…
ฐาปนา
ในวัยหนุ่มสาว ขณะที่จิตใจยังถูกครอบงำด้วยความโรแมนติกเช่นเดียวกับหลายคน ผมฝันถึงบ้านที่มองเห็นภูเขา ฟ้ากว้าง ได้เฝ้ามองหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย อาบกายด้วยแสงอัสดงทุกวัน หรือ บ้านที่อยู่ริมทะเล เห็นเส้นขอบฟ้าไร้จุดสิ้นสุด ไกวเปลตามลมเห่ ต้นมะพร้าวโยกเอน นอนฟังเสียงคลื่นกล่อมชั่วกาลทว่าในบริบทของชีวิต ผู้ที่สามารถมีบ้านอย่างที่ฝันมีไม่มากเลย ทั้งเมื่อมีแล้วก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับสิบปี กว่าจะแต่งเติมภาพฝันจนเสร็จจริง คนที่ให้ค่ากับความฝันสูงยิ่งทั้งไม่ยอมให้ความยากลำบากในชีวิตจริงมาบั่นทอนเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ได้รับที่พำนักของหัวใจชั่วชีวิตเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เท่ากัน…
ฐาปนา
เสียงจักจั่นกรีดปีกจากป่าเชิงดอย ฝ่าไอแดดร้อนมาถึงเคหะสถานเงียบงัน รถกระบะบรรทุกหนุ่มสาวร่างเปียกปอนยืนล้อมถังน้ำใบใหญ่แล่นผ่านไปหญิงชราถือสายยางเดินออกมาหน้าบ้าน ฉีดน้ำใส่พื้นถนน ไอน้ำระเหยขึ้นเด็กๆ หิ้วถังพลาสติก ขัน ปืนฉีดน้ำ มองสองข้างทางอย่างมีความหวังร้านขายน้ำปั่น น้ำแข็งไส ขายดีจนต้องสั่งน้ำแข็งเพิ่มในช่วงบ่ายเจ้าของโรงทำน้ำแข็ง หน้าบาน แต่ลูกจ้างหน้าเหี่ยว เพราะข้าวสารขึ้นราคาลิตรละหลายบาทแต่ค่าแรงเท่าเดิม    ดวงอาทิตย์กลับมาอยู่ใกล้ชิดโลก เหมือนคนรักที่ได้เจอกันแค่ปีละครั้งมวลอากาศอบอ้าวเข้าเกาะกุมผิว ยึดทุกรูขุมขน เหงื่อเค็มถูกขับซึมเสื้อ เหนอะหนะ…
ฐาปนา
“...ทว่าการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์ครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญามหาศาล ความกล้าหาญมหึมา และความมุ่งมั่นเหลือคณา เพราะความกลัวจะจู่โจมถึงแกนกลางของแนวคิดนี้ และป่าวร้องว่าผิดพลาด ความกลัวจะกัดกินเข้าไปยังแก่นแห่งสัจธรรมล้ำเลิศและแปลงให้เป็นเรื่องเท็จเทียม ความกลัวจะบิดเบือน และทำลาย ฉะนั้นความกลัวจะเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ทว่าเธอไม่อาจมีและไม่อาจสร้างสังคมที่ปรารถนาและใฝ่ฝันมาช้านานจนกว่าจะเห็นปัญญาและกระจ่างชัดถึงปรมัตถ์สัจจ์ที่ว่า สิ่งที่เธอทำแก่ผู้อื่นเธอก็ได้ทำแก่ตัวเอง สิ่งที่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่น เธอก็ไม่ได้ทำให้ตัวเอง ว่าความเจ็บปวดของผู้อื่น ก็คือความเจ็บปวดของตัวเธอ…