Skip to main content

การสนทนาอย่างออกรสไม่ได้จะต้องอยู่ในบรรยากาศเคร่งขรึมในห้องเรียน ห้องสัมมนาเสมอไป ด้วยเหตุนี้ผมจึงเชื่อว่า การใช้เวลานอกห้องเรียน นอกห้องสัมมนาวิชาการ สำคัญไม่น้อยไปกว่าการใช้เวลาในห้องสี่เหลี่ยมที่มีระเบียบต่างๆ ควบคุมการสนทนาอย่างเคร่งครัดเกินไป เมื่อวาน (28 กันยายน 2560) หลังสัมมนาที่ธรรมศาสตร์ ในบรรยากาศสรวลเสเฮฮาต่อเนื่องกัน ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก ผมได้สนทนากับ "อาจารย์ลี่" อย่างออกรสชาติ 

ที่จริงน่าจะเรียกว่ามันเป็นบทสนทนาที่ต่อเนื่องจากการแลกเปลี่ยนกันทางโทรศัพท์ในไม่กี่วันก่อนหน้านั้นมากกว่า วันก่อนนั้นอาจารย์ลี่ถามคำถามใหญ่ว่า "คิดเห็นอย่างไรกับแนวคิดพหุวัฒนธรรม" คำตอบที่สรุปกว้างๆ ของผมตอนหนึ่งคือ แนวคิดพหุวัฒนธรรมมักไม่สนใจการเมืองของความแตกต่าง การกดขี่และความเหลื่อมล้ำที่อยู่ในความแตกต่างทางวัฒนธรรม มักถูกกลบเกลื่อนด้วยการเชิดชู "ความหลากหลาย" 

ส่วนหนึ่งผมคิดว่า การดำเนินนโยบายต่อสังคมที่แตกต่าง ต้องคิดจากสิ่งพื้นฐานคือ "ปากท้อง" ความแตกต่างนั้นจะถูกใช้เป็นพื้นฐานให้สังคมที่แตกต่างกันอยู่ร่วมกันอย่างอิ่มท้องได้อย่างไรด้วย ไม่ใช่แค่ส่งเสริมความหลากหลายโดยไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาให้เกิดความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้เขาต่างจากเราอยู่อย่างนั้น โดยไม่ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของเขา

ประเด็นหนึ่งที่ผมไม่ศรัทธาแนวคิดที่ผมติดป้ายว่าเป็น "พหุวัฒนธรรมสายหวาน" ก็คือ การที่นักพหุวัฒนธรรมสายหวานมักเน้น "ความเข้าใจ" ผมแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ลี่ว่า การพยายามสร้างความเข้าใจมันออกจะมากเกินไป ยอมรับเถอะว่าถึงจุดหนึ่ง คนมันไม่มีทางเข้าใจกันได้หรอก อย่างเช่น จะให้คนที่เติบโตมากับการสอนให้เชื่อผีสางเทวดา ถูกสอนให้เชื่อกฎแห่งกรรม ถูกสอนให้เชื่อนรกสวรรค์อย่างผม (ส่วนจะเชื่อหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง) ไปเข้าใจเรื่องพระเจ้าองค์เดียวน่ะ เป็นเรื่องยากมากจนถึงกับเป็นไปไม่ได้หรอก

สิ่งที่เราทำได้อย่างมากก็คือส่งเสริมความเคารพซึ่งกันและกัน ทำได้แค่นั้นแหละ แล้วจะทำอย่างไรต่อไปที่จะทำให้สังคมที่แตกต่างนั้นสามารถพัฒนาความแตกต่างซึ่งเป็นทุนทางวัฒนธรรม ให้กลายเป็นทุนทางเศรษฐกิจให้ได้ด้วย ไม่ใช่จะให้เขาต้องแช่แข็งอยู่กับอัตลักษณ์คร่ำครึดั้งเดิมอยู่อย่างนั้น

เมื่อวาน อาจารย์ลี่ถามคำถามใหญ่อีกคำถามว่า "วิชามานุษยวิทยาช่วยอะไรโลกได้ ช่วยอะไรมนุษย์ได้" เพราะในสายตาของอาจารย์ลี่ มานุษยวิทยาเป็นวิชาของเจ้าอาณานิคม ผมอึ้งกับคำถามใหญ่นี้ แต่ก็พยายามตอบเพื่อทดลองความคิดตนเอง

ผมคิดว่าวิชาความรู้ต่างๆ ต่างก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ปกครองได้ทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ว่าใครเป็นคนใช้ แล้วจะหยิบอะไรไปใช้อย่างไรมากกว่า ส่วนที่ว่ามานุษยวิทยาช่วยอะไรโลกได้ ผมตอบไปว่าวิชานี้ช่วยไม่ได้ตรงๆ หรอก แต่สิ่งที่มานุษยวิทยาช่วยได้คือการสร้างมุมมองความคิด 

อย่างแรกเลยที่มานุษยวิทยาสร้างคือ มานุษยวิทยาให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษยชาติ หรือฝรั่งเรียกว่า humanity หรือที่บางคนใช้คำว่า "มนุษยภาพ" ก็คือความเป็นมนุษย์ที่มีเสมอเหมือนกัน ไม่ว่าจะยากดีมีจน อยู่มุมไหนของโลก ก็เป็นมนุษย์เสมอกัน ผมเชื่อว่าการศึกษาคนที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลมาก่อนของนักมานุษยวิทยา ช่วยโน้มนำให้ผู้ศึกษายอมรับนับถือความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เคารพความเป็นคนของกันและกันได้มากขึ้น ลดความเกลียดชังต่อกันได้มากขึ้น 

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ลี่คือ ผมว่ามานุษยวิทยาสนใจมุมมองจากคนด้อยโอกาส มุมมองจากคนไม่มีเสียง มุมมองจากคนเบื้องล่าง มุมมองจากคนชายขอบ แล้วนำเอามุมมองที่ได้จากคนเหล่านี้ไปสร้างข้อถกเถียง โต้แย้ง คัดง้างกับมุมมองของคนที่มีอำนาจ มุมมองที่มีมาก่อนแล้ว หรือมุมมองที่เชื่อมั่นกันอยู่ก่อนแล้ว 

ในทำนองเดียวกันนี้ การที่มานุษยวิทยาสนใจเรื่องราวเล็กๆ ประเด็นเล็กๆ ก็เพื่อทำเรื่องเล็กๆ เหล่านั้นให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ คลิฟเฟิร์ด เกิร์ซคือนักมานุษยวิทยาคนแรกๆ ที่ยืนยันว่า มุมมองจากการศึกษาประเด็นเล็กนั่นแหละที่จะนำไปสู่การถกเถียงในเชิงปรัชญาได้ งานมานุษยวิทยาจึงเป็นงานทางความคิดที่มาจากหมู่บ้าน มาจากสังคมห่างไกล มาจากคนที่เราไม่เคยสนใจเขามาก่อน หลักนี้เกิร์ซเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า microscopic

เมื่อเราได้ทัศนะแบบมนุษยภาพ และเมื่อสามารถเอาเรื่องราว เอามุมมองจากคนเบี้ยล่าง เอาเรื่องเล็กที่ถูกมองข้าม มาทำให้เป็นข้อถกเถียงใหญ่ได้แล้ว ผมเชื่อว่าวิธีที่เราเข้าใจมนุษย์และโลกจะเปลี่ยนไป แล้ววิธีคิดแบบนี้จะนำไปสู่การแสวงหาแนวทางในการอยู่ร่วมกันแบบใหม่ๆ มันจะค่อยๆ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมได้ในที่สุดเอง

คำถามที่ว่ามานุษยวิทยาช่วยอะไรโลกได้คงตอบได้หลายแบบ แต่วิธีหนึ่งที่ผมตอบคำถามของอาจารย์ลี่ช่วยให้ผมต้องกลับมาคิดต่อไปอีกว่า ผมใช้เวลาเกินครึ่งชีวิตที่ผ่านมาเรียนและทำงานด้านนี้ไปเพื่ออะไรกัน ผมเชื่อมั่นอะไรในสิ่งที่ผมทำอยู่ บางทีการเรียนการสอนของเรา ระบบประกันคุณภาพการศึกษาของเรา อาจจะกลบเกลื่อนบดบังเราไปจากการตั้งคำถามและพยายามตอบคำถามพื้นฐานแบบนี้ก็ได้

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
รถกระบะพัฒนาจากการเป็นปัจจัยการผลิตจนกลายเป็นปัจจัยทางวัตถุเชิงวัฒนธรรมในระยะ 20 ปีมานี้เอง การเกิดขึ้นของวัฒนธรรมรถกระบะไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และรัฐบาลนั่นแหละที่มีส่วนสำคัญทำให้เกิดพัฒนาการนี้ขึ้นมา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ไปโตรอนโตได้สัก 5 วัน แต่เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้องประชุม กับนั่งเตรียมเสนองาน จะมีบ้างก็สองวันสุดท้าย ที่จะมีชีวิตเป็นของตนเอง ได้เดินไปเดินมา เที่ยวขึ้นรถเมล์ รถราง กิน ดื่ม ละเลียดรายละเอียดของเมืองบางมุมได้บ้าง ก็ได้ความประทับใจบางอย่างที่อยากบันทึกเก็บไว้ ผิดถูกอย่างไรชาวโตรอนโตคงไม่ถือสานัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อีกสถานที่หนึ่งที่ตั้งใจไปเยือนคือโรงเบียร์ใจกลางเมืองชื่อ Steam Whistle ทำให้ได้เห็นทั้งวิธีคิดของเมือง วิธีการทำเบียร์ ความเอาจริงเอาจังของคนรุ่นใหม่ในแคนาดา รวมทั้งเข้าใจอะไรๆ เกี่ยวกับเบียร์มากขึ้น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แรกทีเดียวก่อนไปชม ก็ไม่คิดว่าจะได้อะไรมาก คิดว่าคงแค่ไปดูความเป็นมาของบาทาเป็นหลัก แล้วก็คงมีรองเท้าดีไซน์แปลกๆ ให้ดูบ้าง กับคงจะได้เห็นรองเท้าจากที่ต่างๆ ทั่วโลกเอามาเปรียบเทียบกันด้วยความฉงนฉงายในสายตาฝรั่งบ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมมาประชุมวิชาการ AAS ประจำปี 2017 ที่โตรอนโต แคนาดา เมื่อเสนองานไปแล้วเมื่อวาน (18 มีค. 60) เมื่อเช้าก็เลยหาโอกาสไปทำความรู้จักกับเมืองและผู้คนบ้าง เริ่มต้นจากการไปแกลลอรีแห่งออนทาริโอ แกลลอรีสำคัญของรัฐนี้ ตามคำแนะนำของใครต่อใคร ไปถึงแล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะแกลลอรีนี้น่าสนใจในหลายๆ ลักษณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดในการจัดแสดงงาน การเล่าเรื่องราว และการแสดงความเป็นแคนาดา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ช่วงนี้มิวเซียมสยามมีนิทรรศการชั่วคราวชุดใหม่จัดแสดงอยู่ ชื่อนิทรรศการ "ต้มยำกุ้งวิทยา : วิชานี้อย่าเลียน !" ผมเพิ่งไปดูมาเมื่อสองวันก่อนนี้ ดูแล้วคิดอะไรได้หลายอย่าง ก็ขอเอามาปันกันตรงนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทันทีที่ คสช. ขอบคุณ ธีรยุทธ บุญมี ธีรยุทธก็ได้วางมาตรฐานใหม่ให้แก่การทำงานวิชาการเพื่อสนับสนุนและแอบอิงไปกับเผด็จการทหาร แนวทางสำคัญ ๆ ได้แก่งานวิชาการที่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (27 มค. 60) ไปสอน นศ. ธรรมศาสตร์ปี 1 ที่ลำปาง วิชามนุษย์กับสังคม ผมมีหน้าที่แนะนำว่าสังคมศาสตร์คืออะไร แล้วพบอะไรน่าสนใจบางอย่าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อคืนวันที่ 18 พย. ผมไปดูละครเรื่อง "รื้อ" มา ละครสนุกเหลือเชื่อ เวลาชั่วโมงครึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว พอดีผู้จัดซึ่งเป็นผู้แสดงหลักคนหนึ่งด้วย คืออาจารย์ภาสกร อินทุมาร ภาควิชาการละคร ศิลปกรรม ธรรมศาสตร์ ชวนไปเสวนาแลกเปลี่ยนหลังการแสดง ก็เลยต้องนั่งดูอย่างเอาจริงเอาจัง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักมานุษยวิทยามีแนวโน้มที่จะ "โรแมนติก" นั่นคือ "อิน" ไปกับกลุ่มคนที่ตนเองศึกษา ความเห็นอกเห็นใจอาจเกินเลยจนกลายเป็นความหลงใหลฟูมฟายเออออไปกับกลุ่มคนที่ตนเองศึกษา 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ความเคลื่อนไหวในสังคมไทยขณะนี้มีหลายเหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงขีดจำกัดคุณค่าความดีของสังคมไทยปัจจุบัน นั่นคือข้อเท็จจริงที่ว่า ความดีแบบไทยๆ ไม่จำเป็นต้องดีเสมอไป ไม่จำเป็นต้องดีอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นความดีที่ผูกติดกับสังคมนิยมชนชั้น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
อย่างที่บอก ผมไปเกาหลีเที่ยวนี้เพื่อไปประชุมวิชาการครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งภาควิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยฮันกุ๊กภาษาและกิจการต่างประเทศ (Hankuk University of Foreign Studies)