Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

ชิ สุวิชาน
ในขณะที่อีกฝากหนึ่งของชุมชนปกาเกอะญอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้ว บทเพลง ธา ทุกหมวด กลายเป็นบทเพลงที่ถูกลืมเลือน ถูกทิ้งร้างจนเหมือนกลายเป็นบทเพลงแห่งอดีตที่ไม่มีค่าแก่คนยุคปัจจุบัน โมะโชะหมดความหมาย เมื่อคนปกาเกอะญอเริ่มเรียนรู้การคอนดัก (Conduct) เพลงแบบในโบสถ์แบบฝรั่ง เพลงธา ไร้คุณค่า เมื่อมีเพลงนมัสการที่เอาทำนองจากโบสถ์ฝรั่งมา เครื่องดนตรีปกาเกอะญอถูกมองข้ามเมื่อมีคนดนตรีจากตะวันตก เช่น กีตาร์ กลองชุด แอคคอร์เดียน เมาท์ออร์แกน ฯลฯ เข้ามา “โด โซ โซ มี โด มี โซ ready… sing ซะหวิ” ประโยคนี้มักจะเป็นประโยคเริ่มต้นของคนที่เป็นผู้นำวงร้องประสานเสียงพูดนำก่อนร้องเพลง โดยการส่งสัญญาณ “โด โซ โซ มี โด มี โซ” นั้น เป็นเสมือนการให้สัญญาณ คีย์หรือระดับเสียงของโน้ต ส่วนคำว่า “ready… sing” แปลว่า พร้อม..ร้อง แล้วนักร้องจะเริ่มร้องทันที แต่สำหรับผู้นำปกาเกอะญอในโบสถ์ปกาเกอะญอนั้น นอกจากจะมี ready… sing แล้ว ยังมี “ซะหวิ” ซึ่งแปลว่าร้องอีกคำหนึ่ง ซึ่งตรงนี้เองที่ผมไม่แน่ใจว่าเขาจำมาจากฝรั่งหรือว่าเขาเข้าใจอย่างไรไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าตัดคำว่า ready… sing ออก และใช้แต่ ซะหวิ คำเดียวก็น่าจะพอ หรือเขาอยากใช้ทั้งสองภาษาพร้อมกัน ทำให้ยังงงอยู่จนถึงวันนี้
ชนกลุ่มน้อย
ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น “ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง “หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน ถ้าคนไปยุ่งกับป่าหมายถึงบุกรุกพื้นที่ป่า แต่เขากำลังพาผมบุกลุยพื้นที่ป่า
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
คืนนี้ ขึ้น 15 ค่ำ ยังหัวค่ำ พระจันทร์เต็มดวงสาดแสงนวลอ่อนโยนกระจ่างทั่วทุ่ง แสงเย็นตายังครอบคลุมวิหารวัดทุ่งลมเย็นบรรยากาศในวัดช่างสงบ สงัด ลมทุ่งพัดกระทบต้นไม้ในวัด ใบของมันสะบัดตัวรับดังซู่ซ่าเป็นพักๆ  ความวุ่นวายสับสนเร่าร้อนทั้งมวลของคนเหมือนหมดสิ้นยามย่างเท้าเข้าวัดสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์  พระสงฆ์องค์เจ้าคงจำวัดกันหมดทั้งสามรูป แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง จิตใจยังเร่าร้อนเคร่งเครียดแม้จะเหนื่อยจากงานสลากภัตของวัด ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้  ใครๆเรียกเขาว่า "ลุงคำ" แกเฝ้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้านี้วัดทุ่งลมเย็นมีพระ 2 รูป เณร 1 รูปเวลาพระรับนิมนต์ไม่มีใครดูแลวัดเกรงขโมยจะมาลักทรัพย์สิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปเก่าแก่ของวัด  ผู้ใหญ่บ้านกรรมการวัดและชาวบ้านมีความเห็นตรงกันว่า น่าจะมีคนเฝ้าวัดยามพระรับนิมนต์ จึงตกลงกันจ้างลุงคำอายุ 70 กว่าปีเป็นผู้ดูแลวัดโดยให้ค่าจ้าง 600 บาทต่อเดือนเงินค่าจ้างได้จากการเก็บชาวบ้านหลังละ 5 บาททั้งหมดมี 99 หลังก็ได้เงินราว 500 บาทที่ขาดไปทางวัดจะออกเพิ่มจนครบ 600 บาท
suchana
              จากเหตุการณ์ของเช้าวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงสลดใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  คงไม่มีใครอยากเห็นภาพคนไทยต้องฆ่าคนไทยด้วยกันเอง(เว้นเสียแต่นายทักษิณ  ชินวัตรที่คงสาแก่ใจ)            ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่สื่อสารผ่านสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะTHAI TPS    ASTVและหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆในวันรุ่งขึ้น คงไม่มีมูลเหตุจูงใจให้เชื่อว่าเป็นการสลายการชุมนุมอย่างนุ่มนวลดังที่ตำรวจระดับสูงบางคนให้สัมภาษณ์อย่างแน่นอน  เพราะนั่นคือภาพเหตุการณ์ฆาตกรรม สยองขวัญคนไทยทั้งประเทศมากกว่า   หากภาพที่เห็นมีแต่ภาพข่าวไร้คำบรรยาย คนดูอาจเข้าใจว่าเป็นการทำสงครามกลางเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่ง   หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำสงครามปราบปรามข้าศึกมากกว่าเป็นภาพที่ข้าราชการตำรวจไทยกระทำกับคนไทย ผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลตามสิทธิรัฐธรรมนูญที่พึงมี            เหตุการณ์ในวันนั้นคงสามารถยืนยันบางสิ่งบางอย่างในสังคมไทยได้ว่านักการเมือง ตำรวจ ทหารไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อผู้ชุมนุมและไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้กำลังอำนาจในการปราบปรามประชาชนเลยในทุกยุคทุกสมัยนับตั้งแต่เหตุการณ์ ๖ ตุลา  ๑๔ ตุลา  พฤษภาทมิฬและเหตุการณ์ต่างๆอีกหลายครั้ง  หนึ่งในเหตุการณ์คือเหตุการณ์ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๕ การสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซธรรมและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลา แม้เหตุการณ์ในวันนั้นจะไม่รุนแรงและป่าเถื่อนโหดร้ายเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่เบื้องหลังความคิดการปรามปราบประชาชนมาจากฐานความคิดทัศนคติเดียวกัน คือ การไม่เคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน และใช้อำนาจเป็นใหญ่  แม้วันนั้นไม่คนตายแต่ก็มีคนเจ็บ คนถูกจับกุม ทรัพย์สินเสียหายเช่นกัน ภาพเหมือนปาหี่การเมือง            ภาพที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พยายามดันทุรังที่จะเปิดแถลงนโยบายรัฐบาล แม้ต้องเข่นฆ่าคนไทยร่วมชาติก็ตาม สมชาย  วงศ์สวัสดิ์เข้ารัฐสภาโดยการเหยียบย่ำบนชีวิตและคราบรอยเลือดของเพื่อนร่วมชาติที่อาบท้องถนน เขาทำได้อย่างไร??? จิตใจเขาทำด้วยด้วยอะไร? ทำให้นึกถึงเหตุการณ์การจัดประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของโครงการท่อส่งก๊าซธรรมและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลาเมื่อปี ๒๕๔๓ ที่จัดโดยปตท. ประชาพิจารณ์ครั้งแรกไม่สำเร็จเนื่องจากประชาชนชุมนุมคัดค้าจำนวนมากจนประพิจารณ์ต้องล่ม  แต่ทางปตท.ไม่ลดละจัดประชาพิจารณ์อีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๔๓ โดยวันนั้นได้วางมาตการป้องกันกลุ่มคัดค้านอย่างเหนี่ยวแน่น แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านนับสองพันคนได้เดินทางมารอตั้งแต่คืนวันที่ ๒๐ โดยชุมนุมบริเวณประตูทุกด้านที่เข้าสู่สถานที่ประชาพิจารณ์ซึ่งใช้สนามกีฬาจีระนครหาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะเป็นการประชาพิจารณ์ที่ไม่ชอบธรรมเพราะผิดกระบวนการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกรรมการประชาพิจารณ์เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการ ที่สำคัญเปิดโอกาสให้เฉพาะพรรคพวกตนที่สนับสนุนโครงการเข้าร่วมเท่านั้น เหตุการณ์รุนแรงก็เกิดขึ้นในเช้าวันที่ ๒๑ ตุลาคม เมื่อประธานกรรมการประชาพิจารณ์ คือ  พล.อจรัล  กุลละวณิชย์  ยืนยันจะต้องเข้าไปจัดประชุมรับฟังความให้ได้เพราะมีเป้าหมายต้องการผลักดันการดำเนินโครงการอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงมีการวางแผนร่วมมือกับตำรวจพร้อมชุดตำรวจปราบจราจล  ใครจะคิดว่ากรรมประชาพิจารณ์จะนั่งในรถตู้แล้วให้ตำรวจชุดหนึ่งการผลักดันและสลายการชุมนุม โดยมีตำรวจอีกหลายร้อยนายขนาบสองข้างรถคุ้มกันให้รถกรรมประชาพิจารณ์เข้าไปสู่สถานที่ประชุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทุบตีผู้ชุมนุมจนศีรษะแตกเลือดอาบไปหลายคน ฉุดกระชาดลากดึงและเหยียบย่ำไปบนร่างของผู้ชุมนุม สุดท้ายกรรมการก็สามารถจัดประชุมได้สำเร็จและใช้เวลาเพียงประมาณ ๒๕ นาทีก็สุดปิดการรับฟังความเห็น  โดยการถามที่ประชุมว่าใครเห็นด้วยยกมือซึ่งทั้งหมดก็ยกมือให้ดำเนินโครงการได้    ถือเป็นการเสร็จปิดฉากปาหี่ประชาพิจารณ์เลือด    จากนั้นพล.อจรัล  กุลละวณิชย์  ก็รีบเพ่นหนีออกจากสถานที่ประชุมอย่างไร้เกียรติและศักดิ์ศรี และได้แถลงว่าการประชาพิจารณ์เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการประชาพิจารณ์ที่สั้นที่สุดในโลก ซึ่งคงไม่แตกต่างกับการแถลงนโยบายของนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ที่ใช้เวลาแถลงนโยบายบริหารประเทศเพียง ๒๐ นาทีเท่านั้นจากนั้นก็ปีนกำแพงหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์   พล.อจรัล  กุลละวณิชย์  รั้นจะจัดประชาพิจารณ์ให้ได้เพื่อสร้างสร้างความชอบธรรมในการดำเนินโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับให้ต้องจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนดำเนินโครงการ   ด้านนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ดื้อด้านต้องประชุมแถลงนโยบาย  เพราะต้องการเข้าบริหารประเทศเพื่อสืบทอดระบอบทักษิณและช่วยเหลือพี่เมียตัวเองให้พ้นผิดจากคดีๆต่างเพื่อกลับมาสืบทอดอำนาจ ซึ่งทำให้นายสมชายถอยไม่ได้แม้ต้องกินเลือดกินเนื้อเพื่อนร่วมชาติ            ตำรวจแสดงจุดยืนชัดเจนมาตลอดทุกยุคสมัยว่ายืนเคียงข้างระบบทุนและระบบอำนาจรัฐเท่านั้น  ไม่ว่ายุคสมัยใดไม่เคยยืนเคียงข้างประชาชนผู้เป็น "นาย"ที่แท้จริงของพวกเขา บทเรียนสำนักงานตำรวจแห่งชาติจากการสลายการชุมนุม            สำนักงานตำรวจแห่งชาติคงลืมบทเรียนสำคัญบทที่หนึ่ง ที่มีเนื้อหาใจความว่าด้วย (๑)พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผบ.ตร.และข้าราชการตำรวจระดับสูงอีก ๕ นายยังอยู่ในฐานะจำเลยคดีอาญา ข้อการใช้อำนาจไม่ชอบและการใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย จากเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ บริเวณโรงแรมเจบีหาดใหญ่ คดียังอยู่ในชั้นศาลของศาลจังหวัดสงขลา (๒) ศาลปกครองจังหวัดสงขลาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ชุมนุมคนละ ๑๐,๐๐๐ บาทจำนวน ๒๔ คน จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม  บทเรียนบทที่หนึ่งที่ตำรวจไม่จดจำอาจเป็นเพราะตำรวจไม่เคยเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาบทเรียนอันน่าจดจำเล่านี้จึงไม่แทรกซึมเข้าสู่สมองอันน้อยนิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ว่าสมองน้อยนิดด้วยความเคารพไม่ได้คิดดูถูกแต่เป็นความจริงเพราะตำรวจส่วนมากไม่ใช้มันสมอง  ความคิดและจิตวิญญาณของตัวเองว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนควรกระทำไม่ควรกระทำพวกเขาถูกอบรมและฝึกฝนมาเพียงว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งนายเท่านั้น  "นายสั่งต้องทำ" หลักสูตรของตำรวจไทย  : ว่าด้วยบทที่ ๑   การสลายการชุมนุมต้องใช้ความรุนแรงเท่านั้นอยากเป็นตำรวจดีต้องถือหางนักการเมืองและนายทุน รุมทำร้ายประชาชน ณ เวลานี้เริ่มเชื่อแล้วว่าตำราที่ตำรวจไทยคงถูกฝึกและสอนให้ทำร้ายประชาชนผู้เสียภาษีจ้างพวกเขา เมื่อมีประชาชนที่ไหนชุมนุมประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมต้องไม่เห็นใจ ไม่ต้องฟังเสียงประชาชน ให้ฟังคำสั่งนักการเมืองและนายทุนเท่านั้น  ไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรมหาช่องทางและโอกาสใช้กำลังผลักดันสลายการชุมนุม  โดยไม่ต้องคำนึงถึงขั้นตอนการสลายการชุมนุมของนานาอารยะประเทศหรือของสากลที่ปฏิบัติกัน ไม่ต้องมีการเจรจา  ไม่ต้องประกาศให้ผู้ชุมนุมรู้ตัวว่ากำลังจะมีการสลายการชุมนุม  ไม่ต้องใช้ความนุ่มนวลละมุนละม่อมกับประชาชนผู้ไม่ยอมจำนนบทที่ ๒  ต้องใส่ร้ายป้ายสี ปัดความผิด เมื่อใช้ความรุนแรงกับประชาชนผู้ชุมนุมเกิดกระแสประฌามจากสังคมให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกมาจัดแถลงข่าว กล่าวหาว่าผู้ชุมนุมว่าเป็นผู้ก่อความวุ่นวายกับบ้านเมืองก่อน  มีกรณีศึกษาที่หนึ่ง  กรณีการสลายผู้ชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย อ้างว่าต้องสลายเพราะผู้ชุมนุมกำลังจะขับรถยนต์หกล้อฝ่าแผงเหล็กกั้นของตำรวจเพื่อบุกยึดโรงแรมเจบี หาดใหญ่ที่ทักษิณ ชินวัตรใช้เป็นสถานีประชุมครม.สัญจร ทั้งที่ประชาชนนั่งล้อมวงรับประทานอาหาร บ้างก็ละหมาด ความเป็นจริงคือตำรวจตั้งแถวอ้อมแผงเหล็กกั้นเข้าหาฝั่งผู้ชุมนุมเพื่อผลักดัน ทุบตี และทำร้ายร่างกาย  นักศึกษาศีรษะแตกเลือดอาบเย็บหลายเข็มพ.ต.อ.สุรชัย สืบสุข กลับให้การในศาลว่านักศึกษาคนดังกล่าวเอาสีจากกระเป๋ากางเกงมาป้ายบนศีรษะ  จากการสลายการชุมนุมทำให้ผู้หญิงเสื้อผ้าฉีกขาดด้านหลังจนเห็นเสื้อชั้นใน  พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์กลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าผู้ชุมนุมสร้างสถานการณ์ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง กรณีศึกษาที่สอง การสลายการชุมนุมเมื่อเช้าวันที่ ๗ ตุลา ตำรวจออกมาชี้แจงว่าต้องสลายเพราะผู้ชุมนุมเอาน้ำมันราดถนนบนถนนรัฐสภาเพื่อเตรียมจุดไฟเผา  และบอกว่าผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตพกพาระเบิดติดตัวมาเอง เป็นการใส่ร้ายป้ายสีคนตาย ซึ่งเขาและเธอไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาปกป้องตนเองหรืออธิบายแก้ข้อกล่าวใดๆพล่อยๆของตำรวจได้เลย  การใส่ร้ายป้ายสีปัดความผิดคือความเชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะทางของตำรวจไทยบทที่ ๓ สร้างหลักฐานเท็จยัดเยียดความผิดจากเหตุการณ์เช้าวันที่ ๗ ตุลาตำรวจเป็นฆาตกร เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคราบรอยเลือดผู้บริสุทธิ์ยังไม่ทันแห้งเหือดกลับบอกจะเอาผิดตั้งข้อหาผู้ชุมนุม  ซึ่งเชื่อมั่นว่าตำรวจจะทำอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเท่ากับยอมรับและจำนนต่อความผิด ซึ่งชายชาติตำรวจไทยไม่มีวันให้เป็นเช่นนั้น  เห็นได้ชัดจากกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มคัดค้านโครงการการก่อสร้างและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย-มาเลเซีย ทั้งที่ตำรวจผิดอย่างชัดเจนกลับจับกุมผู้ชุมนุมและตั้งข้อหาร้ายแรง ทำสำนวนเท็จเพื่อตั้งข้อกล่าวหายัดเยียดความผิด  ความเป็นจริงของสังคมไทยตำรวจและอัยการสามารถทำสำนวนให้คนถูกกลายเป็นคนผิด คนผิดกลายเป็นคนถูกได้เสมอมา             ต้นเหตุอันนำไปสู่เหตุการณ์วันที่ ๗ ตุลาคมคือระบอบทุนนิยมสามานย์ทักษิณ ทำให้คนไทยต้องฆ่าคนไป สังคมไทยไม่ควรปล่อยให้เหตุการณ์ ๗ ตุลาคมผ่านเลยไปต้องมีกระบวนลงโทษฆาตกรและผู้บังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม ผู้กระทำผิดต้องได้รับผลกรรมทั้งทางธรรมและทางกฎหมาย  ฆาตกรมือเปื้อนเลือดและจิตใจเลือดเย็นอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ไม่มีความชอบธรรมใดๆเลยที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศไทยอีกต่อไป                
กอแก้ว วงศ์พันธุ์
  เช้าตรู่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนตื่นขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ของพี่สาวที่โทรหาด้วยน้ำเสียงห่วงใย กลัวว่าจะอยู่ในที่เกิดเหตุ เนื่องจากเธอยังไม่ได้ออกเวรจากการดูแลคนไข้กะกลางคืน จึงได้เห็นข่าวเช้าของการปราบปรามประชาชนที่หน้ารัฐสภาก่อนที่จะรีบโทรมา คาดว่าด้วยวิสัยของผู้เขียนมักจะร่วมในเหตุการณ์ประท้วงอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้เธอคาดผิด แต่กลับเป็นความดีใจของเธอที่น้องสาวไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เป็นความกังวลสำหรับผู้เขียนแทนเพราะพี่สาวคนที่สองของบ้านกลับเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ประท้วงและติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรตั้งแต่การชุมนุมครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น แต่โชคดีที่เธอปักหลักอยู่ที่ทำเนียบในวันนั้น แม้เราสองคนจะคิดต่างขั้วกันอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำความรุนแรงของผู้มีอำนาจต่อกลุ่มประชาชนรากหญ้าที่ปราศจากอาวุธทุกกลุ่ม ทุกกรณี
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า และบ่อยครั้งที่นำเสบียงพร้อมทั้งจดหมายข่าวสารจากภายนอกมาถึงฉันก็เป็นอันต้องงดใช้ไปด้วย ครอบครัวรถอีแต๊ก ที่มีลูกสาวเล็กๆอีกหนึ่งคนต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้ามาที่นา ในอีกเส้นทางหนึ่ง ความเคยชินของการได้ยินเสียงอีแต๊ก ดังแต๊ก ๆ ๆ ๆ แว่วมาจากแนวป่า จนกระทั่งพวกเขาโผล่มาให้เห็นทางประตูไร่ แล้วก็ลับหายไปกับแนวไม้อีกครั้ง ขาดหายไปหลายวันแล้ว
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ไม่แน่ใจหรอกว่าเคยไปแม่ฮ่องสอนมากี่ครั้งกันแน่ รู้แต่เพียงว่า เพราะความที่มันไกลเสียจนมีคนร่ำลือถึงได้พยายามดั้นด้นไปให้ถึง ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง (ก็ยังอ๊วกเหมือนเดิม อิ อิ) ... “หากผมมีโอกาสได้แต่งงานนะ ผมจะแต่งที่แม่ฮ่องสอน” “เออ คุณไม่ต้องส่งการ์ดเชิญมาให้ผมนะ ไกลชิบ” “เฮ้ย มันมีเครื่องฯ .. บินถึง ..” “เออ ผม เมาเครื่อง” ...
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
1. เงิน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับลมหายใจเข้าออกแทบทุกขณะจิตของผู้คน 2. เงิน คือทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ แต่เป็นนายที่โหดร้าย ยังเป็นวาทกรรมที่ทันสมัย
แสงดาว ศรัทธามั่น
          ฉัน รัก ดวงตาหญิงสาวเจ็บปวดร้าวจิตวิญญาณ เหลือที               โ ล ก แล้งร้อนร้างไร้ทุกที         วันนี้ ด ว งตา เ ธ อ ยังสดใส          ... ฉัน รัก หัวใจของชายหนุ่ม      ร้อนรุ่ม วิ ญญาณ์ กว่าไหน          โ ล ก รู้ว่า เ ธ อ นั้นจริงใจ          ด ว ง ตาบอกไว้ ฉั น รู้          ... ฉัน รัก หัวใจมนุษยชาติ         งามพิลาสหลอมรัก สถิตสู้          หญิงสาว ชายหนุ่ม เชิดชู            แก่เฒ่าเยาว์วัย กอบกู้ เ ส รี             ยังจำได้เราก้าวย่างสู่ ทางฝัน       ชนด้นดั้นทำลายการก ด ขี่            เปิดประตูเดือนตุลาฯ ก็พอดี... 37 ปี - 33 ปี เดือนตุลาฯ- 16 ปี พฤษภาฯ แห่ง -          - ม หา ป ระ ชา ช น         คารวะดวงใจคนกล้ามิล้าถอย      มิรอคอย - หัวใจคงเข้มข้น คมตุลาฯ - คมพฤษภาฯ คมกล้าแกร่ง      คมคน หากล่วงพ้นอวิชชากล้าฝ่าฟัน            เย็นสายลมโชยชื่น โลมลูบไล้เพลงหัวใจผองชนพร้อมรังสรรค์            ใครจักเปลี่ยนสีแปรธาตุ ไม่ว่ากันโลกเรานั้นคงหมุนเคลื่อน มิเปลี่ยนแปร             ปิด ประตู เดือน ตุลาฯ - พฤษภาฯ ลงเสียบ้าง             เปิดประตูโลกกว้าง - ปิดบาดแผลโลกหลอมรัก พ ลั ง หล้า หลอม ด ว ง แ ด             ยุ ท ธ ศา ส ต ร์ - ยุ ท ธ วิ ธี ... ที่แท้ ต้อง ห ยั ด ยื นมิใช่ให้ ลืมเลือน เดือนตุลาฯ - พฤษภาฯ          ด ว ง ใจ ก ล้า ผองเพื่อน อันดาษดื่นป ระ วั ติ ศา ส ต ร์ ต้อง จ ดจำปลุกคนตื่น              หลอม พ ลั ง พลิกฟื้น สั ง ค ม ใ หม่ ให้ ง ด งา ม !!!                                                                   คารวะรำลึกจิตวิญญาณเดือนตุลาฯ - พฤษภาฯ                                                                   ผู้กล้าทั้งผู้ที่ยังอยู่ และผู้เสียสละชีพ --หมายเหตุ -- บทนี้ เขียนในหนังสือ "ศิลปกับสังคม" ปี 2546 , "สถาบันปรีดีพนมยงค์" และได้เขียนเพิ่มเติมปรับปรุงใหม่ (2551)  
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็น “ผู้ใหญ่” ที่มีความเป็นห่วงเป็นใยในบ้านเมืองอย่างลึกซึ้ง พอมีเหตุอะไรที่อาจส่งผลกระทบให้บ้านเมืองเสียหาย นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นคนแรกๆ ที่ออกมา “เตือนสติ” หรือ “ชี้ทางออก” ให้แก่สังคมซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถจุดประเด็นได้เป็นที่น่าสนใจ
วาดวลี
หลายต่อหลายครั้ง ที่ฉันจดจำภาพของสถานที่ เรื่องราว ผู้คน แม้ไม่เคยรู้จักกัน และไม่เคยไปพบเจอ แต่กลับฝังลึกลงความทรงจำถึงขนาดเก็บไปฝัน แน่นอนฝันนั้นเป็นฝันดี และพอตื่นจากฝัน ก็พบกับความจริงที่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้อยู่ไกลเกินไปนักหรอก สิ่งที่พูดถึงความงาม ความพอดี เหมือนหยดน้ำใสบนคลองเล็กๆ ที่เลียบไปกับแม่น้ำใหญ่ หรือบางทีอาจเป็นดอกหญ้าต้นเล็กๆ ที่แทรกตัวอยู่ในสวนกุหลาบ แต่แท้จริงเป็นสมุนไพรเยียวยาโลกได้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันพูดถึงอยู่นี้ คือชีวิตของเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม จังหวัดระยองเด็กน้อยเหล่านี้ มีสิ่งที่พวกเขาได้รับจากการเรียนหนังสือมากกว่าการดูหนังสือ เพราะพวกเขาได้ทำความรู้จักดิน หญ้า น้ำ ซากพืช การดำรงชีวิตด้วยตัวพวกเขาเองจากการปลูกผักบนพื้นที่ของโรงเรียน พวกเขานำไปแบ่งขาย เก็บเงินไว้ซื้อของที่จำเป็น หอบผักกลับบ้านไปให้พ่อแม่ทำกับข้าวกลิ่นหอมฉุย แล้วชวนคนข้างบ้านมากินด้วยกัน ถ้าผักเหลือพวกเขาก็เอาไปทำอาหารให้หมูหลุมที่เลี้ยงไว้ในคอก หมูหลุมพวกนี้กินอาหารธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ ร่างกายปลอดจากเคมี เป็นอาหารปลอดภัยที่หล่อเลี้ยงคนในชุมชนด้วยระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้เอาเงินเป็นใหญ่ ไม่รู้สินะ ฟังดูเหมือนโลกในอุดมคติ แต่ฉันก็เชื่อว่ามีอยู่จริง  
นาโก๊ะลี
เรื่องเล่าของวัดเซนแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ว่าในห้องสมาธิ หมายถึงห้องที่ต้อนรับอาคันตุกะที่มาร่วมฝึกสมาธิที่วัด ในห้อง มีป้ายเล็กๆ เขียนบอกไว้ว่าให้เงียบ เพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้อื่น จากประสบการณ์ เมื่อมีคนบางคนพูดอะไรสักอย่าง ก็มักมีคนบอกให้เงียบ และสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอก็คือ จะมีคนพูดต่อกันอีกหลายคำ หลายคน เช่นนั้นเอง ภิกษุณีผู้ดูแลวัดก็เริ่มได้คิด ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนพูดขึ้นมา ก็ไม่มีใครต่อคำต่อความยาว เห็นอย่างนี้อยู่ไม่กี่ครั้ง บรรยากาศในห้องสมาธินั้นก็สงบเงียบไปเองโดยไม่มีใครคอยเตือนใคร ในหนังจีนกำลังภายใน หรือแม้แต่หนังไทยส่วนหนึ่งในอดีต (อาจมีโผล่มาในปัจจุบันด้วย)พระเอกเดินทางกลับมาถึงบ้าน พบว่าพ่อ แม่ถูกฆ่าตาย แล้วเรื่องราวการแก้แค้นก็เริ่มขึ้น และเมื่อแก้แค้น ต่างฝ่ายต่างก็ตามล้างแค้น ความแค้นจึงดำรงอยู่ไม่จบไม่สิ้น... เอ...แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม