Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

รวิวาร
 ที่มาภาพ : http://www.geocities.com/thaishow2004/image/khonhead01.jpg หากเราจะรู้จักกัน  ฉันขอรู้จักเธอในฐานะมนุษย์ได้ไหม?  ไม่ใช่อะไรที่แวดล้อมเธอ  ภาพลักษณ์ บทบาท  ตำแหน่ง สถานะ  ไม่ว่าเธอจะเป็นดารา นักร้อง นักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ครู ผู้มีอำนาจ  ผู้ทรงความรู้  ที่ฉันอยากรู้จักจริง  ๆ คือมนุษย์คนหนึ่ง  ก็เมื่อเราปอกเปลือกหุ้มออกจนหมดสิ้นแล้ว เธอ ฉัน เราทุกคนจะเหลือสิ่งใดเล่า  นอกจากความเป็นมนุษย์ เปล่าเปลือยล่อนจ้อน  เธอย่อมรู้สึกหิวเหมือนที่ฉันหิว ทุกข์สุขโศกเศร้าเหมือนที่ฉันรู้สึก  เธอมีความรักเหมือนเช่นที่ฉันรัก  เคยผิดพลาดเหมือนฉันก้าวพลาด  และมีความหวังตั้งใจอยากมีชีวิตที่ดีกว่าในทุก ๆ ทาง  ทั้งรูปร่าง หน้าตา ชีวิตความเป็นอยู่ อุปนิสัยใจคอ พฤติกรรมเช่นเดียวกับฉันหากเธอเป็นหญิง เป็นผู้หญิงโบราณ เมื่อสมัยสี่สิบห้าสิบปีที่แล้วหรือกว่านั้น  ในยุคที่สตรีแทบทั้งโลกปราศจากสิทธิเสียง  หากเธอสนใจวรรณคดีปรัชญา และศึกษามันอย่างลึกซึ้ง ฉันย่อมชื่นชมเธอในฐานะมนุษย์-สตรีผู้ทรงปัญญา   หากเธอมีความสามารถถึงขั้นขับเครื่องบิน ประดิษฐกรรมใหม่ที่น่าตื่นใจแห่งยุคสมัย  ฉันย่อมจินตนาการไปว่า เธอเก่งกล้าสามารถยิ่ง   เธอเป็นหญิงก้าวหน้ากว่าเพื่อนสตรีในยุคเดียวกัน   เธอเป็นหญิง เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับฉัน  ทว่ามีชีวิตน่าค้นหาน่าเรียนรู้ยิ่งนัก  แต่ฉันกลับได้รับข้อมูลให้รู้จัก เพียงที่ถูกกำหนดไว้ว่าสมควรรู้จักสถานะ บทบาท หน้าที่ ตำแหน่ง อำนาจ หรือเงินตรา ไม่ได้ทำให้คนกลายเป็นสิ่งนั้น  หัวโขนที่เราสวมใส่  ภาพลักษณ์ หรือบทบาทที่เราเล่นเป็นของชั่วครู่  ถูกกำหนดไว้เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง   แต่แล้ว ต่อมาภายหลังกลับครอบงำเรา  ทำให้เราเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจัง   เราคิดว่าเราเป็นสิ่งนั้น  เราคือความมั่งคั่ง  คือความรู้  คืออำนาจ  หาใช่มนุษย์ธรรมดาสามัญอันที่จริงเราเองแตกต่างกันโดยกำเนิด  ทว่าเป็นความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์แต่ละคนที่งดงามตามธรรมชาติดุจเดียวกับพืชพรรณส่ำสัตว์  อันหลากหลายรูปลักษณ์เผ่าพันธุ์บนโลกใบเดียว   เราบางคนอาจมีนิสัยคล้ายสุนัข เชื่องเชื่อและจงรักต่อผู้ที่เราถวายใจ  บางคนคล้ายแมว หรือกระต่ายป่า หวาดระแวง ตื่นกลัว  เราแตกต่างกันไป  เป็นดอกไม้  เป็นต้นหญ้า ไม้ผล ไม้ประดับ  หรือไม้ป่า   ในสายตาของพระเจ้า- พระธรรมชาติ  ไม่มีสิ่งไหนดีเลิศ หรือสูงส่งกว่ากัน  ทุกชีวิตเสมอหน้า มีสิทธิเต็มที่ที่จะมีชีวิต หายใจและเริงร่าอยู่บนโลกอย่างเท่าเทียมกันสิ่งที่เรียกว่าจรรยามารยาทสังคม  ถึงที่สุดแล้วกลายเป็นการดัดจริตอย่างหนึ่ง  เราจำต้องปรับหรือดัดจริตกิริยาทั้งหลายทั้งปวง  ทั้งท่วงทำนองการพูด  การเลือกสรรถ้อยคำ  ท่าทีกิริยา ให้เป็นไปตามข้อกำหนด  หากแม้นใครสักคนแสดงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ   พูดจาสบาย ๆ  ยืนสงบ สง่า  มั่นใจ  ไม่ค้อมหลัง  ไม่กุมมือไว้   สุภาพนุ่มนวลแต่พูดไม่มีหางเสียง  เขากลายเป็นคนเถื่อน  ขาดมารยาทมนุษย์จะเรียกร้องความเคารพจากกันไปไย  ในเมื่อเราทุกคนล้วนน่าเคารพอยู่แล้ว เราคือมนุษย์ คือชีวิตศักดิ์สิทธิ์ ดุจเดียวกับดวงอาทิตย์ พืชและสัตว์  หรือว่าบางที เราอาจเคารพตัวเองไม่มากพอ  ยามมีเงินน้อย  เรารู้สึกยากจนต่ำต้อย   เมื่อปราศจากตำแหน่งหน้าที่ ไม่มีองค์กรสังกัด  เราขาดความมั่นใจ  เรากลับรู้สึกดี  มองตรงไปข้างหน้า ก้าวเดินอย่างสง่า  หากบอกได้ว่าเราเป็นใคร  เราไปไหนโดยรถยนต์ส่วนตัว มีเงินมากมายในบัญชีธนาคาร  (ถึงไม่มีงานทำ ไม่มีองค์กรสังกัดก็ไม่เป็นไร  เราเป็นคนรวย  มีเงินตราให้สังกัด)  หรือเป็นพนักงานบริษัท  เจ้าหน้าที่ราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ  (เรามีสถาบันสังกัด  ไม่ใช่แค่นายนางบ้าน ๆ  ธรรมดา)  ... ฉันเองบางครั้งก็รู้สึกว่าเคารพตัวเองไม่มากพอ   แล้วเมื่อรู้สึกด้อยก็พลอยไม่เคารพคนอื่น   ไม่เคารพหมา ไม่เคารพเด็ก  หรือคนที่อ่อนแอ  คนที่ดูโง่กว่า  รวมทั้งใครที่คิดต่าง  แล้วยังรู้สึกถูกดูถูก  เมื่อแต่งตัวปอน ๆ  แล้วได้รับการปฏิบัติทางสายตาที่ไม่น่าสบายใจตามที่ทำการต่าง ๆ เช่นสถานีขนส่ง ที่ทำการไปรษณีย์  ที่ว่าการอำเภอ  ธนาคารหรือโรงพยาบาล   ถ้าฉันเคารพตัวเองมากพอ  มั่นใจในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของฉันแล้ว  คงไม่รู้สึกหวั่นไหวผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ได้น่าเคารพยิ่งไปกว่าชาวไร่ธรรมดาคนหนึ่ง  ครูบาอาจารย์ผู้ทรงความรู้  ซึ่งร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาก็ใช่ว่าจะมีความเป็นมนุษย์น้อยไปกว่าคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา  บางทีสิ่งที่เรากำหนดไว้แต่ไรมา  จะเพื่อหวังผลเพียงความเป็นระเบียบเรียบร้อยในฉากหน้า  แต่เพื่อควบคุมทุกอย่างไว้ในมือในเบื้องลึกก็ตาม  อาจเป็นสิ่งที่เราต้องรื้อฟื้นและทบทวนใหม่   ด้วยว่าวันนี้ มนต์คาถาของมันได้เสื่อมลงไปแล้ว  อำนาจที่กำกับด้วยความรู้ ความสามารถ เงินตรา  หรือว่าประเภทใดก็ตามล้วนสั่นคลอน  อันที่จริงมันสั่นคลอนมาตั้งแต่เริ่มแรก  ด้วยขัดขวางกับธาตุฐานตามธรรมชาติของมนุษย์เด็กไม่เคารพครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่  ประชาชนไม่นับถือพระเจ้า  ผู้ถูกปกครองไม่ยอมรับผู้ปกครอง  สัญญาณเหล่านี้เข้มข้นขึ้นทุกวัน  ในซีกโลกตะวันตก มันกลายเป็นความรุนแรงถึงชีวิต   โลกเก่ากำหนดคุณค่าให้คนโลกใหม่  เป็นคุณค่าที่สั่นคลอนง่อนแง่น  ไม่ทนทานต่อการตรวจสอบ  เมื่อเด็กที่กำลังเติบใหญ่ทั้งหลายไม่อาจยอมรับด้วยใจ  การขบถจึงเกิดขึ้น  ปราศจากความเข้าใจ  และไร้ทิศทาง             ...................................................................................................“เธอ” แม้ฉันไม่มีโอกาสพบ แต่ก็ปรารถนาที่จะรู้จัก เสียดายที่สิ่งต่าง ๆ ซึ่งพวกเขานำเสนอ หรือที่ตัวเธอเผยตามที่คิดว่าตัวเองเป็นนั้นไม่ใช่เนื้อใน  ไม่ใช่เธอเรามารู้จักกันเถอะนะ ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะอายุมากน้อยแค่ไหน  หรืออยู่ในชนชั้นใด (ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น มันเปลื้องออกได้) เธอที่เป็นเธอ  ซึ่งร้องไห้ได้ เสียใจเป็น โกรธ ขี้เกียจ อิจฉาริษยา   แล้วจากนั้น เราค่อยมาเรียนรู้กันต่อไปว่า เธอรู้สึกคิดนึกกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไร  ผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้าง  เพื่อเราจะได้แลกเปลี่ยน แบ่งปันชีวิตต่อกัน  เราจึงจะเคารพ ซาบซึ้ง    ถูกแล้ว  เราพึงได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนมนุษย์...    
แสงพูไช อินทะวีคำ
ข่าวการสั่งห้ามชาวบ้านที่หลวงพระบางทำกิจการให้ชาวต่างประเทศหรือนักท่องเที่ยวเช่าจักรยานและจักรยานยนต์ ได้ส่งผลลบมาสู่การท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หนังสือพิมพ์บางฉบับในไทยได้ลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากกลัวว่าอาจทำให้ความน่าสนใจ น่าเชื่อถือที่จะมาเยือนหลวงพระบาง เมืองมรดกโลกลดลงไป การสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำเช่นนั้น เป็นเพราะอะไร หลายคนเข้าใจว่า จากการหยุดไม่ให้ชาวบ้านทำ แต่มอบให้บริษัทเป็นคนทำ อาจทำให้ชาวบ้านสูญเสียรายได้ แล้วกลายเป็นการส่งเสริมนายทุนเพียงฝ่ายเดียว ชื่งไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งบอกผมว่า “การห้ามชาวบ้านทำ เพราะไม่มีประกันความปลอดภัย เมื่อนักท่องเที่ยวไปใช้การบริการ ที่ผ่านมามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหลายครั้ง เพราะนักท่องเที่ยวขี่จักรยานหรือจักรยานยนต์ โดยไม่รู้หรือไม่ได้สนใจการจราจร ไม่สนใจทางขื้น หรือทางล่อง จึงเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขื้นมาก็สร้างความเสียหายทั้งกับนักท่องเที่ยว ข้าวของเสียหาย บ้านเมืองก็ไม่มีระบบระเบียบ และหากนักท่องเที่ยวเกิดตายขื้นมา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้? ใครจะเป็นคนจ่ายค่าหัว? ชาวบ้านธรรมดาจะมีเงินขนาดนั้นไหมล่ะ?”ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าวให้ผมฟังว่า “การให้บริการการเช่าจักรยาน หรือจักรยานยนต์ ไม่เกียวข้องกับเรื่องวัฒนธรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องวัตถุนิยมเท่านั้นเอง หรือถ้าเป็นก็เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่แล้ว การจัดการเพื่อความเป็นระเบียบก็ควรจัดการ ในเวลาเดียวกันก็ให้มีหลักประกันให้กับชาวบ้าน เพื่อการดำเนินการที่ถูกต้อง”การมาเที่ยวหลวงพระบางของนักท่องเที่ยว ไม่ได้หมายความว่า นักท่องเที่ยวต้องการเห็นความทันสมัยของเมืองหลวงพระบาง แต่เป็นความต้องการอยากเห็นสีสันทางวัฒนธรรมของคนหลวงพระบาง  ผู้นำเที่ยวท่านหนึ่งกล่าวว่า “ชาวต่างประเทศเข้ามาหลวงพระบางเพื่อการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ฉะนั้นชาวหลวงพระบางต้องเข้าใจในเรื่องการบริการด้านนี้ให้ดี การทำบุญตักบาตร ต้องทำตามประเพณีที่เคยทำมา แต่บางครั้งชาวบ้านก็ทำเกินความเป็นจริงที่มี เช่น การนำเอาเครื่องต่างๆ ไปขายให้นักท่องเที่ยว จนทำให้นักท่องเที่ยวไม่พอใจ การทำเช่นนี้เหมือนกับว่า เรามองเห็นแต่ไอ้เรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ไม่ได้มองตรงที่วัฒนธรรมที่เราเคยทำกันมา” ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าวว่า “บ้านเรือนที่อยู่ในเมืองหลวงพระบางจำนวนมากถูกชาวต่างประเทศเช่า ซึ่งส่งผลทำให้ไม่มีใครมาใส่บาตรกันเลย แล้วทีนี้ประเพณีของคนหลวงพระบางก็จะหายไป เรื่องการเช่าจักรยาน หรือจักรยานยนต์เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการดำเนินทางธุรกิจเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนหลวงพระบาง”หมายเหตุ: ภาพจาก http://www.terragalleria.com/asia/laos/luang-prabang-monasteries/luang-prabang-monasteries.html
ที่ว่างและเวลา
ธีรเชนทร์  เดชานักสังคมสงเคราะห์1“หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ” เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งบอกเล่าให้ฟัง “วันนี้หนูมาหาแม่อีกคนหนึ่งของหนู…”“แล้วหนูจำได้ไหมว่าแม่หนูรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง” ผมลองเอ่ยถามเธอดู ภายหลังคำถาม เด็กหญิงทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง....เธอนิ่งนานในความเงียบงัน.....แต่ในแววตาที่ไร้เดียงสานั้น เหมือนจะบอกกับผมอยู่อย่างนั้นว่าเธอจำแม่ของเธอได้ดี...เธอจำได้นะ...ผมไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงให้คำตอบในสิ่งที่ผมถามเธอก่อนหน้านี้ไม่ได้  แม่...ที่เธอกำลังมาหาในวันนี้นั้น คือแม่แท้ๆ ที่อุ้มท้องเธอมา เป็นแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ด้วยเหตุผลและความจำเป็นบางอย่าง แม่คนนี้จึงไม่ค่อยมีเวลาได้เลี้ยงดูแลเธออย่างเต็มที่เท่าที่ควร...  จนกระทั่งสุดท้าย...แม่ได้จากเธอมาต้องโทษในเรือนจำแห่งหนึ่ง ... ตอนนั้นเธออายุเพียง 4 ขวบ โดยที่หนูน้อยไม่รู้เลยว่าแม่หายไปไหน เธอรู้แต่ว่า ทุกวันนี้เธออาศัยอยู่กับแม่ของหนูอีกคน ซึ่งแท้จริงแล้วแม่ที่เธออยู่ด้วยนั้นคือ ยายที่รับภาระเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย และทุกครั้งยายจะบอกย้ำกับหนูน้อยว่า นี่แหละแม่....ปัญหาระหว่างแม่กับยาย...นั้นทวีความรุนแรง จนถึงขั้นยายตัดแม่ตัดลูกกับแม่ของหนูน้อย แต่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเธอคนนี้ กลับพลอยต้องรับผลจากสิ่งที่เกิดขึ้น....ผมรู้สึกว่า บางครั้งผู้ใหญ่ก็ชอบจัดวางชีวิตให้กับเด็กโดยเห็นว่าถูกแล้ว..ดีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเอ่ยถามความรู้สึกความต้องการของเด็กเลยสักคำ...จนกระทั่งวันนี้ หนูน้อยอายุได้ 7 ขวบ เธอก็ยังไม่เคยพบเจอแม่แท้ๆ คนรอบข้างบอกเธอว่าเธอมีแม่อยู่อีกคน แต่ยายที่เธออยู่ด้วยกลับไม่เคยแพร่งพรายบอกเล่าให้ฟังและก็ไม่เคยพามาพบเจอแม่สักครั้งสถานการณ์บางอย่างมันก็ยากที่จะเข้าใจ หรือไปตัดสินว่าใครถูกใครผิด ถ้าหากว่าเราไม่เจอกับตัวเอง ...ใช่ ในชีวิตของคนเรานั้นบางครั้งก็ต้องรอเวลาในการรักษาเยียวยาจิตใจพอสมควร บางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับความจริงและปล่อยให้ใจเจ็บปวดเพื่อที่จะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้   เรื่องราวระหว่างยายกับแม่ของหนูน้อยนั้น ผมคิดว่าพอจะมีทางออก และทางเลือกที่ดีกว่านี้..เพราะผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าสายสัมพันธ์ความรักระหว่างแม่กับลูกนั้น เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดให้ขาดได้อย่างเช่นตอนนี้  หนูน้อยเธอได้แสดงให้ผมเห็นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเช่นนั้น...“หนูมีแม่อยู่สองคนค่ะ” หนูน้อยเชื่อในความรู้สึกข้างในของเธอและเธอก็บอกตัวเองหรือใครๆ อยู่อย่างนี้ตลอดมา        จนกระทั่งมาถึงวันนี้...วันที่เธอมีความหวังว่าจะได้พบแม่อีกคน.....2เหตุเกิดภายในเรือนจำจังหวัดๆ หนึ่ง ณ สถานที่เยี่ยมญาติใกล้ชิด เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไว้ผมเปียยาวสองข้าง แต่งชุดนักเรียน กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับอาจารย์ผู้หญิงที่พามาอย่างสนุกสนาน แกมความไร้เดียงสา  เธอไม่ได้คิดว่าช่วงเวลาต่อจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น…หรือจะต้องเตรียมตัวอย่างไร รู้แต่ว่าครูบอกจะพามาพบแม่….แม่มาทำงานฝึกอาชีพอยู่ที่นี่  แม่…ที่จากเธอไปตั้งแต่เธออายุเพียง 4 ขวบ...และแม่คนที่เธออาจจะเคยผวาเรียกตามจิตใต้สำนึกในคืนวันอันฝันร้าย......ประตูแดนควบคุมหญิงถูกเปิดออก...หนูน้อยกำลังพูดคุยจ้อเหมือนเดิมอยู่บนม้านั่งหินอ่อน หันหลังให้กับประตู   ผู้หญิงร่างท้วมคนหนึ่งสวมชุดนักโทษหญิงสีฟ้า...โผล่พ้นออกจากบานประตู ในมือถือถุงใบใหญ่สีเขียว พร้อมกับผู้คุมหญิงซึ่งเดินตามหลังมา  สายตาเธอพยามมองหาใครซักคน จนกระทั่งเจอสิ่งที่ตามหา…..นักโทษหญิงไม่รอช้าเธอวิ่งไปยังจุดหมายโดยไม่สนใจผู้คุมหญิงที่เดินตาม  ราวกับนักเดินทางผู้อิดโรย  มาค้นพบธารน้ำใสกลางทะเลทราย ระยะทางจากประตูถึงที่หมายนั้น ราวๆ 10 เมตร ได้ แต่ผมเข้าใจว่าเธอ คงรู้สึกเหมือนกับว่าระยะทางนั้นมันช่างไกลเหลือเกิน...สิ้นเสียงที่คุณครูบอกหนูน้อยว่า “แม่มาหาหนูแล้วนู้นไง”  หนูน้อยรีบหันหลังไปดูตามที่ครูชี้  เธอลุกขึ้นยืนนิ่งอึ้งไม่ขยับเขยื้อน...ร่างท้วมในชุดฟ้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นๆแล้วจู่ๆ หนูน้อยก็ค่อยๆ วิ่งเข้าไปหาเธอ  หญิงในชุดฟ้าคุกเข่าลงสวมกอดหนูน้อย ทั้งสองต่างกอดกันร่ำไห้  แม่ค่อยๆ ดึงหน้าหนูน้อยออกมา ใช้มือรูปไล้ตามใบหน้าอย่างทะนุทะนอม  ทั้งสองสบตาซึ่งกันและกันไม่มีแม้แต่คำพูดซักคำ...  แม่บรรจงหอมตรงกลางหน้าผากหนูน้อย  ก่อนจะสวมกอดกันแน่นอีกครั้ง ท่ามกลางสายตาผู้คนที่ต่างกำลังมองภาพนี้ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ….ภาพที่ปรากฏพบเจออยู่เบื้องหน้านั้น สะกดให้ผมนิ่งอึ้ง…. ราวกับว่าโลกทั้งใบไร้ผู้คน สรรพสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงสองแม่ลูกและตัวผมเท่านั้น…สำหรับผมแล้วมันคือช่วงเวลาแห่งความสวยงาม วินาทีที่สุดแสนประทับใจ… แม้จะถูกฉาบไว้ซึ่งความเศร้าก็ตาม…    ภายหลังการพูดคุยกันสักพัก ทุกคนต่างพากันเดินออกมาอยู่อีกที่หนึ่ง ปล่อยให้แม่ลูกได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะสังเกตได้ว่าสีหน้าท่าทางของหนูน้อยเริ่มเปลี่ยนไป เธอได้แต่เงียบ ไม่ช่างพูดช่างคุยเหมือนเคย หนูน้อยคงอาจกำลังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือยังปรับภาวะทางอารมณ์ไม่ทัน เหมือนเธอกำลังคิดหรือบอกกับกับตัวเองซ้ำๆ..ว่านี่คือความจริง ความจริงที่ไม่ใช่ฝัน....ความจริงที่เธอได้เจอแม่คนที่สองของเธอแล้ว....เรื่องราวของหนูน้อยในวันนี้ถ้าหากเป็นละครเรื่องหนึ่ง  และผมเป็นผู้กำกับผมคงอยากให้ฉากที่แม่ลูกได้พบเจอกันนี้เป็นฉากตอนจบ ทุกอย่างจะได้จบอย่างแฮปปี้เอนด์ดิ้ง....แต่..ชีวิตจริงที่ไม่ได้อิงนิยาย ชั่วโมงนี้คงเป็นได้แค่วูบหนึ่งของความสุข...วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น.....ยังยากที่จะคาดเดาได้ ก็คงได้แต่เอาใจช่วยและภาวนาให้เกิดแต่สิ่งที่ดี และงดงามอย่างนี้ ตลอดไป.... เพียงครู่เดียว หนูน้อยกลับมายิ้มพร้อมกับแววตาแห่งความสุขอีกครั้ง  อีกทั้งเริ่มที่จะพูดคุยอย่างสนุกสนานเหมือนเคย  เธอไม่ได้นั่งม้าหินอ่อนแล้ว แต่เธอนั่งตักแม่แทน...พร้อมกับทานขนมจากถุงที่แม่เธอถือออกมาด้วยก่อนหน้านี้  ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสุขของเธอภายใต้อ้อมกอดแม่นี้ แต่ก็คงจะไม่เทียบเท่ากับหนูน้อยคนนี้  ก่อนที่จะถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องลาจากกันอีกครั้ง..ผมบอกกับตัวเองว่าจะต้องพาเธอมาพบแม่อีกให้ได้ และหวังว่าถ้ามาครั้งหน้า แม่อีกคนหนึ่งของเธอจะยอมมาด้วย....ทุกวันนี้ยายยังใจแข็ง ปฏิเสธการมาพบเจอแม่ของหนูน้อย  นักโทษหญิงเสียใจที่แม่ไม่มาเยี่ยมพร้อมกับหนูน้อย  แต่ลึกๆ แล้วแม่ของเธอคงปวดร้าวไม่ต่างจากเธอเช่นกัน...เสียงคุณครูบอกหนูน้อย “เราต้องกลับแล้วนะคะ...” เธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เมื่อรู้ว่าจะต้องจากอ้อมกอดแม่  พร้อมกับแหงนขึ้นไปมองหน้า.... “แม่...” แม่ได้แต่ยิ้มแล้วเอามือลูบหัว น้ำตาเริ่มคลอพร้อมกับเสียงสั่นเครือเบาๆ “หนูจะต้องเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนหนังสือนะ ...แม่รักหนูเสมอ...”  แม่พูดพร้อมบรรจงจูบหน้าผากหนูน้อยและกอดกันอีกครั้งหนูน้อยค่อยๆ ลุกจากตักแม่  เดินไปหาครู  ระหว่างที่ครูพาเดินกลับ  เธอหันมามองแม่จนเดินลับผ่านประตูเรือนจำออกไป ผมหันกลับมามองนักโทษหญิง เธอยังคงยืนนิ่งมองจนหนูน้อยพ้นประตูออกไป  ก่อนที่ผมจะเดินตามหนูน้อยออกไป ผมเห็นว่าน้ำตาเธอได้ไหลเอ่อล้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง...  3เรื่องราวของเด็กน้อยกับแม่ที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำครั้งนี้....มันทำให้ผมหวนนึกถึงคำพูดของนักโทษวัยรุ่นชายคนหนึ่ง ในระหว่างการสัมภาษณ์ผู้ต้องขังเป็นรายบุคคล นักโทษชายวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาบอกกับผมว่า ข้อดีของการติดคุกสำหรับเขานั้น  มันทำให้เขาได้ครอบครัวคืนมา... “จากที่แต่ก่อนผมไม่เคยกอดพ่อกอดแม่ ก็ได้มากอดกันที่คุก และรู้ว่าพ่อรักผมแค่ไหนเมื่อได้เห็นน้ำตาของพ่อ ทั้งที่เราสองคนต่างกันคนละขั้ว ไม่เคยลงรอยกันเลยก็ว่าได้ จนทำไห้ผมคิดอยู่เสมอว่าพ่อไม่รักผม แต่การติดคุกครั้งนี้ ได้ทำลายความคิดนี้ของผมไปอย่างสิ้นเชิง” สิ่งดีๆ ที่คาดไม่ถึงอาจผ่านมาสะกิดหัวใจ...ในชีวิต  สำหรับบางคน....บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตได้ในพริบตา โดยที่ไม่ต้องมีใครมาพร่ำบ่น หรือดุ ด่า ว่ากล่าวตักเตือนให้คอยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากข้างในตัวตนของตัวเองเหมือนกับที่ เดวิด  วิสคอตต์   เคยบอกเอาไว้ “ไม่มีใครบังคับให้คุณเปลี่ยนได้ไม่มีใครหยุดยั้งคุณจากการเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีใครรู้ดีว่าคุณต้องเปลี่ยนแค่ไหนไม่แม้แต่ตัวคุณไม่ จนกว่าคุณจะเริ่ม”ตัวผมเองนั้น...เชื่อในคุณค่าของและศักดิ์ศรีของความเป็นคน คนทุกคนมีศักยภาพและสามารถพัฒนาตนเองได้....เพียงแต่ถ้าเขามีโอกาส...โอกาสที่บางทีมันเข้ามาอย่างแว่วๆ และแผ่วเบา..เราจะทำยังไงให้เขาไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ได้.....คงไม่มีใครที่เกิดมาแล้วอยากเป็นคนเลวในสายตาของผู้อื่น...เหมือนกับท้องทะเลที่บ้าคลั่ง โหดร้าย...และน่าสะพรึงกล้ว แต่เมื่อคลื่นลมสงบ กลับราบเรียบ สวยงามดังเช่นที่เคยเป็นอีกครั้ง ท่ามกลางความเลวร้าย ทุกสิ่งย่อมมีสิ่งดีงามแอบแฝงอยู่เสมอ...สำหรับผม.....ความเลวร้ายไม่ใช่สิ่งที่ถาวรเรื่องราวของนักโทษชายกับเรื่องหนูน้อยอาจจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่สำหรับผมแล้วมันคือ ความเหมือนที่แตกต่าง....(#นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงผ่านความคิด ภายหลังจากที่เรือนจำได้ดำเนินการประสานความร่วมมือสร้างเครือข่ายงานสังคมสงเคราะห์ในเรือนจำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น - -ขอขอบคุณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยให้เกิดสิ่งที่สวยงามเหลือเกินสิ่งนี้ขึ้น)
แพร จารุ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปร่วมงาน เปิดตัวหนังสืออาหารบ้านฉัน ที่บ้านแม่เหียะใน หัวหน้าอุทยานดอยสุเทพ มาเปิดงาน ฉันฟังเสียงของท่านไม่ค่อยได้ยิน เพราะว่ายืนไกลและที่บ้านแม่เหียะใน ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เสียงเครื่องปั่นไฟดังมาก จึงไปถามชาวบ้านที่ตั้งใจไปฟังใกล้ ๆ ว่าท่านพูดอะไร แน่นอนชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานเขาต้องตั้งใจฟังทุกอย่างที่เจ้าหน้าที่อุทยานพูด เพราะว่าชีวิตขึ้นอยู่กับอุทยานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  หรือเรียกว่าอยู่ภายใต้กฎหมายอุทยาน “ท่านพูดว่า ท่านเข้าใจว่าที่ทำหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นมาเพราะต้องการที่อยู่ที่กิน” หญิงสาวคนหนึ่งบอกว่าท่านพูดเช่นนั้น และเธอรู้สึกดีใจมาก“อือ...แสดงว่าท่านเข้าใจ” ฉันแสดงความคิดเห็นฉันคิดว่าเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและชาวบ้าน เมืองไทยเราเรื่องพื้นที่อุทยานกับชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่อุทยานมีปัญหาจริง ๆ เคยคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ พวกเขาบอกว่า พวกเขารับหน้าที่ในการดูแลป่า ดูแลพื้นที่ป่าภายใต้กฎหมาย เขาต้องรักษาป่าไว้ให้มากที่สุด แต่ในเมืองไทยเรานั้น มีผู้คนอาศัยอยู่ในป่ามากมาย หรือเรียกว่าทุกแห่งนั่นแหละ ข้อหนึ่งที่ถกเถียงกันอยู่เสมอคือ ชาวบ้านบอกว่ามาอยู่ก่อนที่อุทยานจะประกาศพื้นที่  การพิสูจน์การเข้ามาอยู่ก่อนหลังจึงเป็นข้อเสนอหนึ่ง แต่ดูเหมือนกับว่าการพิสูจน์แบบนี้ก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นไม่ว่าจะมาก่อนหรือหลัง ส่วนใหญ่เขาก็ไม่อยากย้ายออกจากบ้านที่เคยอยู่  หรือถ้าย้ายก็ต้องเป็นที่ซึ่งทำมาหากินได้  ปลูกผักปลูกข้าวได้ หรือหาของป่า เท่าที่ฉันไปเที่ยวดูจากที่ต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ของชนเผ่า ในพื้นที่อุทยานและไม่ใช่คนชนเผ่า พวกเขาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นป่าใช้สอยพื้นที่ทำกิน ป่าอนุรักษ์  ถ้าเป็นชนเผ่าก็มีป่าที่ใช้สำหรับพิธีกรรมด้วย เท่าที่รู้ป่าพิธีกรรมเขาจะไม่ตัดไม้อยู่แล้ว และได้ไปดูพื้นที่ที่ถูกย้ายออกมา และกำลังจะถูกย้าย ที่ถูกย้ายออกมานั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องที่ทำกิน คือที่ซึ่งย้ายออกมาทำกินไม่ได้ แห้งแล้ง มีที่เพียงนิดเดียว ที่ซึ่งฉันไปดูมาชื่อบ้านลีซูหัวน้ำ แม่อาย อันนี้ย้ายลงมารวมกันข้างล้างและมีปัญหาไม่มีที่ทำกิน อดอยาก  กับอีกแห่งหนึ่งที่ไปดูมา คือบ้านนาอ่อน ช่วงที่ไปนั้นพวกเขากำลังจะถูกย้าย แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหนดี ทั้งสองแห่งเป็นที่อยู่ของชนเผ่า ส่วนที่บ้านแม่เหียะในนั้น ก็เหมือนกัน อยู่ในพื้นที่อุทยานเหมือนกัน แต่ต่างที่ไม่ใช่ชนเผ่าไม่ใช่ชาวเขา และพื้นที่ป่าบ้านแม่เหียะเป็นพื้นที่ใกล้เมืองมาก ๆ หรือเรียกว่าผืนป่าที่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่มากที่สุด  ที่บ้านแม่เหียะในมันเป็นหลายเรื่องหลายกรณีมาก ๆ  มีจำนวนมากที่เป็นคนเก่าแก่ดั้งเดิมคืออยู่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แต่มีอยู่จำนวนหนึ่งมาอยู่ใหม่ และบางคนถูกหลอกมา เขาหลอกว่าไม่นานก็จะได้เอกสารสิทธิ์หรือว่าไม่มีใครเขามาไล่หรอก อยู่ไปเถอะ อย่างนี้เป็นต้นยังมีปัญหาเรื่องขายที่ดินซ้ำซ้อน ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ขาย คือขายคนหนึ่งแล้วไปขายอีกคนหนึ่ง เพราะการซื้อขายไม่มีหลักฐานใด ๆ ซื้อขายแบบไปชี้ ๆ เอามา  ดังนั้นเมื่อมีเรื่องราวก็ไปฟ้องร้องเอาผิดกันไม่ได้  นอกจากฟ้องร้องฉ้อโกงกันเท่านั้น เห็นไหมเมื่อเข้าไปดูรายละเอียดมันมีเรื่องมากมาย และคนแบบนี้แหละที่ทำให้ส่วนรวมเสีย การที่จะต่อรองกับเจ้าหน้าที่รัฐในที่อยู่อาศัยก็ยากขึ้น หรือไม่สามารถทำได้ การจัดการป่าในเมืองไทยเป็นเรื่องยากมากจริง ๆ จัดการตามหลักกฎหมายอย่างเดียวก็ไม่ได้ ครั้งจะเรียกร้องให้คนดูแลป่า ก็ต้องมาดูรายละเอียดกันว่า คนของเราหรือประชาชนเราพร้อมหรือยัง เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เธอมีเพื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดี ทำงานอย่างตั้งใจ เรียกว่ามือสะอาด เขาบอกว่า ชาวบ้านยังไม่พร้อมแต่ก็มีบางแห่งที่พร้อม ดังนั้นก็ต้องพิจารณาเป็นกรณี  ๆ อย่างเช่นบางชุมชนชาวบ้านเข้มแข็ง จัดการป่าได้จริง เขามีกฎระเบียบของหมู่บ้าน และพิสูจน์แล้วว่า ทำได้อยู่ได้อย่างยาวนาน อย่างน้อยก็ห้าปีสิบปี ของจริงของปลอมมันพิสูจน์กันได้ และหากว่า ต่อไปไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ได้ก็เพิกถอนสิทธิ์ได้ อย่างนี้เป็นต้น แต่สิทธิในการซื้อขายคงจะไม่ได้ แต่มีสิทธิในการครอบครองชั่วลูกหลาน เป็นมรดกตกทอดได้ เพราะเมื่อสิทธิในการซื้อขายเกิดขึ้น ทันทีที่กลุ่มทุนเข้าไป วอดวายแน่ โครงการยักษ์ใหญ่นี่แหละน่ากลัวมาก  เพื่อนบอกอย่างนี้ ส่วนที่บ้านแม่เหียะนั้น จากการพูดคุยกับชาวบ้าน เขาบอกว่า “พื้นที่อุทยานดอยสุเทพนั้น ไนท์ซาฟารีเอาพื้นที่ไปใช้เท่าไหร่ พืชสวนโลกเอาไปเท่าไหร่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เอาไปใช้เท่าไหร่ รวมแล้วส่วนอื่นขอใช้พื้นที่ได้นับพันนับหมื่นไร่ ชาวบ้านทั้งที่อยู่ก่อนและอยู่ใหม่ขอใช้พื้นที่อยู่อาศัยไม่ได้หรือ  ทำไมมารังเกียจชาวบ้าน ถ้าจะจัดการก็ต้องจัดการให้เหมือนกัน ดูเถอะในพื้นที่เดียวกัน ส่วนอื่นมีไฟฟ้าใช้ แต่ส่วนของชาวบ้านไม่มี พื้นที่ใกล้ ๆ อย่างไนท์ซาฟารีก็มีไฟฟ้าใช้ ส่วนที่มหาวิทยาลัยก็มีไฟฟ้าใช้”  เออ...ก็จริงของเขาเหมือนกัน บ้านแม่เหียะในเป็นหมู่บ้านลับตาจริง ๆ หากว่าไม่มีโครงการพืชสวนโลกกับไนท์ซาฟารี บ้านแม่เหียะในก็ไม่ได้ถูกเปิดตัวขึ้นมาแน่นอนฉันรู้จักบ้านแม่เหียะในครั้งแรก จากโครงการอุทยานช้าง ที่เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการไนซาฟารี ฉันเข้าไปเพราะถูกชวนไปปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ต่อมามีการคัดค้านอุทยานช้าง ชาวบ้านในพื้นที่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งที่เห็นด้วยอยากได้อุทยานช้าง เพราะเชื่อว่าหากมีอุทยานช้างเข้ามาพวกเขาจะได้ทำมาค้าขายกับนักท่องเที่ยว และความเจริญต่าง ๆที่เข้ามา แต่บางคนบางกลุ่มก็กลัวว่า จะไม่ได้ใช้ประโยชน์กับการท่องเที่ยวจริง อาจจะมีการประมูลมาจากข้างนอก และไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะถูกย้ายออกจาพื้นที่หรือไม่เมื่อมีโครงการใหญ่ใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งกลัวเรื่องขี้ช้างจำนวนมากที่อาจจะทำให้อากาศเสีย หรือน้ำเสีย  ตอนนี้โครงการนี้หยุดลง แต่ไม่แน่ว่าจะกลับมาในรัฐบาลชุดใหม่ ยุคนายสมัคร สุนทรเวชหรือไม่ และชาวบ้านต้องการโครงการเหล่านั้นจริงหรือไม่ 
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ใครเคย เล่น (อี) มอญซ่อนผ้าบ้าง ..? หากเจอคำถามนี้แล้วคุณยกมือ แสดงว่า อายุของคุณไม่ควรจะต่ำกว่า 35 UP … ha H a a a a,ย้อนความจำกันนิด การละเล่นชนิดนี้ใช้ผู้เล่นกี่คนก็ได้แล้วแต่ถนัดและจำนวนของกลุ่มเพื่อน เลือกผู้เล่นขึ้นมาเพื่อเป็นตัววิ่ง 1 คน (อันนี้จะด้วยวิธีการใดใดก็ได้ รุ่นผมใช้โอน้อยออก) ตัววิ่งจะกุมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ในมือให้มิดชิด ก่อนจะเดินรอบวง เมื่อเดินพอหอบ ตัววิ่งจะอาศัยช่วงจังหวะเวลาและโอกาสเข้าทำ ด้วยการแอบทิ้งผ้าไว้ข้างหลังผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง ซึ่งระหว่างที่ตัววิ่งเดินรอบวง ผู้เล่นภายในวงจะร้องเป็นทำนองว่า  “(อี) มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ใครนั่งไม่ระวัง ฉันจะตีก้นเธอ”เมื่อตัววิ่งทิ้งผ้าไว้ข้างหลังผู้เล่นคนใดคนหนึ่งแล้ว ตัววิ่งจะรีบวิ่งเพื่อมาครบรอบที่ผู้เล่น หากผู้เล่นผู้นั้นไม่รู้ตัว ผู้เล่นก็จะถูกตีก้น แต่ถ้าหาก ผู้เล่นรู้ตัวก็จะรีบเก็บผ้าลุกขึ้นมาไล่ตัววิ่ง หากวิ่งไล่ทันตีก้นตัววิ่งได้ ตัววิ่งก็จะต้องเป็นตัววิ่งต่อไปแต่หากไล่ไม่ทัน ตัววิ่งก็จะเข้าไปนั่ง ผู้เล่นก็จะต้องเป็นตัววิ่งแทน ..โป๊เช๊ะ เป็นอันจบเกม,เอ่อ ไม่ต้องงง นะครับ ..เข้าใจว่าคงคิดภาพกันออก ..ha H a a a a...นักมอญศึกษาพูดถึงการละเล่นชนิดเอาไว้ว่า ไม่มีประวัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ระบุได้อย่างชัดแจ้งว่าเกิดขึ้นอย่างไรกันแน่ แต่จากเอกสารหลักฐานและการสอบทานจากผู้เฒ่าผู้แก่ พอจะแน่ชัดได้ว่า มอญซ่อนผ้า ไม่ใช่การละเล่นของคนมอญ หากต้นตำรับ คาดว่าน่าจะมาจากคนไทยมากกว่า ,ทำไมมอญต้องซ่อนผ้าและไหงจู่จู่ตุ๊กตาจึงไปอยู่ข้างหลังได้ อันนี้ยังคงเป็นเงื่อนงำ แต่สิ่งที่แน่ใจได้ คือ ความชิดเชื้อทางวัฒนธรรมระหว่างคนไทยและคนมอญที่ผสมผสานกันจนผนึกแนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไม่เหลือทิ้งร่องรอย...กล่าวกันว่ามีคนไทยเชื้อสายมอญในประเทศไทยนับล้านคน ตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนและสร้างวัดเป็นจำนวนมาก จากเกาะรัตนโกสินทร์ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เกาะเกร็ด พระประแดง อยุธยา นครปฐม ราชบุรี ลพบุรี นครสวรรค์ ลำพูน ชุมพร อุทัยธานีและอีกหลายวัด โดยเฉพาะวัดชนะสงคราม(ตรอกข้าวสาร)ที่มีความสำคัญไม่แพ้วัดไทยวัดอื่นๆ,งานวันรำลึกชนชาติมอญ ครั้งที่ 61 (2-3 กุมภาพันธ์ 51 วัดบ้านไร่เจริญผล จ.สมุทรสาคร) จึงมีความหมายอย่างสำคัญในการหลอมรวมดวงใจให้พี่น้องชาวมอญจากทั่วประเทศเดินทางมาร่วมงานเพื่อเจอกับการตั้งด่านสกัด ตรวจบัตร และจัดตั้งกองกำลังผสมตำรวจชาวบ้าน ตำรวจนอกเครื่องแบบ ตำรวจในเครื่องแบบและอาวุธครบมือ ด้วยเหตุผลของการรักษาความปลอดภัย โดยคำสั่งเพื่อป้องกันและรักษาความมั่นคงของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร,ป้องกันเอาไว้ก่อนว่างั้นเถอะ !!..“...บ้าจี้” ลุงมอญจากอยุธยาเอ่ย“มันจะความมั่นคงอะไรกันนักหนา เราไม่ได้มาทำอะไร” น้ำเสียงแกขุ่นมัวเจือไปด้วยความหงุดหงิดและไม่เข้าใจ“อยู่กันมาหลายรุ่นแล้ว คนไทยเต็มร้อย อยากดูบัตรประชาชนม๊ะ” แกเริ่มจะขุ่นมัวเอากับผม ก่อนควักบัตรประชาชนยื่นให้ดู“อยู่เมืองไทยดีแล้ว จะไปคิดอะไร นอกจากทำมาหากิน” (ผู้ว่า)บ้าจี้ แกกระซิบ...“อะไรนะ อ๋อ เด็กๆ รุ่นใหม่ พูดไม่ค่อยได้ พูดไทยดีกว่า ทำมาหากินสะดวก” แกตอบคำถามผม“พูดไปก็ใช้อะไรไม่ได้ จริงม๊ะ ไอ้หนุ่ม”ผมพยักหน้า... สภาพบรรยากาศโดยรวมของงานภาคกลางคืน ภายในวัดบ้านไร่เจริญผล สถานที่จัดงานวันรำลึกชนชาติมอญนางรำหน้าเวที งานนี้มีฟ้อน !!!โฉมหน้าและลีลานางรำภาคกลางคืนภายในขบวนแห่ เต็มไปด้วยสีสันและการเกล้าผม เป็นสัญลักษณ์ของคนมอญดูลีลานางรำรุ่นใหญ่กันซะบ้างกลุ่มเด็กๆ ชายหญิงชาวมอญ หยอกล้อเล่นทอยสะบ้า
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : http://www.aromdee.net/pic_upload/Sep07/p2120_1.jpgในวันฟ้าเปลี่ยนสีข้ามองเห็นสัตว์การเมืองเปลี่ยนร่างบ้างสลัดคราบทิ้งกลายพันธุ์บ้างเกาะเกี่ยวกระหวัดรัดกันสมสู่ เสพสม กลิ้งเกลือกกองอาจมกิเลส ความใคร่อยาก อำนาจไม่รู้จบอา- - ข้ามองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา มองเห็นแล้วส่ายหน้าหดหู่ใจ...............ผมค้นบทกวีที่ผมแต่งเอาไว้นานแล้ว ออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง...หลังมีข่าวว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในนามว่า “เหี้ย” ออกมาผสมพันธุ์กันในทำเนียบรัฐบาล แหละนี่คือ "เบื้องหลัง 'เหี้ย' หลงฤดู โชว์อึดเสพเมถุน-เล้าโลมเป็นชั่วโมง ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า" ที่เผยแพร่ใน ‘มติชนออนไลน์’ และผมขออนุญาตนำมาเสนอตรงนี้อีกครั้ง... 'ตัวเหี้ยจะผสมพันธุ์กันช่วงต้นฤดูฝน พอดีช่วงนี้กรุงเทพฯ ฝนตกมาเกือบ 10 วัน ตัวเหี้ยมันเลยสับสนคิดว่าเข้าสู่หน้าฝน ซึ่งเท่ากับว่าฤดูกาลผสมพันธุ์ของพวกมันมาถึงแล้ว สำหรับการคลอเคลียในน้ำนานนับชั่วโมงเป็นเพียงการเกี้ยวพาราสีเท่านั้น' นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ กล่าว จากเหตุการณ์ที่สร้างความฮือฮาในรั้วทำเนียบรัฐบาล เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 มกราคม มีการผสมพันธุ์เป็นเวลานานของ 'ตัวเหี้ย' (ชื่ออย่างเป็นทางการ) หรือ ตัวเงินตัวทอง (ชื่อที่ใครหลายคนแสร้งเรียกเพื่อความดูดี) ในบ่อน้ำ หลังตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล จนทำให้ข้าราชการในทำเนียบพากันแตกตื่น และวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บ้างก็มองเป็นเรื่องธรรมชาติในแง่มุมตลกขบขัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงไม่ทิ้งความเป็นไทย ที่มองเป็นเรื่องของลางบอกเหตุ อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะโฟกัสไปในทิศทางไหนผู้สื่อข่าว 'มติชนออนไลน์' สัมภาษณ์ นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ช่วยราชการ สำนักพระราชวัง ถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ว่า ตัวเหี้ยจะผสมพันธุ์กันช่วงต้นฤดูฝน พอดีช่วงนี้กรุงเทพฯ ฝนตกมาเกือบ 10 วัน ตัวเหี้ยมันเลยสับสนคิดว่าเข้าสู่หน้าฝน ซึ่งเท่ากับว่าฤดูกาลผสมพันธุ์ของพวกมันมาถึงแล้วสำหรับการคลอเคลียในน้ำนานนับชั่วโมงของ 'คุณเหี้ย' ทั้ง 2 ตัวนั้น นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ชี้แจงว่า ที่เห็นมัน 2 ตัวคลุกวงในอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน เป็นเพียงการเกี้ยวพาราสีกันเท่านั้น เพราะการผสมพันธุ์ที่เสร็จสรรพของมันจริงๆ คือ 'บนบก''การผสมพันธุ์ของเหี้ยมีท่วงท่าเดียวกับเพชฌฆาตลุ่มน้ำ หรือจระเข้นั่นเอง คือมันจะนอนทับกันในลักษณะคว่ำ พร้อมกับสอดใส่อวัยวะเพศ ซึ่งใช้เวลาเพียงประมาณ 10 นาทีเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาลนั้นไม่ใช่การผสมพันธุ์ เป็นเพียงการเล้าโลม การสร้างอารมณ์  เพราะใช้เวลานานเป็นชั่วโมง อีกทั้งภารกิจดังกล่าวก็อยู่ในน้ำ ไม่ใช่บนบก' สัตวแพทย์ยืนยันอีกครั้งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้าราชการและสื่อมวลชนตีความกันไปเอง'เหี้ย คือสัตว์เลื้อยคลาน อยู่ในตระกูล class repilia ออกลูกเป็นไข่ ไข่ที่ออกจะมีปริมาณตั้งแต่ 5-20 ฟอง เปลือกไข่มีความแข็งเหมือนไข่จระเข้ เหี้ยตัวแม่นิยมเลือกสถานที่ชื้นน้ำ เช่น ริมคลอง เป็นที่สำหรับวางไข่ ใช้เล็บขุดคุ้ยจนได้หลุมวางไข่สมใจ และเมื่อวางไข่เสร็จ ตัวแม่จะปล่อยให้ไข่เจริญพันธุ์ต่อไป ส่วนตัวเองจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ'นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ให้ความรู้เรื่อง ลูกเหี้ย ที่เกิดใหม่ว่า ลูกเหี้ยที่รอดชีวิตจากฟักไข่ด้วยตัวเอง ด้วยระยะเวลาประมาณ 10 วัน ตามปกติจะมีลักษณะสีคล้ำดำ พร้อมลวดลายตามแต่สายพันธุ์ของผู้เป็นพ่อและแม่ อาทิ ลายพาดขวาง ลายดอก สวยงามไปตามๆ กัน เมื่อเกิดมาแล้วสิ่งที่ทุกตัวจำเป็นต้องมีคือ สัญชาตญาณการเอาตัวรอด จากเหล่านกล่าเหยื่อ ที่มีทั้งเหยี่ยว และอีกา เป็นสภาวะของการเอาตัวรอดเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกมันต่อไป'อาหารการกินของเหี้ย เมนูหลักคือ ของเน่าเปื่อย เศษซากอาหาร ส่วนเมนูอื่นประกอบด้วย ไก่ เป็ด  ปลา ปู หอย งู หนู นก และไข่ของสัตว์ต่างๆ เมื่อเหล่าเหี้ยเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ตัวผู้จะแย่งชิงตัวเมีย ผ่านการต่อสู้ ทิ้งร่องรอยการถูกกัดจากฟันอันแหลมคม ตัวที่ชนะจะมีแผลน้อยที่สุดและได้ครอบครองตัวเมีย และเหี้ยยังเป็นสัตว์ที่มีคู่ไปเรื่อยๆ ไม่ซื่อสัตย์ฉบับผัวเดียว เมียเดียว เหมือนสัตว์บางชนิด'อนิจจา...นอกจากชื่อ 'เหี้ย' จะเป็นอัปมงคลกับผู้ถูกเรียกแล้ว สัตวแพทย์ยังยืนยันกับเราด้วยว่า ส่วนสมองของเหี้ยนั้นไม่สามารถพัฒนาให้ทัดเทียมอย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่าง 'สิงโต' ได้ พฤติกรรมของมันจึงออกมาเป็นเช่นนี้...อยากรู้จังว่าคุณเหี้ยเค้าจะรู้สึกอย่างไร?......กับการแยกชนชั้นโดยนำชื่อของมันไปใช้ในความหมายที่ไม่ดี พร้อมกับจำแนกสมองว่าเป็นสัตว์ต่ำต้อยอย่างน้อยที่สุดก็เชื่อว่า เหี้ยสายพันธุ์แท้ คงกำพืดดีกว่า เหี้ยสายพันธุ์เทียม ที่พอถูกสะกดออกมาแล้วพบว่าคือ กลุ่มคนประเภทใส่สูทผูกไท พร้อมกับพร่ำออกมาตลอดว่า 'ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน'ที่มาของข้อมูล เกี่ยวกับเหี้ย : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=19173&catid=1   
สุมาตร ภูลายยาว
ลมหนาวพัดข้ามมาจากขุนเขา บางคนบอกว่าลมหนาวพัดมาจากไซบีเรีย ซึ่งสังเกตได้จากการดูนกอพยพหนีหนาวมา บางคนก็บอกว่าลมหนาวพัดมาจากเทือกเขาสูงของประเทศจีน เมื่อลมหนาวมาเยือน เพียงต้นฤดูหนาวเช่นนี้ก็สามารถสัมผัสได้ทางผิวกายที่เริ่มแห้งลงเรื่อยๆ และป่าเริ่มเปลี่ยนสีพร้อมผลัดใบไปกับลมแล้งในความหนาวเย็นนั้น เขาเดินทางรอนแรมฝ่าสายน้ำอันเชี่ยวกรากของหน้าแล้งไปตามลำน้ำสายหนึ่งที่อยู่สุดเขตแดนประเทศไทยด้านตะวันตก เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมเขาต้องมายังที่แห่งนี้ เพราะในส่วนลึกของหัวใจของเขามันไม่ได้เรียกร้องให้เขาเดินทางมายังที่แห่งนี้เลย ในห้วงแห่งกาลเวลาอย่างนี้ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น‘สบเมย’ หมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำเมยและแม่น้ำคงเป็นหมู่บ้านที่อยู่ไกลปืนเที่ยงและยังอยู่ในวงล้อมของสงครามแห่งความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้าม  สบเมยในที่นี้หมายถึงบริเวณปากน้ำเมยบรรจบกับแม่น้ำคง หมู่บ้านริมน้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพี่น้องชนเผ่าพื้นถิ่นที่เขาและใครอีกหลายคนรู้จักกันในนามของ ‘กระเหรี่ยง’ คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่บนดินแดนผืนนี้มาหลายชั่วอายุคน ดินแดนบริเวณนี้ในอดีตมันไม่เคยสงบเงียบ และในปัจจุบันก็ดูเหมือนว่ายังคุกรุ่นอยู่เช่นเดิม หลายปีมาแล้วที่ตรงนี้เคยเป็นทั้งสนามรบ และเป็นที่หลบภัยของผู้คนเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่แตกแตกต่างกันทางความเชื่อซึ่งถูกผลักดันเข้าสู่สนามรบ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจเขาคนแปลกถิ่นได้มีโอกาสมาเยือนที่นี่ ในบ่ายวันหนึ่งซึ่งแสงแดดของเวลากลางวันยังคงร้อนแรง เรือหางยาวลำที่เขาเดินทางมาด้วยนั้นเป็นเรือลำบรรทุกสัมภาระและผู้คนกว่า ๓๐ ชีวิตเรือจะเริ่มออกเดินทางจากท่าเรือบ้านแม่สามแลบตอนบ่ายโมงกว่าๆ แล้วก็ล่องลงมาตามลำน้ำคงเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที การเดินทางในแม่น้ำนี้แทบจะไม่ได้ใช้การวัดระยะทางด้วยหลักกิโลแต่จะใช้เวลาเป็นตัวชี้ว่า ระยะทางใกล้ไกลประมาณกี่ชั่วโมงเรือออกเดินทางโดยมีคนขับเรือที่คุ้นชินกับแม่น้ำสายนี้เป็นอย่างดีเป็นผู้พาเขาและคนบนเรือออกสู่แม่น้ำ ในใจของเขานั้นหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแม้จะเป็นคนที่คุ้นชินกับแม่น้ำหลายสายอยู่ก็ตาม แต่กับแม่น้ำสายนี้ทำไมเขาจึงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในใจก็ไม่รู้    เสียงเครื่องยนต์เริ่มดังขึ้นพร้อมๆ กับเรือก็ค่อยๆ เลี้ยวโค้งออกจากท่าเรือแล่นเรื่อยๆ มาตามลำน้ำคงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากดินแดนอันไกลโพ้น ลำน้ำสายนี้มีความยาวตลอดลำน้ำ ๒,๘๐๐ กิโลเมตร ไหลจากที่ราบสูงในธิเบต ผ่านประเทศจีนเข้าสู่ประเทศพม่าที่รัฐฉาน ไหลผ่านพรมแดนไทย-พม่า ก่อนที่จะเข้าเขตพม่าอีกครั้งที่บริเวณบ้านสบเมยแล้วสิ่งที่เชิญชวนให้เขาสัมผัสเป็นครั้งแรกก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอย่างเลือนๆ ก่อนที่จะแจ่มชัดขึ้นมาอย่างเต็มที่ สองฝั่งของลำน้ำประติมากรรมที่ธรรมชาติสร้างขึ้นตั้งโดดเด่นท้าทายสายตาตลอดข้างทางงดงามยิ่งนัก แก่งหินรูปทรงแปลกตาโผล่พ้นน้ำขึ้นมาทักทายผู้คนที่มาเยือน เพราะหน้าแล้งอย่างนี้สายน้ำที่เคยเต็มปริ่มเมื่อหน้าฝนลดระดับลงมามาก เขาผู้ไปเยือนพยายามทำตัวเป็นนักสำรวจสิ่งที่พบเห็นต่างผ่านดวงตาทั้งสองข้าง เขาซึ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผู้คนที่นี้ เพราะมีความจำเป็นบางอย่างเขาจึงจำเป็นต้องปกปิดสิ่งที่เขาพกพาไปด้วยให้มิดชิดที่สุด ผู้คนริมฝั่งน้ำยามบ่ายคล้อยบางคนก็กำลังต้อนควายลงกินน้ำ บางคนกำลังเพาะปลูกพืชผักบนหาดทรายริมน้ำ บางคนกำลังหาปลา เขาบันทึกภาพๆ หนึ่งที่ผ่านสายตาของเขาได้โดยบังเอิญในระหว่างการเดินทางในวันนั้น ภาพนั้นเป็นภาพที่อยู่บนริมฝั่งน้ำในประเทศพม่า มันเป็นภาพของคนหาปลากำลังปล่อยตาข่ายดักปลาลงในน้ำ โดยมีคนอีกคนหนึ่งยืนอยู่บนฝั่งแบกปืนคาร์บิ้นคุมอยู่ใกล้ๆ เพื่อนร่วมเดินทางที่นั่งเรือไปด้วยกันซึ่งคุ้นชินกับพื้นที่บอกว่า ทหารพม่ากำลังบังคับลูกหาบให้หาปลา เขาต้องถือปืนก็เพราะกลัวลูกหาบจะหนีไปได้ คนเป็นลูกหาบนั้นก็มาจากชนกลุ่มน้อยซึ่งโดนบังคับมา บ้างก็เป็นทหารซึ่งรบพ่ายแพ้แล้วโดนทหารพม่าจับมาเป็นเชลย ลูกหาบเหล่านี้มีหน้าที่แบกเสบียงอาหารบ้าง แบกลูกปืนบ้างสุดแล้วแต่ทหารพม่าจะให้ทำเขาซึ่งนั่งอยู่บนเรือครุ่นคิดอย่างเงียบงันถึงคนสองคนบนฝั่ง “ไม่มีความปลอดภัยที่แท้จริงในที่ซึ่งมีสงคราม”เรือผ่านโค้งสุดท้ายจุดหมายปลายทางจึงปรากฏอยู่เบื้องหน้า เมื่อเรือจอดเทียบท่าเป็นครั้งแรกที่ฐานทหารพรานซึ่งทำหน้าที่ดูแลความสงบและคอยตรวจตราเรือล่องขึ้น-ลงตามลำน้ำคง คนขับเรือขึ้นไปบนฝั่งเพื่อลงรายชื่อกับทหารพรานคนนั้น เขามารู้ภายหลังว่าทหารคนนั้นเป็นคนจากภูมิภาคเดียวกัน เมื่อมาเจอคนบ้านใกล้เรือนเคียงห้วงคำนึงคิดถึงบ้านจึงปรากฏขึ้นในใจของเขาอย่างเงียบๆ มันนานเท่าใดแล้วที่เขาเดินทางออกจากสายน้ำแห่งบ้านเกิด เขาต้องซัดเซพเนจรไปตามยอดดอยๆ แล้วดอยเล่าเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเปิดเผยกับใครได้ถึงภารกิจของเขา ไม่มีใครอยากจะเดินบนเส้นทางสายนี้เท่าใดนัก แต่คนอย่างเขาจะมีสิทธิเลือกหรือ  เมื่ออยู่บ้านก็ไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนวันไหน   แล้วภาพของพ่อที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งทุบตาย และภาพของหญิงสาวคนรักที่ถูกฉุดคร่าไปข่มขืนเพื่อทำลายเผ่าพันธุ์ของเขาก็ผุดขึ้นมาในห้วงแห่งความคิดน้ำตาของลูกผู้ชายที่มันไหลออกมาบ่อยครั้งมันก็ไหลออกมาอีกครั้งเขาตั้งใจว่าเมื่อหมดงานนี้แล้ว เขาคงจะสบายมากขึ้นไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่าชะตากรรมที่กำหนดชีวิตของเขาจะปล่อยให้เขาได้ทำอย่างนั้นอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้เขานั่งเหม่อมองสองฝั่งริมน้ำอย่างเงียบๆ บางครั้งเขาก็แอบเช็ดน้ำตาที่มันไหลออกมาด้วยผ้าสีเขียวกระดำกระด่างผืนเดียวที่ติดตัวมาหลายปีแล้ว      เสียงเครื่องยนต์เรือดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเรือค่อยๆ วิ่งออกจากท่า ก่อนที่หัวเรือจะถูกเบนเข้าหาแม่น้ำเมยตรงปากน้ำ สายน้ำสายนี้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนของรัฐไทยกับรัฐกระเหรี่ยง เมื่อเรือวิ่งทวนน้ำขึ้นไปสักพักแล้วเรือก็จอดสงบนิ่งลง การเดินทางในวันนั้นของเขาสิ้นสุดลงแล้วพร้อมกับแสงแดดเริ่มผ่อนความร้อนแรงลงหาดทรายขาวยาวเรื่อยไปตามลำน้ำสะท้อนกับแสงแดดสีขาวอยู่เบื้องหน้าของเขา มันคือความงดงามที่เขาไม่พบเจอมันมานานแล้ว หาดทรายแห่งนี้ในยามสงบเงียบไม่มีสงครามมันเคยเป็นที่ทำมาค้าขายของผู้คนสองฝั่ง แต่ในปัจจุบันมันกลายเป็นหาดทรายร้างไม่มีการค้าขายอีกแล้ว นี่คือผลพวงหนึ่งจากการทำสงครามอันไม่สิ้นสุดของผู้คน‘กี่ชีวิตแล้วหนอที่พลีร่างลงบนสายน้ำทั้งสองสายนี้’หลังจากพักเหนื่อยจากการเดินทางและการขนของแล้ว เขาเดินลงสู่ท่าน้ำก่อนจะนั่งเฝ้ามองคนหาปลาเอาเรือลำเล็กออกไปหาปลา เรือพายขนาดเล็กหลายลำลอยลำอยู่ตามตลิ่งริมน้ำ คนหาปลากำลังใจแน่งที่ใส่ไว้ เรือบางลำและคนหาปลาบางคนกำลังกลับคืนสู่ฝั่งพร้อมปลาที่หาได้เพื่อเป็นอาหารของครอบครัว    แสงแดดแสงสุดท้ายลับเหลี่ยมเขาลงไปแล้ว นกกระยางขาวโผบินกลับรวงรังเพื่อพักผ่อน คนหาปลากลับคืนสู่บ้าน สายน้ำไหลเอื่อยเงียบสงบ แต่แผ่นดินที่ฝั่งตรงข้ามใยเต็มไปด้วยกับดักแห่งการเข่นฆ่า บนยอดดอยฝั่งโน้นครั้งหนึ่งเคยมีคนอาศัยอยู่ แต่ด้วยผลพวงแห่งสงคราม ดอยแห่งนี้จึงกลายเป็นดอยร้างและเต็มไปด้วยกับระเบิดมากมาย ซากเจดีย์เก่าสีขาวยังคงปรากฏให้เห็นในความมืดยามพลบค่ำ เหมือนเตือนย้ำให้ผู้คนคิดถึงความหลังค่ำคืนเงียบสงบลมหนาวมาเยือน ดาวบนท้องฟ้ารายระยิบมากมาย สัญญาณแห่งวันใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ขุนเขาทะมึนดำที่วันนี้เงียบสงบจากเสียงปืน สงครามแห่งเผ่าพันธุ์ยังไม่เริ่มต้นขึ้นเพราะกองกำลังของชนกลุ่มน้อยผ่ายแพ้แล้ว ฐานทัพใหญ่ในอดีตถูกตีแตกย่อยยับมานานแล้ว สบเมยยามนี้จึงไม่มีเสียงปืนและไม่มีสงคราม แต่ใครจะรู้ได้ว่า เมื่อฤดูแล้งมาถึงเสียงปืนจะดังขึ้นอีกครั้งหรือไม่ เพราะที่ใดมีการกดขี่ ย่อมมีการต่อต้าน แม่น้ำคงวันนี้ไม่มีศพของนักรบลอยมาตามน้ำ และไม่มีเสียงปืน จะมีก็เพียงแต่คนหาปลาที่ดำรงชีวิตอยู่กับลำน้ำที่เงียบสงบสายนี้เท่านั้นเอง แต่มันจะเป็นอย่างนี้อีกนานไหมก็คงไม่มีใครตอบได้  “เมื่อไหร่หนอแนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนแปลง” มันเป็นคำถามที่เขาถามตัวเอง ก่อนจะเอนหลังลงกับพื้นดิน เพื่อนอนพักเอาแรง หลังจากที่ต้องกรำศึกหนักกับการเดินทางทั้งทางน้ำและทางบกมาทั้งวันเขาแอบหวังว่าเขาคงผ่านคืนวันแห่งฝันร้ายคืนนี้ไปได้ด้วยดี…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
นาโก๊ะลี
นานมาแล้วกระมังที่เราทั้งหลายได้ยินได้ฟังคำกล่าวที่ว่า ความหลากหลายคือความงดงาม  หมายถึงความหลากหลายในแง่ไหนบ้างเล่าที่ผู้คนกล่าวถึง  ว่าก็คือ ความคิด อุดมคติ อุปนิสัย พื้นเพ ที่มา  วิธีคิด สติปัญญา  ว่าก็คือทุกอย่างมันก็ต่างกันทั้งนั้น  และนั่นก็อาจหมายถึงความหลากหลายด้วย  นั่นก็ใช่ ใช่หรือไม่  ตามคำกล่าวที่ว่า ความหลากหลายนั้นงดงาม  ว่ากันไป เปรียบเปรยถึงป่าเขาลำเนาไพร  หากมีต้นไม้เพียงอย่างเดียว มันก็ไม่งาม เท่านั้นยังไม่พอ มันยังทำให้ผืนดินตรงนั้นสูญเสียความสมดุลไปด้วย  ก็ด้วยป่าที่งามนั้นมันมีต้นไม้นานาพันธ์  ใหญ่น้อย สูง ต่ำว่ากันไป อยู่ตามที่ๆ ตนควรอยู่ ที่ๆ เหมาะสมกับการเจริญเติบโต  ทั้งหมดนั้นก็ถูกแล้วหรือไม่  ท่านทั้งหลาย
ชิ สุวิชาน
“พี่น้องครับ พี่ชายคนนี้ยังคงทำหน้าที่ต่อ ณ ตรงนี้ครับ ขอมอบเวทีต่อให้พี่ครับ” ผมพูดจบผมกลับไปที่นั่งของผมเพื่อเป็นคนดูต่อแม่น้ำสายนี้ยังคงไหลไปตามกาลเวลาฯ....................................................ฉันผ่านมา  ผ่านมาทางนี้ ผ่านมาดูสายน้ำ.............ได้รู้ได้ยิน..............ฯบทเพลงแรกผ่านไปต่อด้วยสาละวิน สายน้ำตาเสียงปืนดังที่กิ่วดอยลูกชายไปสงครามเด็กน้อยผวาตื่น(ทุกคืนๆ)
สวนหนังสือ
‘นายยืนยง’ ชื่อหนังสือ      :    คลื่นทะเลใต้ประเภท    :    เรื่องสั้น    จัดพิมพ์โดย    :    สำนักพิมพ์นาครพิมพ์ครั้งแรก    :    ตุลาคม  พ.ศ. ๒๕๔๘  ผู้เขียน    :    กนกพงศ์  สงสมพันธุ์, จำลอง ฝั่งชลจิตร, ไพฑูรย์ ธัญญา, ประมวล มณีโรจน์, ขจรฤทธิ์ รักษา, ภิญโญ ศรีจำลอง, พนม นันทพฤกษ์, อัตถากร บำรุง เรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตในเล่ม คลื่นทะเลใต้เล่มนี้  ทุกเรื่องล้วนมีความต่าง จากแนวเพื่อชีวิตดั้งเดิมอยู่บ้างในบางส่วน แม้โดยตัวละคร ฉาก บรรยากาศ น้ำเสียงของผู้เขียน และองค์ประกอบอื่น แต่ในความเหมือนเราก็จะได้เห็นความต่าง อาจเปรียบได้ว่า วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตมีการปรับกระบวนท่าอยู่ตลอดเวลา เปรียบเป็นประตูบานใหม่ที่เปิดให้ห้องเพื่อชีวิตรับแสงสว่างจากโลกเบื้องนอก..บานแล้วบานเล่า  และประตูบานนั้นของจำลอง ฝั่งชลจิตรจากเรื่องสั้น สิ่งซึ่งเหลือจากพ่อ ได้รับรางวัลโล่เงินในการประกวดเรื่องสั้น โครงการหอสมุดเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (ครูเทพ) ปี ๒๕๒๖ เป็นประตูบานใหญ่ทีเดียวเมื่อเปรียบกับเรื่องสั้น ผ้าทอลายหางกระรอกซึ่งได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๒๓         แม้ผ้าทอลายหางกระรอกจะมีความเป็นเพื่อชีวิตมากเพียงไร แต่หากพิจารณาถึงการเลือกใช้เหตุการณ์ของความรักเป็นเบื้องหลังหนึ่งของเรื่อง ซึ่งอาจดูเหมือนจะช่วยผ่อนคลายความเคร่งเครียดของเรื่องแนวดังกล่าวลงบ้าง แต่จริง ๆ แล้วการเลือกเช่นนั้นกลับเทน้ำหนักให้คิดไปในแนวทางที่เขม็งเกลียวความเคร่งมากยิ่งขึ้นแน่นอนว่า เรื่องแนวเพื่อชีวิตมีลักษณะเด่นที่ศีลธรรมของเรื่อง ซึ่งมักผูกโยงให้เห็นความขัดแย้ง ๒ ขั้ว คือฝ่ายนายทุน ข้าราชการ ซึ่งเป็นผู้ร้ายตลอดกาล กับอีกขั้วคือ “ไพร่ฟ้า”ประชาชนที่มีใบหน้าของการถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดกาลอีกเช่นกัน แต่วิธีการของจำลองในเรื่องผ้าทอลายหางกระรอกนั้น ทำให้คิดไปได้ว่า โศกนาฏกรรมของการเอารัดเอาเปรียบนั้นได้เริ่มต้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ประหนึ่งว่าการกดขี่ข่มเหงเริ่มตั้งแต่ไก่โห่ มันติดตัว “ไพร่ฟ้า”มาตั้งแต่เกิดราวกับเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อน เห็นชัดเจนได้จาก ความมุ่งหมายของกานดากับจรูญที่จะแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกัน แน่นอนอยู่แล้วที่คู่รักจะต้องมีลูก แต่การที่จรูญตั้งอกตั้งใจทอผ้าลายหางกระรอก เพื่อเป็นชุดเจ้าสาวของตัวในวันแต่งงาน เขาก็ถูกเงื่อนไขของนายทุนคือเถ้าแก่หว่า ที่ว่าชาวบ้านที่ทอผ้าต้องขายผ้าให้เขา เพราะเขาเป็นคนซื้อเส้นด้ายมาป้อนให้ทอแต่เพียงผู้เดียว เมื่อจรูญต้องซื้อผ้าทอลายหางกระรอกซึ่งเขาเป็นผู้ทอเองกับมือต่อจากเถ้าแก่หว่าด้วยราคาแพงอย่าน่าตกใจตาย และสุดท้ายจุดเริ่มต้นของการกดขี่จากขั้วนายทุนก็เริ่มขึ้นอีกครั้งนับว่าเรื่องสั้นนี้ จำลองเลือกหยิบเหตุการณ์ที่ไม่ซ้ำกับเรื่องสั้นเพื่อชีวิตแบบดั้งเดิม แต่เนื้อหาหรือศีลธรรมของเรื่องยังคงใช้เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) ได้เมื่อเปรียบกับเนื้อหาของเรื่องสั้นแบบเก่า ยังมีจุดเด่นอีกข้อหนึ่งที่จำลองพยายามลบใบหน้าของเรื่องสั้นเพื่อชีวิตของตัวเอง คือการเปรียบเปรยในหน้า ๖๕ นกเป็ดแดงฝูงหนึ่งกำลังดำหัวกินดอกสาหร่าย พอได้ยินเสียงคนมาก็บินพรึบ ๆ ขึ้นฟ้า  ส่งเสียงร้องแพ็บ ๆ หายไปท่ามกลางแผ่นฟ้าสีครึ้ม นกพวกนี้ทำรังอยู่ในกอหญ้ารกในทะเลสาบ มีจำนวนเป็นหมื่น ๆ ตั้งแต่ทะเลน้อยถึงลำปำ ยิ่งฤดูที่สาหร่ายออกดอกออกลูก นกพวกนี้ชุมที่สุด นกเป็ดหอม นกเป็ดลาย จะมาเมื่อปลายฤดูฝนจนทะเลสาบมีเสียงอึงมี่ เล่ากันว่า นกเป็ดหอม นกเป็ดลายมาจากทางเหนือของจีน เกาหลี ญี่ปุ่น... พอแล้งก็บินกลับถิ่นฐานเหลือแต่นกปีกแดง กับนกเป็ดผีให้เฝ้าทะเลสาบ หากไม่ถูกมือดีดับชีพเสียก่อน... หากย่อหน้าที่ยกมาจะไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงภูมิความรู้ของจำลอง ก็อาจเป็นการใช้สัญลักษณ์เปรียบเปรยผู้คนสองกลุ่มในเขตลุ่มทะเลสาบ นั่นก็สอดคล้องกับตัวละคน ๒ ขั้ว คือชาวบ้านกับนายทุน หรือไม่ใช่?...จากเรื่องผ้าทอลายหางกระรอก เราจะเห็นได้ชัดว่าประตูบานนั้นของจำลองเปิดออกไปสู่สิ่งใด? เพื่ออะไร? และแน่นอนว่ามันได้เปิดออกจริง!เรื่อง สิ่งซึ่งเหลือจากพ่อนั้น จำลองได้ใช้วิธีการเล่าแบบสบาย ๆ ไม่เน้นการจัดวางองค์ประกอบตามสูตรดั้งเดิมเพื่อเดินไปหาจุดมุ่งหมายของเนื้อหา คือการวิพากษ์วิจารณ์ประเพณีการจัดงานศพที่จงใจให้เป็นเรื่องการค้ากำไรโดยไม่จี้ไปที่จุดขัดแย้ง ราวกับปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา และด้วยน้ำเสียงของการเปรียบเทียบแบบประชดประชัน ดันทุรัง กระทบนั่นนิดนี่หน่อย และการใช้คำอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อเรียกร้องอารมณ์ร่วมจากผู้อ่าน จนได้บรรยากาศของคำว่าจริงใจไปเต็มกระบุงนั้น นอกจากเป็นการเปิดประตูบานใหญ่จากห้องเพื่อชีวิตแล้ว เขายังได้ทำให้กระบวนความแหลมคมบิดเบี้ยวไปเลย นอกเหนือจากลีลาการเขียนเหมือนอย่างหลงคารมตัวเองไปอีกข้อหนึ่ง ข้อสังเกตต่าง ๆ ที่มีต่อประตูแต่ละบานของนักเขียนในเล่มคลื่นทะเลใต้นั้น ไม่ได้เรียกร้องให้สงวนแนวทางดั้งเดิมของวรรณกรรมเพื่อชีวิตแต่อย่างใด เราต่างก็ซาบซึ้งกันดีว่า โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ปัญหาและความซับซ้อนถูกกล่าวถึงจนปรุพรุนไปหมด ดังนั้นแนวคิดที่เอื้ออิงกับทฤษฎีสังคมนิยมแบบมาร์ซที่พบในวรรณกรรมแนวนี้คงไม่เพียงพอจะตอบสนองโลกที่หมุนอย่างทารุณนี้ได้ และแน่นอนวรรณกรรมก็ต้องแสวงหาแนวทางใหม่ตลอดเวลาเช่นกัน ซึ่งหากจะตัดสินว่าเป็นการสร้างสรรค์หรือไม่นั้น ผู้อ่านย่อมอุปมาเองได้        นอกจากเรื่องสั้นที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีเรื่องสั้นที่ดำเนินเรื่องตามแนวทางดั้งเดิมอีกเรื่องหนึ่ง คือ นักมวยดัง ของ ขจรฤทธิ์  รักษาซึ่งเรื่องนี้ได้รับรางวัลวรรณกรรมยกย่องประเภทเรื่องสั้น ประจำปี ๒๕๓๓ จากสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยเรื่องนี้เล่าเรื่องเป็นเส้นวงกลม คือเริ่มต้นและจบในจุดเดียวกัน ขณะที่ขจรฤทธิ์ได้เลือกหยิบแง่มุมเดียวที่ชัดเจน แหลมคม เพื่อพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีด้วยน้ำเสียงแบบโศกนาฏกรรม เป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ที่ยอมฆ่าความนับถือตัวเองเพื่อแลกกับเงิน แลกกับบางอย่าง โดย ๒ ตัวละครที่มีจุดหมายในชีวิตเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่คนอย่างพี่นงค์ นักมวยดังรุ่นพี่ “ยอม”เพื่อแลกเงิน กับ “ผม”นักมวยรุ่นน้อง “ยอม”เพื่อแลกกับศรัทธาในชีวิต  ถือเป็นเรื่องสั้นที่น่าอ่านยิ่ง ด้วยภาษากระชับ กินความอย่างองอาจ หนักหน่วงเหมือนหมัดของนักมวยบนสังเวียนแห่งชีวิต ซึ่งจับคู่ได้กับเรื่องสั้น ว่าวสีขาวของ ประมวล มณีโรจน์เป็นเรื่องที่ได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๒๓ ที่พูดถึงความเป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ พูดถึงศักดิ์ศรีและความไม่ยอมแพ้ซึ่งเป็นศักยภาพที่น่ายกย่องของมนุษย์เป็นโศกนาฎกรรมของเด็กชายผู้หัวไม่ดี แต่เก่งกาจกับเรื่องที่อยู่นอกโรงเรียนอย่าง “ก็อง”จุดที่แสดงอารมณ์สูงสุดของเรื่องอยู่ตรงช่วงที่ก็องปีนต้นไผ่ลำเท่าแขนเด็กเพื่อโน้ม โหนตัวไปเอาว่าวสีขาวที่ปลิวไปติดอยู่บนยอดต้นกอหลาโอน ซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลม สุดท้ายก็องก็ได้ว่าวของเขาคืนแม้ร่างกายจะระบมด้วยแผลจากหนามเกี่ยวตำ แต่ “รอยยิ้มแห่งชัยชนะก็แต้มพราวบนริมฝีปากดำเกรียม” ตลอดทั้งเรื่อง ประมวลได้ใช้กลวิธีที่แยบยลเพื่อพูดถึงศีลธรรมของเรื่องอย่างที่เรียกได้ว่า ไม่ยัดเยียด หรือเทศนา แต่อย่างใด นอกจากนี้เขายังใช้พลังในการสร้างสรรค์ได้เต็มเปี่ยม เพื่อปลุกเร้าจิตวิญญาณที่หลับใหลอ่อนแอให้ลุกขึ้นสู้ได้ วิธีการที่แยบยลดั่งเป็นเรื่องที่หลุดออกมาจากชีวิตจริงหรือแนวสัจจะนิยมนี้ มักได้ใจจากผู้อ่านท่วมท้น เช่นเดียวกับเรื่อง คลื่นหัวเดิ่งของ พนม นันทพฤกษ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๒๒ ที่พูดถึงเรื่องเดียวกัน แต่พนมได้เน้นให้เห็นถึงต้นเหตุหรือภูมิหลังของเรื่องราวอย่างเป็นเหตุเป็นผล แม้จะยังแบ่งขั้วขัดแย้งเป็น ๒ คือนายทุนกับชาวบ้านเช่นเดิม แต่ชาวบ้านกลับไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำและยืนหยัดลุกขึ้นสู้ ความคล้ายกันระหว่างเรื่องว่าวสีขาวและคลื่นหัวเดิ่งคือการชี้ทางออกให้กับปัญหาที่นำเสนอ ด้วยการไม่ยอมและลุกขึ้นสู้ด้วยศักยภาพของตัวเองนั่นเองส่วนเรื่องที่มีวิธีการเล่าเรื่องแบบเนิบนาบอย่าง ขวดปากกว้างใบที่ยี่สิบเอ็ด ของ อัตถากร บำรุง ที่ได้รางวัลช่อการะเกด ปี ๒๕๓๕ นั้น ไม่เน้นการวางโครงเรื่องตามแบบดั้งเดิม ไม่เน้นจุดขัดแย้งของเรื่อง แต่เป็นการเล่าด้วยน้ำเสียงกระทบกระเทียบและคาดหวังต่อตัวละครในเรื่องที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งต้องการยาปลุกสมรรถภาพทางเพศจากหมอยาพื้นบ้านผู้ชรา อัตถากรเล่าโดยไม่กระตุ้นให้ผู้อ่านใฝ่หาแต่จุดจบของเรื่องอย่างเดียว แต่เขาใช้วิธีการกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านไปเรื่อย ขณะเดียวกันก็มีเสียงที่เรียกร้องจากหมอยาพื้นบ้านผู้ชราอยู่เป็นเนือง ๆ  เสียงเรียกร้องดังกล่าวนั้นแสดงนัยยะของอัตถากรเอง ซึ่งได้พูดถึงความซื่อสัตย์และจิตสำนึกที่ดีงาม โดยเขาได้บอกผ่านคำพูดของหมอยาพื้นบ้านผู้ชราในหน้า ๑๖๕ ว่า “คุณอาจจะไม่เข้าใจ นี่มันเป็นรายละเอียดของเรื่องจริยธรรม...มันเหมือนกับจิตสำนึกของนักการเมืองที่ดี ซึ่งควรจะซื่อสัตยต่อประชาชนของเขา” อัตถากรยังคาดหวังแม้ในบรรทัดสุดท้ายของเรื่องโดยทิ้งประโยคในจิตสำนึกของผู้อำนวยการขณะขับรถกลับออกจากบ้านหมอยา ที่เสียงหัวเราะของหมอยาชรายังคงกังวานอยู่ว่า “มันช่างชัดเจนราวกับว่า เขากำลังหัวเราะอยู่เอง...”        เห็นได้ว่ารวมเรื่องสั้นคลื่นทะเลใต้เป็นกระบวนเรื่องสั้นแนวเพื่อชีวิตที่กำลังขยับปรับเปลี่ยนวิธีไปจากเดิมแทบทุกเรื่อง และโดยวิธีของนักเขียนมือรางวัลแต่ละคนก็ล้วนแสดงออกถึงลักษณะจำเพาะของทัศนะคติในนักเขียน ถึงตัวละคร ฉาก บรรยากาศในแต่ละเรื่องจะมีลักษณะเป็น “ใต้”ตามแนวคิดของคณะผู้จัดพิมพ์ และนักเขียนก็ประณีตบรรจงในการถ่ายทอดภูมิปัญญา วิถีชีวิตอย่าง “คนใต้”ออกมาด้วยทัศนะที่ทั้งรักทั้งชังนั้น แต่ภายใต้ความเป็น“ใต้”เหล่านั้นเอง ที่ประกาศให้เรื่องสั้นเหล่านั้นยังคงน่าอ่าน น่าชื่นชมมาจนทุกวันนี้.    
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว  จะถอดเครื่องยนต์ออกใช้เป็นเเครื่องยนต์ขับเคลื่อนรถอีแต๋นก็ได้ ทำเป็น เครื่องเรือก็ได้ และครั้งนี้ที่เราเห็นเป็นเครื่องสูบน้ำก็ยังได้อีกแดดสายไล่แดดเช้าออกไปแล้ว เครื่องจักรลูกหมาทำหน้าที่สูบน้ำในบึงออกอย่างเต็มกำลัง ความสามารถ  วันนี้ชาวบ้านนัดกันจับปลาที่บึงปลายนาท้ายวัดเมื่อคืนปู่จึงมาช่วยเขาสูบน้ำออกจนเช้า  เด็กๆ ทั้งหมู่บ้านต่างก็รอคอยวันวิดปลาของหมู่บ้านกันอย่างใจจดใจจ่อกันแรมปีในบึงน้ำพร่องไปจนเหลือเป็นตมและเศษไม้เห็นปลาน้อยใหญ่ดิ้นไปมาน่าตื่นเต้นเสียจริง ตาไข่ดับเครื่องจักรลูกหมาที่สูบน้ำอยู่แล้วหันหน้ามายิ้มเพื่อบอกสัญญาณเริ่มต้นการจับปลากันเสียที ปู่ยิ้มตอบแล้วหันมายิ้มกับพวกเรา  ในมือของเรามี “โพง” “นาง” “สุ่ม” และ “ข้อง” ที่ย่าฝากติดมือมาให้ปู่ด้วย   ปู่บอกผมว่า “โพง” เอาไว้วิดน้ำ  “นาง” เอาไว้ตักปลา  “สุ่ม” ก็ใช้สุ่มครอบปลาไว้ และ “ข้อง” ใช้ใส่ปลาที่จับได้อย่างนี้พลางทำท่าทางประกอบดูน่าขันจนเราหัวเราะท่าทางของปู่  ก่อนลงตมจับปลาปู่บอกให้พวกเรากินข้าวที่ย่าใส่ปิ่นโตมาให้ก่อน มื้อนี้เป็นแกงพุงปลากับน้ำชุบแมงดาและผัก  บอยกินเร็วกว่าใครเหมือนเคย ส่วนผมก็หลังคนอื่นเช่นเคยเหมือนกัน  กับข้าวของย่าอร่อยทุกวันแม้จะไม่มีให้เลือกเหมือนเวลาแม่พาไปซื้อในตลาด บ่าวกับผมเริ่มชินกับอาหารรสจัดของย่าแล้ว ต่างกับวันแรกๆ ที่ต้มส้มเป็นอาหารจานเด็ดอย่างเดียวของเราตะวันสายโด่อยู่กลางท้องฟ้าสีคราม ปู่นำทางเราลงสู้ศึกจับปลากลางโคลนพร้อมอุปกรณ์ในครั้งนี้ เราเดินตามปู่ลงไปเหมือนลูกเป็ดที่เดินตามแม่ของมันไปหาอาหารไม่มีผิด คนเริ่มเยอะแล้วปู่จึงเริ่มจับอย่างไม่รอช้า“น้องๆ ทางนี้ๆ” ผมหันรีหันขวางก็เห็นจ้อยโบกมือเรียกอยู่อีกฝั่งหนึ่งของบึง“ครับๆ” ผมตอบรับแดงกับจ้อยตามพ่อมาตามความคาดหมาย ทั้งสองสะพายข้องไว้ข้างลำตัวคนละอันเตรียมพร้อมสำหรับจับปลากลับบ้านอย่างพร้องพรึง เผลอแป็บเดียวย่าก็ตามมาจับปลาอยู่ข้างปู่เสียเมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้ ใบหน้าและเนื้อตัวของปู่และย่าเลอะโคลนไปทั่วเหมือนๆ กับเรา  ผมกับบ่าวหัวเราะทันทีที่หันไปเห็นทั้งคู่“ทางโน้นๆ ไอ้ช่อนๆ” บอยชี้ไปที่ไอ้ช่อนขณะที่มันกระเสือกกระสนตะลุยโคลนอยู่อีกทางหนึ่ง“สุ่มเลยๆ เร็วเข้าเห็นหรือยัง?” จ้อยลุกลี้ลุกลนพลางชี้มาทางผมผมกับบ่าววิ่งผ่าโคลนไปช่วยกันสุ่มไว้ ไอ้ช่อนกระดุกกระดิกพรางตัวอยู่ในโคลน ผมกับบ่าวเอามือกดสุ่มไว้แน่นแล้วเอามือควานหาไอ้ช่อนตามคำบอกของจ้อยแต่ไม่เจอ“ฉันเองๆ” จ้อยวิ่งรี่เข้ามา มือของจ้อยควานหาไปทั่วสุ่มรู้สึกเหมือนจะโดนตัวไอ้ช่อนเข้าแล้วแต่ยังจับไม่ได้ “หลุดไปแล้วๆ” จ้อยโหวกเหวกขึ้นเสียงดัง ขณะที่เห็นมีอะไรก็ไม่รู้กระดุกกระดิกอยู่นอกสุ่ม  บอยกระโดดพุ่งมาจากข้างหลังล้มตัวลงในโคลนกระฉูดเลอะเพื่อนๆ จนเลอะกันทั่วหน้า แดงหัวเราะนำเพื่อนๆ ไปก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะตามกัน“ได้แล้วๆ” บอยชูปลาในมือเปื้อนโคลนขึ้นอวด เพื่อนๆ หัวเราะลั่นกันอีกครั้ง“ไม่ใช่ไอ้ช่อนนี่...นั่นมันปลากระดี่” เสียงหัวเราะของคนในบึงนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กันเมื่อหันมาเห็นหน้าตาของเจ้าบอยกับปลากระดี่ในมือ“โน่นอีกตัว”บ่าวชี้มาทางผม  ผมตะครุบมันโดยไว“โน่นอีกตัว”“อีกตัว”“ได้อีกตัวแล้ว”เราเลอะเทอะจนดูมอมแมมไปหมด  ทุกคนมีปลาหลายชนิดรวมกันแล้วเต็ม “ข้อง” มีปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ ปลาโอน(ปลาเนื้ออ่อน) ปลากระดี่ ปลาไหล ฯลฯ สารพัดปลา  ย่าจับได้เต่ามาด้วย ผมจะเอาไปเลียงไว้ในบ่อหลังบ้านบอยดวงตะวันคล้อยบ่ายมากแล้ว ในบึงเละไปด้วยรอยย่ำของผู้คน หลงเหลือไว้แต่ลูกปลาตัวเล็กๆ และโคลนตมรอคอยน้ำหน้าฝนระลอกใหม่“หน้าฝนน้ำมา ลูกปลาพวกนั้นก็จะโตขึ้น” ปู่ยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่ด่างไปด้วยโคลนสีดำ“กว่าน้ำจะมามันจะไม่ตายเสียหรือครับปู่”“ไม่หรอก มันจะฝังตัวอยู่ในโคลน เอาความชุ่มชื้นนั้นรักษาชีวิตไว้”“จริงหรือครับ?”“จริงสิ...ปีหน้าปลาพวกนี้จะโตขึ้น แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันสูบน้ำกันอีกในหน้าแล้ง  เป็นที่รู้กันว่าหน้าแล้งอย่างนี้เราจะมาช่วยวิดปลากัน” ปู่อธิบายแล้วลูบหัวผมแผ่วเบาแล้วหันไปโปรยยิ้มให้ย่า“รีบกลับเถอะ  เย็นนี้ย่าจะต้มส้มปลาโอนที่น้องชอบให้กินอีก”“ครับย่า” ผมรับคำย่าแล้วหันไปโบกมือลาแดงกับจ้อยและเพื่อนๆ     

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม