Skip to main content
1. คำนำ


เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ตัดสินใจว่าจะอ่านบทความนี้ต่อไปหรือไม่ ผมขอนำประเด็นสำคัญมาเสนอก่อน  ประเด็นคือการวางแผนผลิตก๊าซที่ผิดพลาดทำให้คนไทยทุกคนต้องควักเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น

จากรายงานประจำปี 2551 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พบว่า ในปี 2551 บริษัท ปตท. ต้องจ่ายค่า
"ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย" ก๊าซจากโครงการไทย-มาเลเซีย (ซึ่งเป็นโครงการสร้างความขัดแย้งมาตั้งแต่รัฐบาลชวน หลีกภัย และทักษิณ ชินวัตร จนถึงปัจจุบัน) เป็นจำนวน 13,716 ล้านบาท

นอกจากนี้ค่าไม่ซื้อก็ต้องจ่ายจากโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า(ที่คาราคาซังกันกันมาตั้งแต่ปี 2541) ก็ยังเรียกคืนได้ไม่หมด ยังคงเหลืออีกหนึ่งหมื่นกว่าล้านบาท รวมทั้งสองรายการทาง ปตท. ต้องจ่ายไปแล้วถึงประมาณ 2 หมื่น 4 พันล้านบาท

2. ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่ายคืออะไร?

ในการซื้อขายก๊าซระหว่างผู้ผลิต(ผู้ขุดในทะเล)กับผู้ซื้อมาขายต่อ(คือ ปตท.-ผูกขาดรายเดียวในประเทศ) ต้องมีสัญญาที่เรียกว่า
"ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย" กล่าวคือสัญญาต้องบังคับไว้ล่วงหน้าว่าในแต่ละปีผู้ซื้อจะต้องซื้อก๊าซจำนวนเท่าใด ถ้าหากผู้ซื้อมีความจำเป็นที่ไม่สามารถรับซื้อได้ครบตามสัญญา ผู้ซื้อก็ต้องจ่ายเงินให้ครบตามจำนวนที่ได้ระบุไว้   เมื่อใดก็ตามที่ผู้ซื้อมีความจำเป็นมากขึ้น (เกินกว่าที่ระบุในสัญญา) ส่วนที่เกินก็ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพราะถือว่าได้จ่ายไปแล้ว

ปตท.เรียกเงินส่วนนี้เพื่อให้ฟังดีขึ้นว่า
"เงินจ่ายล่วงหน้าซื้อก๊าซ" แต่สาระก็เหมือนที่ผมกล่าวมาแล้วนั่นแหละครับ

โครงการท่อก๊าซไทย-พม่า ปตท.ก็ต้องเสียเงินส่วนนี้มาตลอด นับตั้งแต่ปี 2541 ที่เริ่มโครงการ ในปี 2544 ค่าไม่ใช้ก็ต้องจ่ายได้สูงถึง  29
, 257.9  ล้านบาท  เงินจำนวนนี้ก็ค่อย ๆ ลดลงเมื่อมีการใช้มากกว่าจำนวนที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ในปี 2551 เงินจำนวนนี้ได้ลดลงมาอยู่ที่ 10,339.89  ล้านบาท

ถ้าถามว่า จ่ายเงินล่วงหน้าแล้วเสียหายตรงไหน? คำตอบก็คือค่าดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาส สมมุติว่าโดยเฉลี่ย ค่าไม่ซื้อก็ต้องจ่ายมีค่าคงที่คือ 2 หมื่นล้านบาท ถ้าอัตราดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 6 ต่อปี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เงินรวมก็จะเป็นประมาณ 3 หมื่น 6 พันล้านบาท

ไม่ใช้น้อยเลยเมื่อเทียบกับกำไรหลังการแปรรูปปีละ 1 แสนล้านบาทของ ปตท. ทั้งหมด

สำหรับโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ปีที่ผ่านมาเพิ่งเป็นปีแรกของสัญญารับก๊าซที่ผู้ซื้อคือ ปตท. จะต้องรับ  ในปีต่อ ๆ ไปจะเสียเพิ่มขึ้นแค่ไหน ผมจะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ แต่จะขอย้อนอดีตให้ท่านผู้อ่านทราบว่า
"ภาคประชาชน" และตัวผมเองได้เคยเตือนว่าอย่างไรบ้าง

3. คำเตือนในอดีต

โปรดอย่าคิดว่าเป็นการ
"ฟื้นฝอยหาตะเข็บ"  หรือหาเรื่อง ปตท.  แต้ถ้าเรายังยืนยันที่จะสร้างสังคมใหม่หรือ "การเมืองใหม่" เรื่องนี้คือบทบาทที่จำเป็น (แต่ยังอ่อนด้อยอย่างมาก) ของสังคมไทย

โครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ได้รับการคัดค้านทั้งจากชาวบ้านในพื้นที่ กรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา นักวิชาการกว่า 1,300 คนทั่วประเทศ  ขณะเดียวกันผู้คัดค้านบางส่วนก็ได้รับการประณามจากสื่อมวลชนบางส่วนและสังคมว่า  "ผู้คัดค้านเป็นพวกขัดขวางการพัฒนา พวกรับเงินต่างชาติ"

เมื่อเดือนมกราคมปี 2545  พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ลงมาพบกลุ่มผู้คัดค้านถึงพื้นที่โครงการ พร้อมบอกกับชาวบ้านว่า
"ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไรจะต้องอธิบายให้สังคมเข้าใจได้"

ผมและเพื่อนอาจารย์อีก 3 ท่านได้มีโอกาสไปชี้แจงให้นายกฯฟังจนดึก ผมรู้สึกว่านายกฯเห็นด้วยกับการนำเสนอของ
"นักวิชาการกลุ่มคัดค้าน"

หลังจากนั้นอาจารย์ทั้ง  4 คนก็ได้รับเชิญจากคณะทำงานของนายกทักษิณ ชินวัตร (หรือคณะ
"53 นายพล")   ให้ไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในฐานะฝ่ายคัดค้านกับข้าราชการระดับสูงที่เกี่ยวข้องอีกหลายกรม รวมทั้ง ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติในขณะนั้นด้วย

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นอย่างเข้มข้นนานกว่า 7 ชั่วโมง ก่อนปิดการประชุม พลเอก ชัยศึก เกตุทัต (ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการของ ปตท. ที่มีเบี้ยประชุมครั้งละกว่า 4 หมื่นบาท) ในฐานะประธานได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการคนอื่น ๆ ที่ร่วมรับฟังด้วยแสดงความเห็นบ้าง ปรากฏว่ามีข้าราชการสายวิชาการท่านหนึ่งและเพียงท่านเดียวเท่านั้นได้ยกมือแสดงความคิดเห็นอย่างชัดถ้อยชัดคำสั้น ๆ ว่า
"เรื่องก๊าซผมเห็นด้วยกับฝ่ายคัดค้านเพราะมีเหตุผลและยังไม่มีความจำเป็นในขณะนี้  
ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีคำพูดใด ๆ อีกจากท่านประธานฯ นอกจาก "ปิดประชุม"

ผมทราบในเวลาต่อมาว่า ข้าราชการท่านนี้ได้ลาออกจากราชการหลังจากนั้นไม่นานนัก  เรื่องที่ผมนำมาเล่าทั้งหมด ไม่ปรากฏว่าเป็นข่าวในสื่อมวลชน  ถ้าจะถามเหตุผลว่าเพราะอะไรก็คงคิดได้ไม่ยากนะครับ

โดยสรุป สิ่งที่นักวิชาการฝ่ายคัดค้านได้เตือนไว้สำหรับโครงการท่อส่งก๊าซไทย-พม่าและ ไทย-มาเลเซียก็เป็นจริงตามที่กล่าวแล้ว

อนึ่ง เท่าที่ผมค้นพบจากอินเทอร์เน็ตทราบว่า ปตท. จะสร้างท่อก๊าซไทย-พม่าอีกเส้นหนึ่ง เป็นเส้นที่สามให้แล้วเสร็จในปี  2555  จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ก็ต้องฝากให้สังคมช่วยกันติดตามนะครับ

4. ยังมีความเข้าใจผิดพลาดในโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซียอีก

สังคมไทยถูกทำให้เชื่อโดยเจ้าของโครงการและหน่วยงานของรัฐว่า โครงการท่อก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เป็นการนำก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างสองประเทศมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและพัฒนาภาคใต้ โดยมีการลงทุนกันฝ่ายละครึ่งและใช้ประโยชน์กันฝ่ายละครึ่งหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า  
"50:50"  แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่  

ความจริงคือก๊าซในทะเลที่เป็นส่วนของไทยให้นำไปใช้ที่มาบตาพุด ส่วนก๊าซของมาเลเซียให้นำมาแยกที่ประเทศไทยแล้วนำไปใช้ที่มาเลเซียผ่านแผ่นดินประเทศไทย แผนที่ข้างล่างนี้(มาจากคำบรรยายของดร.คุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน 24 มีนาคม 2551) คงจะยืนยันในสิ่งที่ผมพูดได้

พื้นที่ในภาพที่เขียนว่า JDA ทางขวามือด้านล่างคือแหล่งก๊าซที่ว่าครับ   ก๊าซของไทยไปตามท่อไปทางทิศเหนือผ่านแหล่ง ARTHIT ไม่ได้มาขึ้นฝั่งที่สงขลาเห็น ๆ กันอยู่

อนึ่ง มีการอ้างกันว่า ก๊าซของไทยส่วนหนึ่งถูกนำมาใช้ที่โรงไฟฟ้าสงขลา เรื่องนี้เป็นความจริงครับ แต่จริงไม่หมด  ในขณะที่ทีการดำเนินการสร้างท่อก๊าซ โรงไฟฟ้ายังไม่อยู่ในแผน แผนสร้างโรงไฟฟ้ามาทีหลังเพื่อให้โครงการดูดีเท่านั้นเอง แต่ก็สร้างผลกระทบเรื่องโรงไฟฟ้ามากเกินไปตามมาอีก(ไม่ขอกล่าวในที่นี้)  มีผู้ที่ติดตามเรื่องท่อก๊าซมานานคนหนึ่งบอกผมว่า "ก๊าซที่นำมาใช้กับโรงไฟฟ้าเป็นก๊าซของไทยที่ไม่ได้ผ่านโรงแยกก๊าซ แต่ต่อท่อตรงมาจากแหล่งในทะเล ไม่ใช่ท่อที่ผ่านไปมาเลเซีย"

เท็จจริงอย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดชี้แจงด้วย

5. ค่าผ่านท่อกับ "อำนาจมหาชนของรัฐ"

หลังจากศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินว่า ส่วนใดที่ทาง ปตท.(ก่อนการแปรรูป) ได้ใช้ "อำนาจมหาชนของรัฐ"  ไปเวนคืนที่ดิน เมื่อแปรรูปแล้วให้ ปตท. คืนเป็นสาธารณะสมบัติ

กล่าวเฉพาะ "โครงการไทย-มาเลเซีย" ก็มีการใช้อำนาจมหาชนของรัฐเช่นกัน ท่อก๊าซวางทั้งในทะเล ทางหลวงแผ่นดิน ฯลฯ   ทาง ปตท. ก็ไม่ยอมคืน

ขณะเดียวกัน เงินที่ได้จากค่าผ่านท่อนำก๊าซไปให้มาเลเซียใช้ซึ่งคิดเป็นประมาณวันละ 29 ล้านบาทก็ต้องแบ่งให้ทางมาเลเซียครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งให้กับบริษัท ปตท.

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง ปตท.ได้ประกาศขึ้นค่าผ่านท่อทั้งประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไปจากเดิมคิดในอัตรา 19.74 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู หรือเพิ่มขึ้น 2.02 บาท โดยคิดผลตอบแทนการลงทุน (ROE) สูงกว่าค่ามาตรฐาน คือ คิดถึงร้อยละ 18 และคิดต้นทุนเงินกู้ที่อัตรา 10.5 ต่อปี (แทนที่จะเป็นร้อยละ 6 อย่างที่ผมสมมุติ)

ค่าผ่านท่อในอัตราใหม่นี้ ทำให้เกิดต้นทุนในค่าไฟฟ้าถึง 18 สตางค์ต่อหน่วยไฟฟ้า การกำหนดผลตอบแทนสูงเกินกว่าธุรกิจอื่น ๆ และการขึ้นค่าผ่านท่อดังกล่าวย่อมส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นอย่างแน่นอน

สิ่งที่ติดใจผมมากในขณะนี้ก็คือ  "การใช้อำนาจมหาชนของรัฐไทย" ไปเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศมาเลเซียนะซิ มันเป็นไปได้อย่างไร ใครก็ได้ช่วยตอบผมที!

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org