Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

รวิวาร
มีตาน้ำในตัวฉันไหม ผุดพุ่งเป็นตัวอักษร  สายน้ำน้อยๆที่ใสสะอาด ดื่มกินได้  ชะล้างร่างกายและจิตวิญญาณ  ลำธารที่ไม่มีวันหมดสิ้น  ซับน้ำริน ๆ ที่มองไม่เห็น  ซึ่งผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรชีวิตใต้พื้นพิภพ ............
กิตติพันธ์ กันจินะ
มาริยา มหาประลัย
เมธัส บัวชุม
-1-ปกติแล้ว ผมจะไม่หยิบนิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ขึ้นมาเปิดดูเพราะไม่คิดว่ามีคอลัมน์อะไรที่ดึงดูดใจเพียงพอ นอกจากก่อนหน้านี้ที่พลิกเปิดไปดู “เรื่องสั้น” เพื่อตรวจดูว่าเรื่องสั้นของตัวเองได้รับการพิจารณาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมหมดปัญญาและพลังที่จะเขียนเรื่องสั้นแล้ว  ดังนั้นเวลาหยุดดูที่แผงหนังสือผมเพียงแต่กวาดสายตาดูนิตยสารรายสัปดาห์ยี่ห้อนี้เพียงผ่าน ๆ เท่านั้นแต่ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ล่าสุดที่หน้าปกเป็นรูป “ธีรยุทธ  บุญมี” นักคิดวิธีสร้างข่าวให้ตนเองนั้นสะกดให้ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู ที่น่าสนใจไม่ใช่รูป “ธีรยุทธ  บุญมี” แต่เป็น “คำ” ที่พาดผ่านหน้าปกซึ่งเขียนว่า “ตุลาตอแหล ?” พาดหัว “แรง” แบบนี้เป็นใครก็คงต้องสะดุดหยุดดู ผมพลิกไปอ่านโดยระทึกในดวงหทัยพลัน จึงได้ทราบว่าที่แท้แล้วคำนี้ได้มาจากบทสัมภาษณ์ของ “จรัญ ภักดีธนากุล”  ขอโทษ เขียนผิด ไม่ใช่ “จรัญ ภักดีธนากุล” แต่เป็น “จรัล ดิษฐาอภิชัย” ต่างหาก (ชื่อ “จรัล” จำนวนมากที่ขยันเป็นข่าวช่างชวนให้สับสนจริง)บทสัมภาษณ์ของ “จรัล ดิษฐาอภิชัย” ตีแสกหน้า “ธีรยุทธ  บุญมี” ตรง ๆ โดยไม่ต้องอ้อมค้อมให้น่ารำคาญ “จรัล  ดิษฐาอภิชัย” อ้างอิงไปถึง “ลาว คำหอม” นักคิดนักเขียนผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรที่ถอยหลังอย่างเช่นเรื่องการใช้กฎหมาย “มาตรา 7”   อันโด่งดังที่เปิดโอกาสให้คนนอกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือที่เรียกว่าเป็นนายกพระราชทานและ “ธีรยุทธ  บุญมี” ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนมาตรา 7 อย่างแข็งขัน   พอพูดถึง “ลาว คำหอม” ก็ให้รู้สึกว่านักคิดนักเขียนที่มีความคิดทางการเมืองก้าวหน้าแบบ “ลาว  คำหอม” นั้นหายากเต็มทีในสมัยปัจจุบันซึ่งถ้าไม่หมกมุ่นกับปัญหา “ตัวบุคคล”  อย่างอดีตนายก ฯ “ทักษิณ ชินวัตร”  จนคิดอะไรไม่ออก มองอะไรไม่เห็นก็เอาการเอางานกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” “คุณธรรม จริยธรรม” “บริโภคนิยม”  “ทุนนิยมสามานย์” ผมเคยบ่นกับบรรณาธิการใหญ่ท่านหนึ่งว่าทำไมนักเขียน (บางคน) จึงมีความคิดที่จะขับไล่อดีตนายก ฯ ทักษิณ  ชินวัตร แต่ขาดสติและปัญญาที่จะต่อต้านรัฐประหาร (ผมจำไม่ได้แล้วล่ะว่าบรรณาธิการใหญ่ท่านนั้นตอบว่าอะไร)ที่ “จรัล ดิษฐาอภิชัย” อ้าง “ลาว คำหอม” นั้นก็เพราะ “ลาว  คำหอม” เป็นบุคคลที่ “ธีรยุทธ  บุญมี” เคารพนับถือ
เด็กใหม่ในเมือง
ในขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ เราได้เห็นบรรดานักคว้าดาวปรากฏในหน้าจอของโมเดิร์นไนน์ทีวี และในอีกไม่นานก็คงถึงคราวของรายการ Academy Fantasia ที่จะกลับมาอยู่ในความสนใจกันอีกครั้งพูดถึงรายการเรียลิตี้โชว์ทั้ง 2 รายการที่ว่านั่น ดูจะเป็นเส้นทางลัดของบรรดา “นักล่าฝัน” หลายๆ คนที่หวังจะเข้าสู่วงการดนตรี ซึ่งดูจะเป็นเส้นทางที่คนจับจ้อง และหลายคนพร้อมจะกระโดดลงไปหามันมากที่สุด... แม้ในที่สุดเราจะได้เห็นว่า เอาเข้าจริงคนที่ถูกลืมจากเวทีเหล่านี้มีมากกว่าผู้ที่ได้รับชื่อเสียงหลายเท่านักแต่ในคราวนี้ ผมจะพูดถึงวงดนตรีวงหนึ่ง ที่เส้นทางการเดินทางของพวกเขาดูจะขรุขระ ไม่ได้มีสปอตไลท์สาดส่อง และไม่ได้มีแฟนคลับคอยเป็นแม่ยกมากมายนัก เอาง่ายๆ ก็คือทางของพวกเขาเป็นเส้นขนานกับเส้นทางของนักล่าฝันเหล่านั้นวงดนตรีวงนี้เริ่มจากวงดนตรีเล็กๆ จากการรวมตัวของนิสิตร่วมสถาบัน จับพลัดจับผลูได้เล่นในคอนเสิร์ต Live in a Day (คอนเสิร์ตที่จัดโดยนิตยสาร a day) ครั้งแรก เริ่มทำแผ่นซิงเกิ้ลแบบทำเอง – ขายเอง วางขายตามเทศกาลดนตรีต่างๆ ซึ่งแม้จะขายไม่ค่อยได้ แต่ก็พอทำให้มีคนรู้จักพวกเขาในแวดวงอินดี้อยู่พอสมควรหลังจากนั้นพวกเขาได้ร่วมเป็นหนึ่งในวงที่ริเริ่มก่อตั้งกลุ่ม “โคตรอินดี้” – กลุ่มวงดนตรีเล็กๆ ที่จัดคอนเสิร์ตกันเอง เล่นกันเอง โดยเริ่มจากการเช่าโรงหนังชั้นสองแถวๆ เยาวราชเพื่อเปิดคอนเสิร์ต ก่อนที่จะเริ่มจัดคอนเสิร์ตตามสถานที่ต่างๆ มีคนดูบ้าง ไม่มีคนดูบ้าง ถูกตำรวจปิดงานเพราะเล่นเกินเวลาเที่ยงคืนบ้างในระหว่างนั้นวงดนตรีวงนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงสมาชิก และเริ่มสะสมเพลงของตัวเองมากขึ้น  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ลับคมเขี้ยวทางดนตรีให้แหลมคมขึ้นเรื่อยๆหลังจากนั้นพวกเขาได้มีเพลงไปอยู่อัลบั้ม Compilation อัลบั้ม Tata Tomorrow ของห้องซ้อมดนตรี Tata Studio ของต้าร์ – อิทธิพงศ์ กฤดากร ณ อยุธยา (จริงๆ พูดชื่อสั้นๆ ว่าคุณต้าร์ แห่งวง Paradox ก็ได้ หรือจะเรียกให้สั้นกว่านั้นว่า “ต้าร์ Paradox” ก็ได้อีก แต่ เอ่อ...ไอ้ที่อยู่ในวงเล็บนี่ มันชักจะยาวเกินไปแล้วนี่หว่า:-P) ร่วมกับวงดนตรีหลายๆ วง (หนึ่งในนั้นคือวง Klear ที่ตอนนี้ไปอยู่ในสังกัด Genie Records ไปแล้ว) ซึ่งมาถึงตอนนี้ พวกเขาได้มีโอกาสทำอัลบั้มเต็มๆ ของพวกเขาสักที หลังจากเริ่มตั้งวงมากว่า 5 ปี โดยได้คุณต้าร์นี่แหละที่ทำหน้าที่ Producer ของอัลบั้มอัลบั้มที่ว่านี่ชื่อ Found and Lost และวงดนตรีวงนี้คือวงดนตรี “ภูมิจิต” นั่นเอง
แสงพูไช อินทะวีคำ
แรกๆ ผมว่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ICT camp ต่อ แต่เมื่อตอนค่ำของวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มครึ่ง เป็นตอนจบของเรื่อง “เพลงดินกลิ่นดาว” ละครโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ผมเปลี่ยนใจ หันมาเขียนเรื่องนี้จนได้ กรณีที่ผมนำเรื่องนี้ขื้นมาพูดไม่ใช่เป็นทัศนะของวิชาการ แต่เป็นทัศนะส่วนตัวมากกว่า
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
แถบม่วงของกระหล่ำสีกลีบหยักของกล้วยไม้บางดอกดูแปลกตาดี
แพ็ท โรเจ้อร์
หลายเพลาที่ผู้เขียนหายตัวไปจากเว็บนี้ ด้วยมีภาระกิจที่มากมายล้นหัวล้นหูเพราะผู้ใหญ่ส่งมาตามที่หัวโขนกำหนด เลยหมดแรงทุกครั้งที่ถึงบ้าน อีกทั้งมีคนสนิทที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่แบบเข้มข้น เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบส่วนตัวอย่างสมัครใจ จึงไม่มีเวลาจะผลิตงานตรงนี้ อีกอย่างหลายครั้งก็ท้อใจเพราะว่าผลงานที่เขียนไม่ “แรง” เท่าไรนัก ส่วนแฟนประจำที่มีอยู่บ้างก็สไตล์คล้ายๆกันคือ ไม่ชอบโฉ่งฉ่าง ไม่ชอบสร้างประเด็นมากนัก งานก็เลยค่อยๆไป ที่น่าขำคือได้ยินคนมาบอกว่าเป็นคน “แรง” จากปากอดีตนักเขียนคนหนึ่งใน “ประชาไท” เลยมานั่งคิดเหมือนกันว่าที่แรงน่ะ แรงตรงไหน หลากความคิดเอาเถอะไม่ว่ากัน คนเรามีหลายแบบได้ข่าวจาก “ประชาไท” ตอนโทฯเข้ามาทักทายว่ามีคนถามถึง จึงรู้สึกอายใจว่าตนเองขี้เกียจแต่ก็รู้สึกดีใจที่มีคนถามถึงผลงาน อัตตาที่พอมีมันก็เลยบังคับให้ต้องเขียนมาในยามมหาสงกรานต์ที่คนไทยอยู่ในอารมณ์บันเทิงกันเป็นส่วนมาก แม้ข่าวและบทความต่างๆที่ “ประชาไท” เองลง ก็มีคำถามว่ามันเป็นยังมายังไงกับเทศกาลนี้ แบบที่คนไทยกระแสหลักไม่ถามกัน ไม่คิดย้อนกลับ แต่รับมาแบบไม่เคยสงสัย จนเป็นเรื่อง “การเมือง” ที่แฝงในชีวิตคนไทยที่โดนยัดใส่วิธีคิดและการสร้างโลก-ทัศน์ที่ประหลาดๆผู้เขียนพบว่าตอนนี้ (15 เม. ย.) มีหัวข้อฮิตกว่าการยุบพรรคการเมือง นั่นคืออัตราการตายเพราะอุบัติเหตไม่ว่าจะบนถนนหรือนอกถนน ขณะที่พิมพ์งานชิ้นนี้ก็มีคนตายไปนับร้อยแล้ว แถมมีการทำลายสถิติปีที่แล้ว ทั้งที่มีการรณรงค์ต่างๆ แต่ก็ไม่มีผล แล้วพาลที่จะหาสาเหตุมาอธิบายว่าทำไม ในส่วนตัวผู้เขียนขอเสนอว่าการรณรงค์ดังกล่าวไม่ได้ผลเนื่องจากคนทั่วไปทนฟังกรอกหูทุกวัน แล้วไม่ค่อยมีใครตาย พอถึงเทศกาลมีคนตายมีอุบัติเหตุ ก็คิดไปว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องปกติ สังคมไทยมีลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า “let go” มากไป ซึ่งก็มีพื้นฐานมาจากแนวความคิดแบบที่ว่า “โลกใบนี้ถูกกำหนดมาแล้ว” มากเกินไป จนไม่คิดจะหันมาทำอะไรเพื่ออนาคตเสียบ้าง น่าสังเวชเป็นที่สุด ฝรั่งเองระแวดระวังยังมีพลาด เพราะสังคมไทยไร้สำนึกและไม่ระวังจึงสูญเสียมากจนน่าสะท้อนใจผู้เขียนรู้สึกรำคาญกับวิธีคิดแบบดังกล่าวจนพูดไม่ถูก แต่เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่า ชนชั้นปกครองนั่นแหละเสี้ยมสอนให้คนคิดไม่เป็น แถมยังบอกว่าสอนไม่ได้ ปล่อยให้เป็น “underdog” ไปทุกรุ่น ส่วนบางพวกที่อยากโงหัวขึ้นมาในระบบชนชั้นของสังคมไทยก็ชอบทางลัด บ้างก็คดโกง บ้างคอยให้คนมาช่วยแบบเอื้ออาทร หรือฝนหลั่งมาสู่ดินบ้าง ทำอะไร คิดอะไรไม่เป็น ไม่เป็นไทแก่ตน ผู้เขียนเคยเห็นในกระทู้ “ประชาไท” มีคนใช้สำนวนว่า “ตัวเป็นไท ใจเป็นทาส”
นาโก๊ะลี
ไม่ว่ายุคสมัยใด ตลอดช่วงเวลาของมนุษยชาติบนโลกใบนี้มีเรื่องราวมากมาย  แน่นอนว่าหลายเรื่องราวนั้นได้รับการบอกเล่ากล่าวขาน  บางเรื่องราวก็กลายเป็นตำนาน  ขึ้นอยู่กับว่าเรื่องราวเหล่านั้นถูกใครนำมาบอกเล่า หรือถูกนำมาบอกเล่าในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี  มีเรื่องที่คล้ายกันนี้มากมายนัก  สมัยหนึ่งมีเพื่อนบอกว่า มีคนหน้าตาดีอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นดารา  แม้ในยุคที่ดาราเกิดขึ้นมามากมายเท่าไหร่ก็ตาม  และมีคนที่ร้องเพลงเพราะมากมายที่ไม่ได้ประกอบอาชีพนักร้อง  หรือมีคนที่ประกอบอาชีพนักร้องมากมายที่ไม่ได้มีชื่อเสียง  เช่นกันว่า เรื่องราวที่นักเขียนบางคนนำมาบอกเล่า กลายเป็นเรื่องราวที่ผู้คนรู้จัก  และบางเรื่องราวของนักเขียนบางคนก็หายไปกับกาลเวลา....   แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวของเด็กกำพร้าสองคน.... ผู้คนเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ มีคนบอกอีกเหมือนกันว่า  คนฉลาดเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ และคนที่ฉลาดกว่าสามารถเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของคนอื่นด้วย  อย่างนั้น.... ความนัยของเรื่องนี้ก็คือ มีประสบการณ์มากมายของผู้คนมากมายที่หล่นหายไปตามกาลเวลาโดยไม่ได้ถูกยกมาเป็นเรื่องราวให้ผู้คนได้เรียนรู้  หรือชีวิตของคนธรรมดาในซอกหลืบของแผ่นดินที่ไม่มีใครเอามาเล่า  ว่าในแง่มุมที่น่าสนใจ  แง่มุมที่บางครั้งแม้คนใกล้ชิดก็มิได้มองเห็น  ใช่อยู่ว่า แง่มุมของคนดังก็มีเรื่องน่าสนใจ  แล้วในแง่มุมของคนไร้นามแล้วนั้นก็อาจมิได้ไร้เรื่องให้เรียน  อย่างนั้นกระมัง.....แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวของเด็กกำพร้าสองคน.....เทียบเคียงเรื่องเล่าของผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคารพ มาอย่างนี้ว่า  เด็กกำพร้าคนที่หนึ่ง ชีวิตของเขาคือเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงต้องหม่นเศร้า และเดียวดาย  เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงประกอบกิจส่วนใหญ่ล้มเหลวเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงขาดแคลนความรักเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงไม่มีความรักให้เพื่อนมนุษย์เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงก้าวร้าวต่อโลกเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเรียนรู้ชีวิตได้น้อยเกินไปเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงขาดโอกาสเหมือนคนอื่นๆเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเปราะบางและคลอนแคลนเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึง.........................เด็กกำพร้าคนที่สอง  ชีวิตของเขาคือเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงดูแลความสดชื่นเบิกบานเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงมุ่งมั่นกระทำการงานด้วยความตั้งใจ และประสบผลสำเร็จเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเข้าใจว่ามีคนหลายคนรัก และเมตตาฉันเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงมีพลังที่จะรักเพื่อนมนุษย์เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงอ่อนโยนต่อโลกเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงแสวงหาความรู้ได้มากมายเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงมีโอกาสบางอย่างนอกเหนือจากคนอื่นๆเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงเข้มแข็งและมั่นคนเพราะฉันเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึง......................................เราทั้งหลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่บนโลกอย่างขาดวิ่นอยู่บางส่วน พอกัน…….ประสบการณ์จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เราให้ความหมายมันยังไง........
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ                     :    เค้าขวัญวรรณกรรมผู้เขียน                         :    เขมานันทะพิมพ์ครั้งที่สอง (ฉบับปรับปรุง) ตุลาคม ๒๕๔๓     :    สำนักพิมพ์ศยาม  
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)  
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนาผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมาการได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง? คนถามๆ ทำนองว่า มันจะเป็นค่านิยม ฮิตธรรมะชั่วขณะเหมือนฮิตเพลงนั้น เพลงนี้หรือเปล่าที่จริงแล้ว ผมคิดว่าการที่วัยรุ่นจะชอบ จะนิยมอะไร หรือจะฮิตอะไรก็ตามแต่ มันเกิดจาก “ความสนใจ” อย่างบางคนชอบหนังเกาหลี เขาก็มีแนวทางการชอบของเขา บางคนชอบเพลงไทยเดิมก็มีแนวทางของตน ฉะนั้นยิ่งหากใครที่ชอบหรือสนใจในธรรมะนั้นก็แสดงว่าเขาสนใจในธรรมะ ทีนี้ถามว่าสนใจมากน้อยเพียงใด ก็ต้องไปดูกันในรายละเอียดของแต่ละบุคคล เพราะบางคนก็สนใจในหลักธรรมคำสอน บางคนก็สนใจเรื่องการปฏิบัติ บางคนสนใจเรื่องการเถียง สนทนาธรรม บางคนสนใจจะทำบุญที่วัด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีควรได้รับการชื่นชมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่องวัยรุ่นหลายคนที่เข้าถึงธรรม ถือว่า “ธรรมะจัดสรร” ให้ตัวเองได้เข้าใกล้ธรรม บางคนจะทำยังไง จะบอกยังไงก็ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ แม้ว่าจะมีคนในครอบครัวปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ก็ตาม หรือบางคนครอบครัวไม่สนใจเรื่องธรรมะเลย แต่ตัวเองกลับให้ความสำคัญ ... ปรากฏการณ์เช่นนี้บอกได้ว่าการที่ใครจะเข้าถึงธรรมนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขรอบตัว แต่บางทีก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขภายในของแต่ละคนด้วยเวลาที่ไปปฏิบัติธรรม นั่งภาวนา แล้วเห็นวัยรุ่นมาปฏิบัติ ผู้ใหญ่หลายคนจะชื่นชมและเอ็นดู เพราะเข้าถึงธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย และเขาก็มักจะบอกให้ทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะหนทางเส้นนี้มีอะไรให้ค้นหาอีกมากมายว่าสำหรับอายุ, มีพี่คนหนึ่งถามผมว่า “ทำไมน้องอายุยังน้อยแล้วมาสนใจธรรม” ผมยิ้มแล้วได้ให้เหตุผล สั้นว่า “อกาลิโก” ธรรมเกิดขึ้นไม่จำกัดกาล จำกัดเวลา และไม่จำกัดวัย แถมต่อท้ายเหตุผลที่เคยเขียนไว้ คือ...
แสงดาว ศรัทธามั่น
( ๑ )     เ พ ล ง อ รุ ณอ รุ ณ รุ่ ง  อั น รั ง ร อ งแสงทองส่องงามผ่องหล้าเกื้อชีพ เกื้อชีวาคุณค่าหนอ  งดงามนักโอ... เ พ ลง รุ่ งอ รุ ณ ฉ า ยพริ้มพราย  พร้อมพรักโ ล ก นี้ มี ค ว า ม รั กงามประจักษ์มอบแด่เพื่อนมนุษยชนดอกไม้ ผี เสื้อแมลงปอ   ระเริงร่าวิหค   นกกา  ทุกแห่งหนรำร้องบทเพลงฉ่ำกมลล่วงหลุดพ้นจิตอัตตา สว่างชีวัน

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม