Skip to main content

เพลงคุ้นเคยหลายเพลงดังแว่วมาจากวิทยุข้างบ้าน สลับกับการเล่าเรื่องของดีเจ เธอบอกว่าเทศกาลลอยกระทงปีนี้ไม่คึกคักอย่างปีก่อนๆ คงเพราะบรรยากาศทางการเมือง บวกกับงานราชพิธีและผลจากพิษเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจึงบางตา ประเพณีจึงไม่สวยงามอย่างเคยเป็น


แต่นั่นเป็นเรื่องที่สวนทางกับภาพที่ฉันกำลังได้เห็น


คุณลุงบรรจงทำซุ้มอย่างช้าๆ สบายๆ กับแดดยามสาย


คุณลุงข้างบ้านตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับทุกวัน แต่วันนี้ลุงไม่ไปทำงานในไร่ เช่นเดียวกับพี่สาวบ้านตรงข้ามที่ปกติออกไปขายเสื้อผ้าแต่เช้ามืด พวกเขามายืนผิงแดดอุ่นอยู่หน้าบ้าน แล้วทำความตกลงเจรจาแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากสวนหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นก้านมะพร้าว ดอกดาวเรือง ดอกบานไม่รู้โรย ดอกลำโพง ลวด เชือก กระดาษ ทั้งหมดนั้นคืออุปกรณ์การทำ “ประตูป่า” หรือซุ้มดอกไม้ในเทศกาลลอยกระทง



บ้านนี้หยุดงานทั้งครอบครัว ช่วยกันทำซุ้มประตูป่า


ผู้ใหญ่บ้านประกาศย้ำมาอีกครั้งในเช้าวันนั้น ว่าการทำซุ้มประตูป่าไม่ใช่เรื่องบังคับ แต่เป็นการสืบทอดประเพณีของหมู่บ้านที่มีมาช้านาน สิ้นเสียงประกาศก็เหมือนแรงกระตุ้นให้ทุกคนเร่งมือ ฉันเก็บกวาดบ้านอยู่ไม่นานนัก ออกไปมองอีกที ซุ้มประตูป่าก็เริ่มปรากฏขึ้นหน้าบ้านทีละหลัง ทีละหลัง ยืนมองดูการมัดไม้ไผ่เป็นเสา แล้วพาดยาวแนวขวางไว้ห้อยดอกไม้ เหมือนจะยากแต่ก็ไม่ง่าย เหมือนจะง่ายแต่ยังไม่รู้วิธีทำ


ในที่สุดเมื่อใครบางคนเดินเข้ามาขอตัดไม้ไผ่ที่บ้าน ฉันจึงได้โอกาสถามขั้นตอนที่ง่ายที่สุดกับเขา

เดี๋ยวพี่บอกวิธีให้ ไม่ยากเลย”

 

ซุ้มของพี่สาวใจดีข้างบ้าน ละเอียดละออกับการสานใบมะพร้าวประดับประดา


พี่สาวข้างบ้านบอก เธอคว้ามีดด้ามใหญ่มาจับ เดินอาดๆ เข้าไปหลังบ้านของฉันเอง จากนั้นตัดก้านมะพร้าวมา
2 อัน แล้วใช้กรรไกรตัดปลายใบมะพร้าวออกเพื่อความสวยงาม

จากนั้นก็ทำแบบนี้นะ จับที่ปลายสุดของก้านมะพร้าว แล้วฉีกมันเลย”

เธอทำแค่นั้นจริงๆ ก้านมะพร้าว 1 อัน ฉีกออกจากกันกลายเป็นรูปทรงโค้งสวยงาม ได้ 2 อัน เหลือด้านล่างสุดของก้านเอาไว้ให้ยึดกัน ฉันลากก้านมะพร้าวหนักๆ นั้นออกมาแล้วมัดติดกับประตูรั้วบ้าน ปลายที่โค้งเข้าหากันก็ผูกเชือกไว้ แค่นั้นเองฉันก็มีซุ้มประตูป่ากับเขาแล้ว

รีบไปลงชื่อเร็ว เดี๋ยวพ่อหลวงเขาจะมีของแจกให้"

คุณป้าอีกคนมาช่วยลุ้น ดูเหมือนฉันจะทำเสร็จทีหลังสุด ท่ามกลางสายตาของป้าๆ ลุงๆ ที่เอาใจช่วยเต็มที่ ส่วนพวกเขากำลังประดิษฐ์ประดอยลูกเล่นจากดอกไม้ ใบมะพร้าว โคมไฟกระดาษไม่ให้เหมือนกัน ว่ากันว่า ใครทำสวยที่สุด พ่อหลวงจะมีผ้าห่มแจกให้ ส่วนบ้านไหนสวยน้อยหน่อย อย่างน้อยจะได้น้ำมันพืชกับน้ำปลาไปใช้คนละขวด


แบบนี้ได้น้ำมันพืชแน่ๆ”

คุณลุงเดินมาบอกแล้วหัวเราะ ฉันเหลือบไปมองบ้านพี่ตรงข้าม เธอสร้างสรรค์อย่างจริงจังมากกับเจดีย์ทราย ที่มีลูกสาวและสามีมาช่วยกันอย่างแข็งขัน เจดีย์ทรายหลังนั้นมีประตูป่าขนาดจิ๋ว และมีช้างเดินออกมา พบกับทหารรักษาประตู บนถนนสายดอกไม้ มีอ่างน้ำ 2 แห่งเอาไว้ลอยกระทง บนยอดเจดีย์มีสวนดอกไม้และเทียนปักเอาไว้ คนเริ่มมามุงดูกันอย่างคับคั่ง เธออารมณ์ดีมากกับการสร้างเมืองจำลองไว้หน้าบ้าน ดูเหมือนจะมีเสียงหัวเราะที่ร่าเริงที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินก็ว่าได้


เจดีย์จำลอง มีช้างเดินออกมาลอยกระทง มีทหารเฝ้าหน้าประตู มีถนนดอกไม้ และอ่างลอยอยู่ข้างๆ


แบบนี้ได้ผ้าห่มแน่ๆ”

มีคนออกความเห็น พี่สาวหัวเราะแล้วชี้ให้ไปดูบ้านคุณลุงอีกคนซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ คุณลุงบ้านนี้ร้อยดอกบานไม่รู้โรยติดกับใบตองเป็นตัวอักษรว่า “ยี่เป็งรำลึก” พร้อมวางโคมไฟกระดาษที่มีขวดน้ำมันก๊าดอยู่ด้านใน จุดเรียงรายทั้งสองฝั่งประตู หน้าบ้านมีโอ่งน้ำหนึ่งใบ ใส่น้ำแล้วลอยกระทงเอาไว้ แกยิ้มๆ เมื่อขอถ่ายรูป แล้วไล่ให้ไปดูบ้านคุณลุงอีกหลัง ซึ่งสร้างสรรค์ได้ไม่แพ้กัน



บ้านนี้มีตุงประดับร่วมด้วย และใช้ดอกตะล่อมปักเป็นอักษรที่นิยมมากในสมัยก่อน


แล้วฉันก็ต้องตื่นตาตื่นใจ กับดอกปักษาสวรรค์ที่คุณยายตัดจากสวนหลังบ้านมาประดับเป็นช่อบนประตูป่า ที่น่ารักที่สุดคือแกใช้ปากกาวาดรูปบนกระดาษสาแปะเอาไว้

ทำไมถึงเป็นช้างกับหมาคะ” ฉันเอียงคอถามเบาๆ

เป็นตัวแทนของลุงกับป้าไง ช้างก็คือลุง ป้าก็คือหมาน่ะ”

อ้อ”

ฉันรับทราบ เห็นแกกำลังเก้ๆ กังๆ ประดับซุ้มอยู่ก็เลยไม่ได้ถามต่อ เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว ก็เห็นลุงมวนยาสูบจุดมายืนพิจารณาซุ้มตัวเอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็กวาดบ้านให้ดูสะอาดน่ามอง



คุณลุงยืนชื่นชมผลงาน รูปช้างสีน้ำเงินและหมาสีชมพู ตัวแทนคนในครอบครัว


ฉันถือโอกาสนั้น เดินเล่น ไปดูซุ้มของคนอื่นไปทั่ว พอไกลเข้าเดินไม่ไหว จึงกลับมาคว้าจักรยานออกไปซื้อโคมไฟมาติดบ้าง ผู้คนที่ไม่ค่อยเจอหน้ากันหยุดยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆ มีการแลกดอกไม้ ให้ไอเดีย ติชมกันพองาม ซึ่งบ้านบางหลังใช้เวลาตั้งแต่เช้าถึงบ่ายทีเดียวในการประดิษฐ์ซุ้มประตูป่า


เลยออกจากหมู่บ้านไป ฉันเพิ่งเห็นว่าไม่ได้มีหน้าบ้านอาศัยเท่านั้น หน้าร้านค้า ร้านซ่อมรถ ร้านซักรีด แม้กระทั่งร้านสินเชื่อก็ยังทำซุ้มเช่นกัน เวลา 1 วันกับการหยุดงานเพื่อประดับดาประบ้านของพวกเขา อาจไม่ได้มีความหมายแค่การได้ผ้าห่มหรือน้ำมันพืช หรือมองทะลุไปถึงความตั้งใจสืบสานประเพณีอย่างที่ผู้คนประโคมข่าวให้พวกเขาทำ


ซุ้มประตูป่าหน้าบ้านของฉันเอง มีโคมไฟ 3 ดวง และโมบายนกกระดาษ


ที่ฉันเห็นตรงนั้น คือการได้อยู่ร่วมระหว่างพ่อแม่ลูก พูดคุยกับเพื่อนบ้าน แต่งตัวสวยๆ สำหรับวันดีๆ สักวัน ทำซุ้มให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามความเชื่อโบราณว่า ประตูป่า คือประตูระหว่างทางจากป่าสู่เขตอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อทำซุ้มประตูเสร็จแล้ว ทุกบ้านคือที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราต่างอาศัยอยู่ในนั้นแล้ว ก็จงทำความดี ละเว้นการทะเลาะเบาะแว้ง บาดหมาง พูดจากันดีๆ มีอะไรก็ให้อภัยกัน


ความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยเหล่านั้น บ้านใครบ้านมันคงเป็นคนตัดสิน บ่ายๆ ใกล้ค่ำ กรรมการหมู่บ้านมาเดินสำรวจ แล้วชวนกันไปที่ศาลาเอนกประสงค์เพื่อรับแจกข้าวของอย่างคึกคัก พี่สาวข้างบ้านไม่ลืมตะโกนบอกฉันว่าแต่งตัวสวยๆ นะ จะได้ไปรับของด้วยกัน ส่วนเธอใส่ชุดผ้าเมืองสีสันสวยงามมายืนปล่อยโคมลอยหน้าบ้าน ท่ามกลางแสงเทียนที่ทุกบ้านจุดต่อกันเป็นสายยาวไปตลอดทางเดิน

 


ซุ้มประตูป่ามีสีสันจากโคมไฟดวงเล็กดวงน้อย ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป รวมกับแสงเทียนเล็กๆ ข้างรั้วบ้าน ทำให้ถนนที่เคยมืดมิดมีแสงพอให้มองเห็นความสุขจากสีหน้าท่าทางที่ประกอบกันเป็นความหมายของเทศกาลยี่เป็ง มากกว่าการแค่ไปลอยกระทงเท่านั้น แต่รวมถึงการทำบุญที่วัด ทำจิตใจให้ผ่องใสกับฤดูหนาวที่มาถึง การทำทานแก่ผู้ล่วงลับ และปล่อยเคราะห์โศกไปกับกระทง


งดงามในความสงบเงียบ ที่พวกเขาตั้งใจและทุ่มเททำ ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างเมืองที่ซึ่งคำว่านักท่องเที่ยวนั้นยังเป็นเรื่องห่างไกลและไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเขาได้เทียบเท่ากับความเชื่อและความศรัทธา

 

................


ภาพแถมท้าย



ซุ้มประตูป่าหน้าร้านอาหารตามสั่ง

บ้านคุณป้าท่านนี้ มีสีสันจากร่มกระดาษคันเล็กๆ ประกอบ


บ้านนี้ถือโอกาสเทิดพระเกียรติไปด้วย


ซุ้มหน้าร้านซ่อมรถ พี่เจ้าของหยุดงานเพื่อการนี้โดยเฉพาะ


ร้านสินเชื่อเงินด่วนก็ทำ


คุณพี่ คุณป้า และคุณยาย 3 ท่านนี้บอกว่า ช่วยกันสานพญานาคตัวใหญ่ประดับไว้ตั้งแต่เช้า



บ้านนี้สวยแบบเรียบง่าย ใช้ก้านมะพร้าว 1 อัน ฉีกกลาง มัดหากัน ประดับด้วยดอกลำโพง


บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…