Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

กวีประชาไท
สตรีเหล็กนาม... “วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์" รัก...พิทักษ์ความเป็นธรรม มิเคยพรั่นหลอมชีวิต ร่วม " ลุ ก ขึ้ น สู้ " ตราบนิรันดร์เป็นนักรบแห่งชนชั้น ร่วมลงแรง"สหาย ม ด...วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์" คือนักรบประชาชน ชีพงามแกร่งจิตวิญญาณ หัวใจเพื่อนจึงสำแดงเป็นนักรบแห่งชนชั้น ชีพยอมพลี...รู้ รู้อยู่ว่า สหายไม่สบายด้วยโรคร้ายมาทำลายชีพวิถีโอ...ผองเพื่อนพี่น้องทั่วปฐพีล้นหลามชีพชีวีให้ พ ลั ง ใ จ"สหาย ม ด...วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์"โลกประจักษ์ ชีวาเธองามยิ่งใหญ่ชั่วชีวิตเธออุทิศให้คนยากไร้ได้เป็นไท มิใช่ทาสเผด็จการ !!!!...สมัชชาคนจน, บ่อนอก - หินกรูดและจะนะ -สงขลาแลแด่พี่น้องชนเผ่า หลอมชีวาจิตเหิมหาญคารวะ..."ส หา ย ม ด" ผู้แต่งแต้มสืบสานมั่นตำนานโลกขับขานบทเพลงเปล่งคารวาลัย...คืนสู่ดินแล้ว..."สหาย ม ด... วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์"...คืนสู่ดิน...แม่พระธรรมชาติชีวินแซ่ซร้องอวยพรให้โลกเอกภพจักรวาลอวยพรชัยสหายเอย...ประชาชนพร้อมสืบสานความเป็นไท แด่..."สหาย ม ด...วนิดา ฯ ประชาชนพร้อม "ลุกขึ้นสู้"เพื่อสืบสานอุดมการณ์ที่งดงามแห่งสหายผู้ใ จ งา ม !!!ด้วยดวงจิตคารวะ – คารวาลัย อดีตสหายรัตน์ ... แ ส ง ดา ว  ศ รั ท ธา มั่ นต้นฤดูหนาว ,6 ธันวาคม 2550ล้านนาอิสระ , เจียงใหม่ ภาพประกอบจาก http://www.thaingo.org/man_ngo/mod.htm
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
โอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปไกลลิบลับไม่กลับมาจากไปแล้วหนา...วนิดา คนดีคนดีของคนยากของแผ่นดินยุคทมิฬ รัฐ บรรษัท ทำบัดสีถืออำนาจอยุติธรรมคอยย่ำยีขยำขยี้คนจนปล้นทรัพยากรสารพัดในนามของความผิดที่เขาคิดมากล่าวหามาถอดถอนเพื่อขับไล่ไสส่งจากดงดอนจากสิงขร จากน้ำฟ้า ป่าบรรพชนด้วยกฎหมายที่เขาตราขึ้นมาเองใช้เป็นเหตุยำเยงทุกแห่งหนที่มาดหมายครอบครองเป็นของตนขับไล่คนเหมือนหมูหมาเหมือนกาไก่เธอจึงเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้อยุติธรรมแด่ผู้ที่ยากไร้ทั้งชีวิตอุทิศทั้งกายใจควรกราบไหว้ควรเชิดชู ควรบูชาโอ้ นางฟ้าของคนยากจากไปแล้วดั่งดวงแก้วตกต้องแผ่นผาจากไปแล้วคุณคนดี วนิดาต่อแต่นี้น้ำตา...คนยากไร้ ใครจะซับ.7 ธันวาคม 2550กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่  ภาพประกอบจาก http://www.thaingo.org/man_ngo/mod.htm
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
วันอมาวสีครั้งต่อไป 10 ธันวาคม 2550 นะคะ“น้ำใจให้น้องปิ่น” เด็กหญิงพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ทุกคนในครอบครัวยังมีความหวังและมองโลกในแง่ดีเสมอ อ่านเรื่องของน้องปิ่นกับแม่ได้ที่นี่ สนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือตามกำลังศรัทธาได้ที่หมายเลขบัญชี 05-3405-20-093267-0น.ส.สีไวย คำดา เพื่อ ด.ญ.วรัญญา ฟินิวัตร์    ธ.ออมสิน สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่    “สมทบทุนค่าอาหารและรักษาพยาบาลหมาแมวพิการ ป่วยไข้ ถูกทอดทิ้ง ตามกำลังศรัทธา”เลขที่บัญชี 1210101483 น.ส. นันท์ธนัตถ์ จิตประภัสสรธ กรุงไทย สาขาบางบัวทอง    หรือจะส่งเป็นอาหารหมาแมวก็ได้ค่ะ ที่97 หมู่ 2 บ้านหนองคาง ต.หนองราชวัตร อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี 72240
มูน
“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่นหลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้” เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักทีพ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืมตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี นครสวรรค์ เรื่องของชายหนุ่มกับการต่อสู้อะไรสักอย่างจำไม่ได้ พระเอกสองคนชื่อ อมิตาป ปัจจัน กับทราเมนเดอร์ นางเอกคือเฮม่า มาลินี เป็นการเข้าโรงหนังครั้งแรกในชีวิต ฉันจึงดูด้วยความตื่นเต้นตาโตตลอดเรื่อง แทบร้องไห้สงสารนางเอกที่ถูกบังคับให้ร้องเพลงและเต้นรำเท้าเปล่าบนพื้นที่มีเศษแก้วกระจายเกลื่อน พอหนังจบฉันก็เหนื่อยจนหลับ พ่อจึงอุ้มพาดบ่าโหนรถเมล์กลับบ้านชีวิตและการต่อสู้ของลูกผู้ชายในหนังคงวนเวียนอยู่ในใจพ่ออีกหลายวัน ได้ยินพ่อฮัมเพลงจากเรื่อง “โชเล่ย์” อยู่บ่อยๆ “เย้ โซซิตี้ อั่มน้าฮี โตเลงเก้....” พ่อเป็นคนช่างฝัน และช่างเหงา บางครั้งจึงยึดเอาลูกสาวตัวเล็กๆ เป็นเพื่อน พ่อมักอุ้มฉันขึ้นนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปไหนๆ ด้วย งานที่ต้องบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย พ่อก็พาฉันไปโดยไม่สนใจเสียงของแม่ บ่อยครั้งที่ฉันต้องไปนั่งอยู่ข้างวงเหล้าที่มีต้มยำไก่ใส่ใบกัญชาชามโตอยู่กลางวง ฟังเรื่องคุยที่ฉันไม่เข้าใจ ดูคนเมาหลับไปทีละคน และกลับบ้านเมื่อพ่อตื่นขึ้นมาอีกที บางคืนก็ไปหลับกลิ้งอยู่บนเสื่อหน้าจอหนังกลางแปลงในงานวัดที่ไหนสักแห่ง บางทีพ่อก็แบกฉันไปตะโกนเชียร์แข่งเรือยาวในหน้าน้ำพ่อมักจะกลับบ้านดึก เมามายและหิวโหย ทุกครั้งพ่อจะตะโกนปลุกหรือเปิดมุ้งเข้ามาควักตัวฉันออกจากที่นอน พาเข้าครัวไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนพ่อ ส่วนใหญ่จะเป็นมาม่า ใส่อะไรก็ได้ที่หาได้ในครัว อาจจะเป็นเศษปลาทู เศษไข่เจียว บางทีก็เป็นผักที่ไม่เคยเห็นใครเขาใส่กัน เช่นผักชีล้อม ใบชะพลู ผักขะแยง หรือไม่ก็น้ำพริกน้ำแกงอะไรสักอย่างที่เหลือก้นถ้วยในตู้กับข้าว แต่แปลกที่อร่อยทุกทีมีบ้างที่กะละมังคว่ำก่อนกิน ถ้าบังเอิญแม่ตาสว่างและลุกขึ้นมาทะเลาะกับพ่อสำหรับแม่ พ่อมีดีอย่างเดียวคือไม่เคยตีลูกๆ เลยสักครั้งในชีวิต พ่อมีไดอารี่เก่าๆ เล่มหนึ่ง ปกแข็งสีเทา มีปฏิทินของปี ๒๕๐๒  ซึ่งคงเป็นปีที่พ่อได้สมุดเล่มนั้นมา แล้วพ่อก็ใช้สมุดเล่มเดียวบันทึกอะไรต่อมิอะไรอยู่หลายปีก่อนมีครอบครัว มีอยู่หน้าหนึ่ง พ่อเขียนไว้ประโยคเดียวว่า “วันนี้ข้าฯ ยังไม่รู้จะนอนที่ไหนเลย แต่ช่างมันเถอะ ตราบชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป”ตอนนั้นพ่อคงอยู่ในช่วงพเนจรร่อนเร่ มีภาพถ่ายเก่าๆ เสียบไว้ในปกสมุด ภาพหนึ่งพ่อยืนเต๊ะท่าสะพายกระเป๋าอยู่บนทางรถไฟที่ไหนสักแห่ง อีกภาพหนึ่ง พ่อนั่งชันขาอยู่บนราวสะพานริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีรอยยิ้มแจ่มใสอย่างที่ฉันไม่ได้เห็นบ่อยนักพ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อไปมีชีวิตล้มลุกคลุกคลานเพียงลำพังอยู่หลายปี และมักเขียนจดหมายทีละหลายแผ่นถึงฉัน เล่าถึงงานพิมพ์หนังสือ ทำฟาร์มไก่ ทำนาบัว ขายอาหาร งานรับเหมาก่อสร้าง ฯลฯ สารพัดความฝันที่ริเริ่ม แล้วก็ล้มเหลว แต่พ่อมักจะบอกว่า “ช่างหัวมัน” แล้วก็ฝันใหม่จนกระทั่งฉันทำงานมีเงินเดือน จึงส่งเงินให้พ่อตามที่อยู่หัวจดหมายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นานๆ พ่อจะถามถึงแม่และลูกชายอีกสองคนที่ห่างเหินไปเหมือนคนแปลกหน้า วันหนึ่ง พ่อดั้นด้นไปหาฉันถึงบ้านเช่าที่ขอนแก่น ไหล่สะพายกระเป๋าเก่าๆ ที่รูดซิปไม่ได้ แต่ยังอุตส่าห์ใช้เข็มกลัดติดไว้ “พ่อเอาเพื่อนมาด้วย” พ่อปลดเข็มกลัดแล้วควักเอาลูกหมาผอมกระหร่อง หน้าตาหงอยๆ ขึ้นมาตัวหนึ่ง“หลบกระเป๋ารถแทบแย่” พ่อบอก ฉันนึกทึ่งทั้งพ่อและลูกหมา ช่างระหกระเหินข้ามจังหวัดมาด้วยกันได้โดยไม่ถูกไล่ลงกลางทางเจ้าหมาน้อยถูกใครทิ้งมาไม่รู้ มันเดินเร่ร่อนหิวโซอยู่ข้างทางแถวๆ ร้อยเอ็ด พ่อเรียกมันว่า หมาน้อยพเนจร และตั้งชื่อว่า ทิวา เหมือนนักพากย์หนังอินเดียรุ่นเก่าชื่อทิวา-ราตรี แต่ฉันสมัครใจเรียกมันว่ามอมแมมมากกว่า วันๆ พ่อคุยกับเจ้ามอมแมม (ทิวา) มากกว่าคุยกับฉันเสียอีกมอมแมมโตขึ้นเป็นหมาสวยอย่างไม่น่าเชื่อ ตาโตสดใส ขนสีน้ำตาลเข้ม มีอานบนหลังเสียด้วย  “ไอ้ทิวามันหล่อ” พ่อบอกอย่างภูมิใจ บางวันพ่อนั่งดื่มอยู่คนเดียว พอครึ้มๆ ก็ร้องเพลงสลับกับรำพึงรำพันอะไรต่อมิอะไรให้เจ้ามอมแมมฟัง ซึ่งมันก็ช่างตั้งอกตั้งใจนั่งฟัง ฉันเสียอีกที่บางครั้งรำคาญจนต้องหนีเข้าห้องอย่างไรก็ตาม ฉันกับพ่อคุยกันได้มากขึ้น แม้จะไม่มากเหมือนพ่อลูกอีกหลายคู่ แต่ก็ดีกว่าช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา และแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการกินอยู่ของหมา(ทิวาของพ่อ) ก็ตาม ฉันนึกดีใจที่มีมอมแมมอยู่กับเราเช้าวันหนึ่ง บ้านเงียบกริบ พ่อกับมอมแมมคงยังไม่ตื่น ฉันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ออกมาเจอพ่อนั่งอยู่บนม้าหินหน้าบ้าน จ้องอะไรบางอย่างในมือ“อุ่นกับข้าวแล้วนะ ข้าวหมาอยู่บนหลังโอ่ง” ฉันบอกพ่อ แต่พ่อยังนั่งก้มหน้านิ่ง ฉันชำเลืองมองในมือพ่อ มันเป็นโซ่ติดกะพรวนที่ฉันซื้อมาให้พ่อห้อยคอมอมแมมตั้งแต่สองสามเดือนก่อน โซ่นั้นขาด ลูกกะพรวนบุบบี้ และมีคราบสีแดงคล้ำๆฉันรู้สึกมืออ่อนจนต้องวางแฟ้มงานในมือ“ทิวามันถูกรถชน” พ่อพูดเบาๆ “อาจารย์บ้านโน้นเขามาบอกพ่อ มันถูกชนตั้งแต่ตีห้า พ่อออกไปดูก็ไม่เห็นมัน เห็นเขาว่ารถเก็บขยะของเทศบาลคงเก็บไปแล้วตอนเช้ามืด พ่อเจอแต่โซ่”พ่อส่งโซ่ที่ขาดเหลือครึ่งเส้นให้ฉันแล้วเดินไหล่งุ้มไปหลังบ้าน ฉันรู้สึกเจ็บในคอจนต้องเดินกลับเข้าไปในห้อง ทรุดนั่งพังพาบอย่างหมดแรง ตั้งแต่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเก่าๆ ของพ่อ มอมแมมไม่เคยออกไปนอกบ้านเลย มันอยู่ข้างๆ พ่อเสมอ บางทีพ่อเรียกมันว่า “ไอ้เพื่อนยาก”ฉันน้ำตาไหลเมื่อนึกถึงคนที่ยังอยู่ พ่อคงจะเหงายิ่งกว่าเดิม และฉันก็คงไม่อาจทดแทนมอมแมมได้เลย
พันธกุมภา
- 1 - ข้าพเจ้าได้อ่าน บทเขียนของ “กลางชล” ในนิตยสาร “ธรรมะใกล้ตัว” ฉบับที่ 29 ประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550 http://www.dungtrin.com/mag  ซึ่งเป็นบทบรรณาธิการของนิตยสารดังกล่าว ที่ได้พาตัวข้าพเจ้าให้นำใจเข้าศึกษาและเรียนรู้ธรรมะจากนิตยสารธรรมเล่มนี้ในบทบรรณาธิการ “กลางชล” เล่าว่า ได้เสียงของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ดังขึ้นจากแผ่นซีดีว่า “การศึกษาธรรมะ คือการลงทุนให้กับชีวิตตัวเองนะ หลวงพ่อจะบอกให้ หลวงพ่อเองตอนอยู่กับโลก ก็ไม่ได้เป็นรองใครหรอก อยู่ในโลกก็มีความสุข แต่แล้วก็พบว่า ความสุขของโลกนี่นะ ไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องเลย...”อย่างตอนเด็ก ๆ เราก็คิดว่า ถ้าเราเอนท์ติดคณะนั้นคณะนี้ เราจะมีความสุข...ถ้าเรียนจบแล้ว เราจะมีความสุข... ถ้าได้เรียนต่อปริญญาโทด้วย เราจะมีความสุข...แล้วเราก็พบว่ามันก็อย่างนั้น ๆ จบมาแล้วก็ไม่เห็นจะสุขได้นานสักเท่าไหร่ ต่อไปอีก ถ้าได้งานดี ๆ เราจะมีความสุข... ถ้าได้เงินเดือนเยอะ ๆ เราจะมีความสุข...ถ้าตำแหน่งใหญ่ ๆ อีก เราจะมีความสุข... ถ้ามีแฟนสักคน เราจะมีความสุข...ถ้ามีครอบครัวดี ๆ เราจะมีความสุข... ถ้าลูกเราประสบความสำเร็จ เราจะมีความสุข...กระทั่งพอแก่ไป เจ็บป่วยทรมาน นอนทำอะไรไม่ได้แล้วอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลยังว่า ถ้าตายไปเสียได้ คงจะมีความสุข... หลวงพ่อท่านเคยฉายภาพให้ฟังอย่างนั้นการที่เราทะยานวิ่งไล่คว้าความสุขด้วยแรงผลักดันของกิเลสอยู่ตลอดชีวิต ก็ไม่ต่างอะไรกับลาที่เอาแต่จดจ้องเดินไปข้างหน้า เพื่อไล่คว้าแครอทที่ปลายไม้ โดยที่ไม่รู้เลยว่า มันจะไม่มีวันเอื้อมคว้าแครอทนั้นมาเข้าปากได้เต็มคำอย่างแท้จริงเมื่อไม่มีใครมองเห็นความสุขที่เหนือกว่า กระทั่งว่าสามารถตัดวงจรความทุกข์ทั้งหมดได้ ก็ไม่มีใครคิดแสวงหาวิธีการลงทุนเพื่อเป้าหมายสูงสุดเช่นนั้นนอกจากนี้ “กลางชล” ยังถามผู้อ่านอีกว่า มีใครเคยอ่านหนังสือชื่อดังเรื่อง “พ่อรวยสอนลูก” (Rich Dad Poor Dad) หรือไม่ ซึ่งมีอยู่ตอนหนึ่ง ที่ผู้เขียนเปรียบเทียบชีวิตมนุษย์เงินเดือนเหมือน “สนามแข่งหนู” (Rat Race) เขาเปรียบวลี “สนามแข่งหนู” เสมือนกับวังวนของการเป็นลูกจ้างที่ต่างคนก็เหมือนสาละวนวิ่งไปอย่างไร้จุดหมาย ด้วยอาการตะเกียกตะกายของ “หนู” คือวิ่ง ๆ ๆ ทำงานตัวเป็นเกลียว เพียงเพื่อได้รับเงินเดือนตอบแทนพอกินพออยู่ไปวัน ๆผู้เขียนบอกว่า แม้จะมีคนเห็นช่องทาง ชี้ทางออกไปสู่อิสรภาพจากสนามแข่งหนูแห่งนี้ให้ แต่ก็น้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อว่าอิสรภาพทางการเงินเช่นนั้นมีอยู่จริง และน้อยคนเหลือเกินที่แม้รู้ว่ามีอยู่จริง แล้วจะลุกขึ้นมาจนดีดตัวออกมาจากสนามแข่งนี้ได้หนังสือชื่อดังเล่มนี้ แนะนำคนอ่านให้หนีให้พ้นจาก “สนามแข่งหนู” หรือหลุดออกจากการมีชีวิตอยู่ด้วยเงินเดือนประจำ จากการเป็นลูกจ้าง ด้วยกลยุทธ์ “ให้เงินทำงาน” แทนที่เราจะเหนื่อยทำงานเพื่อหาเงินไปชั่วชีวิต“กลางชล” ท้าทายว่า “อันที่จริง ชีวิตมนุษย์เรา ก็ไม่ต่างอะไรกับสนามแข่งหนูอย่างที่ว่าไว้นั้นนักหรอกนะคะ ถ้าถอยขึ้นมามองอีกชั้น แม้จะออกมาจากสนามแข่งหนูได้แล้ว มั่นคงทางการเงินแล้ว เราก็ยังติดอยู่กับสนามแข่งมหึมาของสังสารวัฏ ที่หนีสุขทุกข์ หนีการเวียนเกิดเวียนตายไม่พ้น แทบจะไม่มีใครเคยมองเห็นว่า เราก็เหมือนหนูที่ติดกับดักอยู่ในสนามนั่นแหละดิ้นรน ตะเกียกตะกายวิ่งไล่หาความสุขกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วก็พอใจอยู่กับการได้เสพความสุขหยาบ ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปชาติหนึ่ง ชาติหนึ่ง”แม้จะมีบรมครูผู้ประเสริฐชี้ทางออกไปสู่อิสรภาพจากวงจรแห่งการเวียนเกิดเวียนตายนี้ให้ แต่ก็น้อยคนเหลือเกินที่จะเชื่อว่าการพ้นทุกข์ทางใจโดยสิ้นเชิงได้เช่นนั้นมีอยู่จริงและน้อยคนเหลือเกินที่แม้รู้ว่ามีอยู่จริง แล้วจะเพียรพยายามจนดีดตัวพ้นจากสังสารวัฏนี้ได้- 2 -เมื่อทราบว่า ชีวิตเรากว่าจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง และพ้นออกไปจากสังสารวัฎนี้ได้ ก็ถือว่าไม่ยากเสียทีเดียวสำหรับตัวเองที่จะเข้าถึงธรรมก่อนที่จะลิ้นลมหายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเรายังขาดไปอยู่คือ “การลงทุนศึกษาธรรมะ” ทั้งจากการทำความเข้าใจและการลงมือปฏิบัติให้ประจักษ์ด้วยตัวเอง“กลางชล” บอกว่า ถ้าใครเคยได้ยินโฆษณาของกองทุน เขาจะต้องมีประโยคที่อ่านเร็ว ๆ ปิดท้ายนะคะว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” - ธรรมะก็เหมือนกันคือ ถ้าจะเริ่มต้น ก็ควรต้องศึกษาให้เข้าใจหลักการและวิธีก่อน เพราะความเสี่ยงก็มีอยู่ตรงที่ ถ้าจับหลักผิด หรือไปยึดถือศรัทธาในแนวทางที่ไม่ถูกตรงเราก็มีสิทธิ์ดำเนินชีวิต หรือปฏิบัติไปด้วยความผิดเพี้ยน แล้วนับวันก็จะยิ่งออกอ่าว ลากเราห่างไปจากเป้าหมาย จนสุดท้าย อาจต้องขาดทุนอีกยาวกว่าจะเจอทางที่แท้จริงแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคำสอนอันไหนเป็นทางตรง เป็นทางที่แท้จริง? ขอให้เราศึกษาและยึดคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักให้แม่นไว้ดีที่สุด ธรรมะรุ่นหลัง ๆ นั้น มีการตีความ แปลความหมาย และแต่งตำรากันออกมามากมาย ถ้าไม่แน่ใจ ขอให้เปิดพระไตรปิฏกเทียบเคียงดูว่า เป็นวจนะของพระพุทธเจ้าจริง หรือดูเบื้องต้นว่า คำสอนนั้น เป็นไปเพื่อการลดละกิเลส เป็นไปเพื่อความเล็กลงของตัวตน ให้การปฏิบัตินั้นอยู่ในขอบเขตของกายใจ เป็นไปเพื่อละวางความเห็นผิดว่าตัวตนนั้นเป็นเราทีนี้เราจะลงทุนยังไงได้บ้างกับธรรมะ, ประเด็นนี้ “กลางชล” บอกว่า 3 อย่างที่ควรจะลงมือทำอย่างจริงจัง คือ  การทำทาน การรักษาศีล และการภาวนาโดยมีเงื่อนไขพิเศษคือ ลงทุนไปแล้ว ห้ามหวังผลตอบแทน เพราะผลที่รอให้เราเก็บเกี่ยวนั้น มันจะมาเองตามเหตุปัจจัยที่ได้ทำ สั่งให้เกิด ก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เกิด ก็ไม่ได้ แถมยิ่งโลภอยากได้มาก ผลตอบแทนยิ่งน้อยลงหากรู้ตัวว่าเป็นคนไม่ค่อยทำทาน หรือยังไม่ได้ทำทานจนเป็นนิสัย ก็ลองหมั่นหัดให้ออกมาจากใจ วันละเล็ก วันละน้อย โดยทำความเข้าใจไว้แต่ต้นก่อนว่า การทำทาน เป็นการสละความตระหนี่ถี่เหนียวออกจากใจไม่ใช่ทำเพื่อชื่อเสียงหน้าตา ไม่ใช่เพื่อล้างซวย หรือกระทั่งเพื่อโลภเอาบุญแล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องรวยก่อนถึงจะให้ได้ และไม่จำเพาะว่าจะต้องเป็นเงินเท่านั้น แต่เล็งแล้วว่าสิ่งที่เราอยากให้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ไม่ว่าจะเป็นของเล็กของน้อย  การบริจาคโลหิต อวัยวะ แรงกาย แรงใจ ความรู้ ธรรมทาน หรือกระทั่ง การให้อภัย ให้จนเหมือนจิตแผ่เมตตาออกไปก่อน อยากให้ก่อน เจอใครอยากได้อะไรค่อยว่ากันอีกทีอย่างนี้ ก็จะทำให้จิตอยู่ในสภาพที่สงบลงและเปิดกว้างเป็นธรรมชาติเบื้องต้นถัดมา รักษาศีล ให้ศีลเป็นเรื่องปกติของชีวิต ศีล 5 ศีลจะเป็นเสมือนกรอบล้อมรั้ว ไม่ให้เราล่วงเกินผู้อื่น ทั้งด้วยกาย และด้วยวาจา แล้วเมื่อเราเป็นผู้ไม่ก่อเหตุแห่งเวรภัย ประตูสู่อบายก็ย่อมปิดแคบลง เท่ากับศีลจะช่วยรักษาเราให้อยู่ในเส้นทางที่จะไม่ไหลลื่นลงต่ำได้ทางหนึ่ง และศีลก็จะเป็นเครื่องหนุนให้จิตเรามีความสงบตั้งมั่น เอื้อต่อการภาวนาต่อไปสุดท้าย แบ่งเวลาให้กับ การภาวนา ซึ่งไม่ได้แปลว่าการสวดมนต์อ้อนวอน แต่ “ภาวนา” แปลว่า การทำให้เจริญ คือการฝึกหรือพัฒนาให้เจริญขึ้น ซึ่งมีหลัก ๆ 2 อย่าง อย่างแรก ภาวนา แบบสมถะ อันนี้มุ่งเอาความสงบเป็นหลักเป็นการจับลิงที่ซุกซน อยู่ไม่สุข ไปโน่นมานี่ตลอดเวลา (คือใจของเราเอง) ให้สงบนิ่ง ด้วยการทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่น นั่งสมาธิดูลมหายใจไปก็ได้ พุทโธไปก็ได้ ที่ฟุ้งซ่านก็จะสงบ ที่เร่าร้อนก็จะสบาย ที่เป็นอกุศลก็จะเปลี่ยนเป็นกุศลแต่ถ้าเจออะไรกระทบหน่อยเดียว เดี๋ยวก็วิ่งหนีไปหลบอยู่ในถ้ำของความสงบทุกที แบบนี้ก็เห็นทีจะชนะกิเลสไม่ได้เสียทีหรอกค่ะ เราต้องออกไปเผชิญกับมันตัวต่อตัวนั่นก็คือ การภาวนาอย่างที่สอง ที่สำคัญและควรเจริญให้มาก คือ แบบวิปัสสนา  ซึ่งการเป็นภาวนาที่มุ่งเจริญปัญญาเพื่อให้เห็น “ความจริง” ของกายและใจ วิธีการก็คือ หมั่นเจริญสติ รู้สึกตัวให้บ่อย ๆ แต่คราวนี้ไม่ต้องไปบังคับลิงให้นิ่งแล้ว เพราะเป้าหมายคือ เราต้องการเห็น ความจริงของกายของใจ อย่างที่มันเป็นจริง ๆเริ่มต้นก็คอยทำความรู้จักกับสภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในกาย ภายในใจ ของเรานี้กายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ก็รู้... มีความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย ๆ เกิดขึ้น ก็รู้... มีราคะ โทสะ โมหะผุดขึ้น ก็รู้... มีสภาวธรรมใด ๆ เกิดขึ้น ก็รู้...คือพอมันเกิดแล้วก็รู้ให้ทันไว ๆ อย่างเป็นกลาง อย่างเป็นคนวงนอกนั่งดูละครเรื่องกายใจอย่าโดดเข้าไปเล่นด้วย อย่าไปสั่งคัท อย่าไปสั่งแอ็คชั่น แต่ดูมันเปลี่ยนแปลงของมันเองดูไปอย่างไม่คาดหวัง จนกระทั่งวันหนึ่งเราจะเห็นเองว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรามันเป็นเพียงของชั่วคราว เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเข้าใจความเป็นจริงของกายของใจว่าไม่ใช่ตัวเราแล้ว จะหมดความดิ้นรนและจิตที่หมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่งนั้นเอง จะเป็นอิสระพ้นจากทุกข์ทั้งปวงหลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกว่า “ถ้าเราภาวนาเป็น เราจะรู้เลยว่า ถ้าหากเราไม่มีโอกาสได้ภาวนา เราจะเสียโอกาสอย่างร้ายแรงที่สุดในชีวิตแต่ถ้าเราภาวนาไม่เป็นทั้งชาติ เราจะไม่รู้สึกอย่างนี้หรอก..เราก็จะรู้สึกว่าเราโอกาสดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มันเป็นการลงทุนให้ชีวิตตัวเองนะ ค่อย ๆ เรียนธรรมะไป ถ้าเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อบอก จิตใจเกิดสติขึ้นมาเกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา อีกหน่อยจะรู้เลยว่า ศาสนาพุทธนั้น มีประโยชน์มหาศาล”- 3 -ข้าพเจ้าได้ลองนั่งคิด ทบทวนดู แล้วพบว่าการที่คนๆ หนึ่งเกิดมานั้น เมื่อเราไม่ได้เกิดมาเป็นเดรัจฉาน-เปรต-ภูต-ผี-ปีศาจ นั้น ย่อมหมายว่า หากเราเป็นมนุษย์แล้ว เราสามารถพาดวงจิตที่อยู่ใน “กายเนื้อ” นี้ เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงธรรมและปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นได้ ซึ่งหากเราเกิดมาเป็นคน และตายไปนั้น แม้ว่า “กายเนื้อ” เราจะตายไป แต่ “จิต” ของเรายังคง “เป็นอยู่” ยังไม่ได้ตายไปจริงๆ เพราะเรายังคงจะต้องเวียนว่ายไปมาในสังสารวัฎต่อไป ไม่ว่าจะไปนรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ มนุษย์ เทวดา หรือพรหมซึ่งหากเราไม่อยากไปในทางทั้ง 6 ที่กล่าวมา ก็มีทางเดียวที่จะทำให้จิตดับลงไป ไม่มีเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ นั่นคือ นิพพาน นั่นเองหากใครที่เกิดมาเป็นคนแล้ว ยังไม่ได้ลงทุนเข้าถึงธรรม เข้าถึงสัจธรรมอันสูงแล้วไซร้ คงน่าเสียดายที่ได้เกิดมาในเนื้อนาบุญแห่งนี้จริงๆ ...
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น และทำไมผมจึงรู้สึกอย่างนั้น บางที อาจเป็นเพราะความคุ้นชินบางอย่างที่ได้รับขณะที่อยู่ที่นั่น ซึ่งไม่อาจหาได้จากที่อื่น และบางทีอาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วผมปรารถนาจะได้ประสบการณ์แห่งความรู้สึกนั้นอีกครั้ง ความสงบ, เงียบ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงผู้คน ไม่มีแม้เสียงของตัวเอง หากลองตั้งสมาธิให้ดีจะได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้น เสียงใบไม้ไหว เสียงนกในป่าที่มองไม่เห็นตัว เสียงปลากระโดด เสียงลมพัด เงียบราวกับเป็นเวลากลางคืน แต่นี่คือเวลากลางวัน ในสถานที่ที่มีคนอยู่ร่วมร้อยคน ยากจะหาที่ไหนเหมือน, มีคนอยู่รวมกันมากขนาดนี้ แต่กลับเงียบขนาดนี้เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมวิปัสสนาและกลับมาสู่วิถีชีวิตคนเมืองอีกครั้ง ผมเริ่มรู้สึกถึงความแปลกแยกบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ภายใน ดูเหมือนจะเป็นความแปลกแยกกับ “เสียง”เมืองคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ความสั่นสะเทือน มีแสงเจิดจ้าในยามค่ำ มีสีสันจากป้ายเรืองแสง มีสรรพเสียงจากทุกทิศทุกทางทุกเวลา เราอยู่กับแสงและเสียงแทบจะตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นลืมตาจนถึงล้มตัวลงนอน และอาจมากเสียจนไม่อาจคุ้นชินเมื่ออยู่ในสภาวะที่ปราศจากมันความเงียบจึงคล้ายสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ ไม่ใช่แค่กำลังจะหายไปจากเมือง แต่มันกำลังจะหายไปจากใจมนุษย์ด้วย“...เด็กยุคนี้ขี้เหงาเพราะเขาโตมากับเสียง ไม่เคยอยู่เงียบๆ ไม่รู้จักต้นไม้ว่าต้นไหนหน้าตาเป็นยังไง หลายคนเลี้ยงลูกด้วยทีวีซึ่งน่าเป็นห่วง สังคมเราร่ำรวยขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ก็เป็นไปในเชิงบริโภคมากขึ้น ซื้อๆๆ เด็กมีโลกของตัวเอง มีที่ครอบหู ฟังเพลงตลอดเวลา ชอบความบันเทิงที่ใช้เสียง บันเทิงแบบเงียบๆ ไม่รู้จัก ทั้งที่จริงความเงียบก็เบิกบานได้ พอเปิดทีวีดัง ชอบเสียงดัง ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เสียงดัง หูก็ตึงตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เรากำลังสู้กับเด็กที่หูตึง เด็กจำนวนมากเป็นคนหูพิการไปแล้วโดยไม่รู้ตัว น่ากลัวมาก อันตราย ประเทศกำลังอยู่ในวิกฤติ แต่ไม่มีใครรู้ เยาวชนฟังเพลงดังๆ ชอบดังๆ ฟังทั้งวัน ไม่สามารถอยู่เฉยได้ กลับถึงบ้านเปิดทีวี วิทยุ ไม่เคยได้อยู่เงียบๆ พรีเซนเตอร์ หรือคนอ่านสปอตทั้งหลายก็พูดเบาๆ หรือพูดปกติไม่เป็นแล้ว สังคมที่ไม่มีความสงบคือสังคมที่วิบัติ...”(เสียงดังกำลังคุกคามถ้วยชาวิถี  ปานชลี สถิรศาสตร์ ,โลกของเราขาวไม่เท่ากัน : ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ และ วรพจน์ พันธุ์พงศ์)หลายคนอาจคิดว่า ความสุขกับความสนุกนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ผมกลับเห็นต่างออกไป เสียงต่างๆ อาจทำให้เราสนุก รื่นรมย์ บันเทิง แต่ถ้ามากเกินไป บ่อยเกินไป เสียงใดก็แล้วแต่ไม่อาจให้ความสนุกได้อีกแล้ว มากๆ เข้าจากความสนุกก็จะกลายเป็นทุกข์ความเงียบสงบต่างหากที่จะทำให้เราได้พบกับความสุขที่แท้จริงเพราะความเงียบคือการลดทอนสิ่งฟุ่มเฟือยที่เราเรียกว่าเสียงเพื่อเราจะได้พบกับความสงบความเงียบเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรากลับสู่ภายใน และเกิดสำนึกปรารถนาสันติความเงียบคือการกลับสู่ธรรมชาติดั้งเดิม กลับสู่ความจริงในโลกปัจจุบันเราแต่ละคนยังเป็นปัจเจกชนที่ปรารถนาสิ่งเร้า และสั่นไหวไปตามสิ่งที่มาเร้า ในขณะที่สภาพแวดล้อมยังเต็มไปด้วยสรรพเสียง ซึ่งบางครั้งก็มากถึงขั้นมลภาวะ ชีวิตที่ดำเนินไปทำให้เราต้องพบกับเสียงมากมายในแต่ละวัน บ้างดัง บ้างเบา บ้างหยาบ บ้างไพเราะ ทั้งเสียงที่น่าพึงพอใจ ที่ไม่น่าพึงพอใจ และที่ไม่ทำให้รู้สึกอะไร แต่เราแทบไม่พบกับความเงียบเลยบางคนคิดว่าความเงียบคือหายนะ เขาไม่อาจอยู่กับความเงียบได้แม้หนึ่งอึดใจและต้องดิ้นรนหาสรรพเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อใจเขาไม่ปรารถนาความสงบ ก็ยากที่จะได้พบกับความสุขที่แท้ความสนุกจากสรรพเสียง กับความสุขจากความเงียบมิใช่สิ่งเดียวกัน สุนทรียะจากการรังสรรค์ของมนุษย์คือความสนุก แต่สุนทรียะจากความสงบ คือความสุขที่ดี่มด่ำล้ำลึกกว่าเมื่อได้มีประสบการณ์ถึงความเงียบยาวนานถึงสิบวัน ก็คงไม่แปลกที่ผมจะคิดถึงมัน ถ้ามีใครสักคนบอกผมว่า “สวรรค์ คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบ” ผมคิดว่า ผมอาจจะเชื่อเขา
แพร จารุ
มีเพื่อนผู้หวังดีส่งเมลมาว่า ให้เขียนเรื่องดี ๆ เพื่อเมืองเชียงใหม่บ้าง ทำไมถึงมองไม่เห็นความงามของเมืองบ้าง  ฉันจึงเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา               1ถ้ามองลงมาจากฟ้า เราจะเห็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ตรงกลาง มีป่าดอยสุเทพอยู่ทางตะวันตก มีแม่น้ำปิงไหลผ่านทางตะวันออก  ช่างเป็นเมืองงดงามที่สมบูรณ์ เล่ากันว่า เดิมทีผู้คนในเมืองนี้อยู่กันอย่างสงบสันติ แต่แน่นอนเมืองที่ดีงามเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนต้องการ เข้ามาอยู่มาครอบครอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติบนดอยสูง หลายร้อยปีต่อมา เมืองเชียงใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหลัก ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในเมืองหมดไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างมากโดยเฉพะสิบปีที่ผ่านมา  ดอยสุเทพเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวได้รุกคืบเข้าไปถึงขั้นกันพื้นที่อุทยานออกมาใช้ บางโครงการใช้พื้นที่ไปแล้วและหลังจากนั้นขอถอนพื้นที่ออกจากอุทยาน อีกทั้งยังมีโครางการขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เมกกะโปรเจค ค้างอยู่อีกหลายโครงการ ชาวเมืองเชียงใหม่ และผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ จำนวนมาก ที่เป็นกังวลหวงใยเรื่องป่าดอยสุเทพ วัดพระธาตุดอยสุเทพ และลานครูบาศรีวิชัย   พวกเขาพยายามดูแลจัดการมาหลายชั่วอายุคนเหมือนกัน พยายามคัดค้านโครงการต่าง ๆ รอบ ๆ ดอยสุเทพ รวมทั้งผืนป่าในพื้นที่อุทยาน ที่ถูกทำลายภายใต้นโยบายของรัฐ โครงการของรัฐบาลบางโครงการ ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของคนเชียงใหม่อย่างรุนแรง และในช่วงนั้นเกิดภาคีคนฮักเชียงใหม่ขึ้นมา  เป็นการรวมตัวกันด้วยศรัทธา  หลังจากนั้น ปีที่ผ่านมา มีชมรมเพื่อดอยสุเทพเกิดขึ้นโดยความร่วมมือของหัวหน้าอุทยานดอยสุเทพในสมัยนั้น มีการจัดกิจกรรมร่วมกันหลายครั้ง ทั้งการเดินสำรวจดอยสุเทพ การจัดนิทรรศการ จนเปลี่ยนหัวหน้าอุทยาน และวันนี้มีความพยายามจะสานต่อกันอยู่2ดอยสุเทพได้ชื่อว่า เป็นดอยวิเศษ ป่าแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นจิตวิญญาณของชาวล้านนา  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุดอยสุเทพยาวนานกว่า 600 ปี พื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และบางส่วนเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำบางส่วนยังคงมีสภาพป่าสมบูรณ์ นอกจากความงดงามของสถานที่แล้ว ยังถือเป็นป่าที่มีคุณค่า มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่อุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมายาวนาน  ในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่ผ่านมา มีการเดินขึ้นดอยสุเทพอย่างช้า ๆ ของคนเชียงใหม่ เพื่อระลึกถึงจอบแรกของครูบาศรีวิชัย ผู้สร้างขึ้นไปสู่ยอดดอย  ผู้คนที่เดินดอยแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินทางถนนและเดินทางป่า ผู้เดินทางป่าที่สูงวัยคนหนึ่งมาบอกเล่าให้ใคร ๆ ฟังว่า แม้ว่าการเดินป่าดอยสุเทพเดี๋ยวนี้  จะไม่เห็นสัตว์ป่าชนิดใดบนดอย นอกจากนกกระรอก และแมลงต่าง ๆ และคิดว่าที่ถูกบันทึกเอาไว้ มันอาจจะไม่มีแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนกสามร้อยกว่าชนิด ผีเสื้อกลางวันห้าร้อยชนิด ผีเสื้อกลางคืนอีกสามร้อย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนับกว่าครึ่งร้อย สัตว์เลื่อยคลานอีกมากมาย และสัตว์หายากพวกชะนี หมีควาย กวางป่า หมูป่า และพืชหลากหลาย ทั้งพืชเฉพาะถิ่นที่มีอยู่ที่เฉพาะที่นั้น ๆ เท่านั้น รวมทั้งกล้วยไม้ป่าหายาก แต่เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ ก็จะรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตและที่เขากล่าวกันว่า เราต่างมีชีวิตที่ธรรมชาติเป็นผู้ดูแลนั้นสัมผัสได้จริง ๆ และเพียงแค่นี้ พอเพียงไหมสำหรับการจะดูแลรักษาไว้ ให้เป็นผืนป่าผืนสุดท้ายกลางเมืองใหญ่ เพื่อช่วยให้โลกร้อนน้อยลงไม่ว่าคุณจะเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด “คนเมือง” หรือคุณจะเป็นเพียงมาอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่อย่างถาวร หรือมาอยู่ชั่วคราว คุณหรือใครก็มีสิทธิ์ที่จะรักเมืองเชียงใหม่ และช่วยกันดูแล ช่วยกันบอกต่อถึงเรื่องราวของป่าผืนสุดท้าย ให้ตระหนักถึงความสำคัญร่วมกันว่านี้คือปอดของเมือง ไม่ควรมีสิ่งใดที่แอบแฝงอยู่ในป่าผืนนั้น ไม่ควรปลูกสร้างอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ราชการ หรือที่พัก ร้านอาหารของเอกชน อย่าปลูกสร้างอะไรขึ้นมาอีกเลย นอกจากต้นไม้   ปล. ฉันเขียนเรื่องดีงามแล้วใช่ไหมเพื่อน
นาโก๊ะลี
ฟังว่า... นานมาแล้ว นานจนไม่อาจนับว่ามันเป็นเวลากี่ช่วงอายุขัย  นับแต่กาลนั้น กองไฟลุกสว่างและอุ่น กลางค่ำคืนเหน็บหนาว  ทอดวางตามถิ่นที่อาศัยของมนุษย์  กาลนั้น นอกจากเป็นแสงสว่าง  นอกจากเป็นความอุ่น  นอกจากป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายนานา  แต่กองไฟยังกลายเป็นสถานที่สำคัญอันหนึ่ง ว่าก็คือ ผู้เฒ่าผู้แก่ ได้ใช้พื้นที่ข้างกองไฟนี้ในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งนิทาน ปรัมปรา จารีต ประเพณี  สัพเพเหระ สารทุกข์ สุกดิบ ข่าวคราว  นั่นคล้ายว่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาสู่ชุมชน ล้วนต้องผ่านข้างกองไฟนี้  คืนแล้วคืนเล่า  ผู้เฒ่าได้บอกเล่ากล่าวความผ่านวันเวลามากประสบการณ์  ส่งต่อสืบผ่าน พื้นที่และเวลานี้  ขณะที่เด็กๆ คนหนุ่มคนสาว  ก็เติบโต และเรียนรู้ กล้าแกร่ง สะสมประสบการณ์ ณ พื้นที่ และเวลาข้างกองไฟนี้เช่นเดียวกันภูเขาบางภู บนเทือกเขาบางเทือก ขณะที่เวลาของโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น  ผู้คนหันหาพื้นที่ใหม่ๆ  มากขึ้น  ด้วยว่าการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วของเวลานั้น ด้านหนึ่งมันก็คือการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ  แต่ทว่า อย่างไรก็ตามกองไฟมันมีพลังเฉกเช่นเมื่อกาลก่อนอย่างไม่เสื่อมคลาย  และมันยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังดำรงอยู่ ดำเนินไป ทำหน้าที่ทั้งให้ความอบอุ่น แสงสว่าง และเป็นพื้นที่เล่าเรื่อง  ว่าไปแล้วมันก็คือ รอยต่อแห่งยุคสมัยที่มีพลังอย่างยิ่ง  และนอกจากมันจะเป็นพื้นที่สำหรับส่งผ่านจารีต ประเพณี ความเชื่อของอดีต  มันก็ยังเป็นพื้นที่รับเรื่องราวใหม่ๆ จากโลกใหม่ที่เข้ามาสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว   เช่นนั้นเอง ไม่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะสามารถสร้างเครื่องให้แสงสว่าง  เครื่องกันหนาว  ทั้งที่ซื้อขาย ทั้งที่แจกจ่ายด้วยโฆษณา แต่กองไฟก็ยังเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตอย่างยิ่ง นี่ก็ว่าในบางที่ ที่ยังสามารถหาฟืนก่อไฟ  เพราะหากว่าถึงมหานครแล้ว กองไฟก็ไม่นับเป็นอย่างไรได้เพื่อนนักดนตรีจากเทือกเขาคนหนึ่งเคยบอกว่า  ชีวิตของเขานั้นสัมผัสถึงกองไฟอย่างลึกซึ้ง  ด้วยว่ากองไฟทำให้เขารู้สึกถึงพลังแห่งชีวิต ณ ที่นั่น  ไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยวเหงาหรือรื่นรมย์เพียงไร  หรือผ่านภาวะใด เขาก็ยิ่งระลึกถึงกองไฟอยู่เสมอ  ยิ่งแล้วในราตรีเหน็บหนาว ท้องฟ้าจามดาวพราวพร่าง ผ้าห่มใด ห้องนอนใด ไหนจะเท่าข้างกองไฟ ที่เทือกเขา ที่บ้าน  บรรเลงเพลงและร่ำดื่ม ร่ายบทกวีกับสหาย นานใยมิใช่สุขใจนัก  ......บ่อยครั้งยามเยือนเพื่อนคนนี้ เราจึงมีกองไฟอยู่เสมอว่าถึงที่สุดมนุษย์ต่างก็โหยหาพื้นที่แบบนี้  วันนี้เราอาจไม่สามารถก่อกองไฟ  กระนั้นในกระบวนการเรียนรู้บางรูปแบบ ค่าย นักเรียน นักศึกษา  ขาดกองไฟไม่ได้เอาเสียเลย ว่าก็คือ คืนสุดท้าย  นั่นคือการรวบรวมเนื้อหาการเรียนรู้และความสัมพันธ์ทั้งหมด นั่นคือการสรุป นั่นคือพันธะสัญญา  ณ วาระนั้นกองไฟจึงเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาอันใดในรัตติกาลเหน็บหนาวจะยิ่งไปกว่าการได้ก่อกองไฟสักดวง  ชักชวนมิตรสหายมาร่วมผิงไฟอุ่น  ไถ่ถามข่าวคราวเรื่องราวชีวิตกันและกัน  จากนั้นสักวัน ได้ไปเยือนกองไฟของเพื่อน สนทนา  เปิดเผยทรงจำ ต่อกองไฟอันทรงพลัง  โอบกอดวิญญาณบรรพชนที่ถ่ายเท ทับถมอยู่ในกองไฟ ไม่ว่ากาลเวลาจะนำมาซึ่งยุคสมัยเช่นไร ขอเพียงวิญญาณไม่มอดไหม้ไปกับไฟฟ้า  คงมีสักหลายคราได้กลับสู้อ้อมกอดบรรพชนอีกครั้ง อีกครั้ง ด้วยพลังแห่งกองไฟ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เปล่า! แม่น้ำสงครามไม่ได้เป็นชื่อที่พ้องกับการสงครามของใคร ..หากโลกใบนี้ได้เพียรสร้างสรรค์ผลงานที่น่าอัศจรรย์...น้ำสงครามมีต้นกำเนิดบนสันภูผาเหล็ก อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ไหลขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอำเภอหนองหาน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ก่อนจะย้อนลงมาที่ อำเภอบ้านม่วง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร จึงมุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย วกลงอำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ทะลักล้นเข้าอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม แล้วไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ไชยบุรี อำเภอท่าอุเทนนับระยะทาง 420 กิโลเมตรและลำน้ำสาขานับร้อยสาย คือ ทุ่งน้ำขนาดกว้างใหญ่ถึง 6 แสนไร่ ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ นครพนม สกลนครและหนองคาย......ทุกๆ ฤดูมรสุม เดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน ท้องทุ่มป่าทามที่มองเห็นเป็นพื้นดินแห้งจะกลายเป็นผืนน้ำ พื้นดินสีน้ำตาลไหม้ที่ใครหลายคนเคยมองว่าไร้ประโยชน์ กลายเป็นแหล่งอาศัยอันชุกชุมของพันธุ์ปลาพื้นบ้านและพันธุ์ปลาที่มุ่งหน้าเข้ามาจากลำน้ำโขงคนแห่งลุ่มน้ำสงครามต่างรอคอยช่วงเวลาเหล่านี้อย่างใจจดจ่อ...มื้อเย็นจะมีปลาดุกตัวเขื่องเอาไว้แกงสำหรับลูกเมีย...เปล่า! แม่น้ำสงครามไม่ได้เป็นชื่อที่พ้องกับการสงครามของใครแต่เป็นความอัศจรรย์ ..เพื่อทุกชีวิตบนโลก ชีวิตคนริมน้ำสงคราม, สาวน้อยกางร่มช่วยพ่อหาปลาลีลาพรานปลาผลิตผลจากสายน้ำปลาน้อย, เหยื่อล่อปลาตัวใหญ่กว่าปลาจำลอง, อบต.บ้านข่า แชมป์หลายสมัยในการแข่งขันประกวดปลา กลไกที่เห็นทำให้มันขยับได้น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก, ทว่า หนองน้ำแห่งนี้ยังเป็นของควายด้วยดูกันใกล้ๆพระอาทิตย์ฤดูหนาวที่บ้านข่า สวยเศร้าอย่างนี้
ที่ว่างและเวลา
‘ฐาปนา’ ผมพบเขาในวันที่เชียงใหม่ยังเปียกปอนจากสายฝน เขาแต่งกายเรียบง่าย บุคลิกคล้ายนักบวช ดูแข็งแรงเหมือนคนอายุสามสิบกว่าๆ  เมื่อได้สนทนา แม้น้ำเสียงเป็นกันเอง แต่ก็แฝงความเคร่งครัดไม่น้อย เขาคือผู้ริเริ่มการเขียน “แคนโต้” บทกวีสามบรรทัดจำนวนสี่ร้อยบทเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ,เป็นผู้ก่อตั้งเวบไซต์ ไทยแคนโต้ (www.thaicanto.com) เมื่อสองปีที่แล้ว และกลายเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดของบทกวีสามบรรทัด มีแคนโต้นับพันนับหมื่นบท ปรากฎอยู่ในเวบไซต์แห่งนี้ล่าสุด เขามีผลงานวรรณกรรมขนาดยาวแปดร้อยหน้า ที่ชื่อ “โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก”โดดเดี่ยว และ เด็ดเดี่ยว น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ชัดเจนที่สุดสำหรับตัวเขา “ฟ้า พูลวรลักษณ์” ศิลปินคนนั้นเวบไซต์ไทยแคนโต้เปิดมาได้ประมาณสองปีแล้ว คุณฟ้ามองช่วงสองปีที่ผ่านมาของเวบไซต์อย่างไรบ้างจริงๆ การทำเวบอันนี้มันก็เป็นการเริ่มทำจากที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ตอนทำก็อยากให้เป็นเวทีของคนรุ่นใหม่ที่สนใจ เพราะหนังสือมันขายลำบาก ก็คิดว่า...ตอนแรกคือโครงการแรกที่คิดจะพิมพ์หนังสือไปเรื่อยๆ ดูแล้วคงทำไม่ได้ แต่เมื่อทำไม่ได้ จะล้มเลิกความคิดที่จะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ ก็ไม่อยากจะล้มเลิก ก็คิดว่า ทางออกก็คือทำเวบไซต์ เมื่อตอนทำนั้นก็คิดว่า สิ่งไหนที่เราจะทำเราต้องให้โอกาสมันเยอะสักหน่อย สัก 2-3 ปี ถึงมันไม่ดีก็จะทำมันไปเรื่อยๆ แต่เท่าที่ดูผลออกมา ก็คิดว่า เออ...มันก็ไปได้ดีพอสมควร ก็มีคนเข้าๆ ออกๆ สนใจ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจคนที่เข้าเวบไซต์ โพสต์ข้อความ หรือ เขียนแคนโต้ มีความหลากหลายทางความคิดพอสมควร คุณฟ้ามีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรคืออย่างที่บอก ผมก็ไม่มีประสบการณ์ ไม่ได้รู้ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าอย่างไหน อย่างไร คิดแต่เพียงว่า มันก็เป็นเหมือนร้านกาแฟเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งมีคนเข้ามา มีขาประจำเข้ามา ดูเขาก็มีความสุขดี เหมือนกับมันก็เป็นโลกๆ หนึ่ง จุดที่ผมพอใจก็คือ...เหมือนกับเขาสื่อสารกันด้วยบทกวีแคนโต้ เหมือนคนที่ส่งเมสเสจคุยกันทางมือถือ แทนที่เราจะส่งข้อความอะไรก็แล้วแต่ เขาก็ส่งแคนโต้ไปหากัน ซึ่งจุดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ผมชอบ ผมอยากเห็นปรากฎการณ์อย่างนี้เยอะๆ ในโลกสมัยใหม่...จริงๆ การส่งเมสเสจหากันทางโทรศัพท์มันมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บังเอิญแคนโต้นี่มันเป็นอะไรที่ใช้คำพูดน้อย  หากจะส่งเมสเสจหากันด้วยแคนโต้ มันก็ลงตัว แต่แทนที่จะส่งข้อความธรรมดา มันมีอะไรเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง คือแคนโต้มีความอ่อนหวานบางอย่าง ซึ่งในโลกปัจจุบันเป็นโลกที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเด็กรุ่นใหม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่คนกลุ่มน้อย ถ้าพวกเขามีใจส่งข้อความหากันด้วยบทกวีแคนโต้ โลกนี้มันก็เหมือนกับมีความหวัง เหมือนมีดอกไม้เล็กๆ เบ่งบานในที่แห้งแล้ง ผมก็อยากเห็นปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเยอะๆแคนโต้ที่ดีในความรู้สึกของคุณฟ้า ควรจะเป็นอย่างไรถ้าถามคุณภาพของงานแคนโต้ส่วนใหญ่ที่เขียนกันอยู่ จริงๆ ผมก็ยังไม่พอใจ ก็ยังถือว่ายังอ่อนอยู่ แต่ว่าผมไม่ซีเรียส เพราะผมมองอะไรนั้น ผมมองกว้างๆ บางคนอาจจะบอกว่า เอ...ไปเขียนแคนโต้แบบนี้มันเหมือนกับไปทำลายความหมายของแคนโต้หรือเปล่า เพราะมันดูเขียนง่ายไป ความหมายก็อาจจะไม่ลึกซึ้งพอ แต่สำหรับผม ผมคิดว่า เรามองอะไรคงต้องมองหาสิ่งที่เป็นบวก ผมคิดว่า มันอุปมาเหมือนกับเรามีคลับเล่นฟุตบอล เราอาจจะกำหนดให้มีคลับเล่นฟุตบอลประจำตำบล ประจำอำเภอ เด็กๆ ก็มาเล่นกัน เพราะว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เราไม่มีการสอน และมันก็ไม่ควรสอน คือคุณมีใจเล่นก็มาเล่น ภายใต้กติกาไม่กี่อย่าง ทีนี้ความสำคัญอยู่ที่ว่า มีเด็กมาเล่นเยอะมั้ย เขามีความสุข กระตือรือร้นที่จะเล่นหรือเปล่า เมื่อเรามีเด็กเล่นเยอะๆ ผมก็เชื่อว่า มันก็ต้องมีเด็กที่มีพรสวรรค์ เราก็ค่อยๆ แบ่งไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เกิดฟุตบอลดิวิชั่นสาม ดิวิชั่นสอง ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา จนวันหนึ่งก็อาจจะมีคนที่เล่นเก่งมากๆ แต่ความสำคัญขณะนี้มันไม่ได้อยู่ที่ว่า มีใครเก่งมากน้อย แต่อยู่ที่ว่า มีคนสนใจมากน้อย มากกว่า มันเหมือนกับประเทศบราซิลทำไมเขามีนักฟุตบอลที่เก่ง ก็เพราะชาวบ้านหรือเด็กๆ เขาชอบเล่นฟุตบอล เขาเล่นเหมือนกับเป็นเรื่องประจำวันไป เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ต้องมีนักฟุตบอลเก่งๆ เกิดขึ้นถ้ามีใครสักคนได้อ่านแคนโต้แล้วอยากเขียนขึ้นมา แต่เขาไม่เคยเขียนอะไรมาก่อนเลย คุณฟ้าพอจะแนะนำวิธีเขียนและวิธีพัฒนาการเขียนของเขาได้หรือไม่คือผมว่าจุดเด่นของแคนโต้อยู่ที่มันง่าย นี่คือเหตุที่ทำให้มีคนสนใจเยอะ เขียนเยอะ มันง่ายจนกระทั่ง...เหมือนกับเกือบจะไม่มีกติกาอะไรเลย ทีนี้เราก็เอาจุดเด่นคือความง่ายอันนี้มาใช้เป็นประโยชน์ คือผมอยากให้ทุกคนเขียนอย่างที่ตัวเองอยากเขียน แต่อย่างไรก็แล้วแต่ โดยธรรมชาติของวัตถุมันจะต้องมีระเบียบของมันเอง เหมือนสิ่งมีชีวิตมันมีระเบียบของมันเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเขียนไปๆ ในที่สุดมันจะเริ่มมีการแยกแยะบทที่ดีกับไม่ดีโดยเริ่มจากตัวคนเขียนก่อน ถ้าคนเขียนแยกแยะไม่ออกแสดงว่าเขายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีเซนส์ สมมติเขาเขียนขึ้นมาพันบทเขาก็ไม่รู้ อะไรดีไม่ดี หรือถ้าสมมติเขาทึกทักว่าพันบทดีหมด เอ..มันจริงหรือเปล่า มันก็น่าจะให้คนอื่นรับรู้ ถ้าคนอื่นเห็นด้วยกับเขาหลายๆ คน ก็แสดงว่าของเขาอาจจะดีจริง แต่ถ้าคนอื่นไม่รู้สึกอย่างนั้นล่ะ งั้นก็แสดงว่าเขาไม่เข้าใจ คือเขาไม่สามารถสื่อสาร งานเขียนทุกชนิด แม้แต่แคนโต้ไม่ว่ามันจะง่ายเพียงไหนมันก็คืองานประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งเขียนให้คนอื่นอ่าน ผมเขียนแคนโต้ผมก็เขียนให้คนอื่นอ่าน นักเขียนทุกคนสิ่งแรกที่ต้องตระหนักคือเราไม่ได้เขียนให้ตัวเองอ่าน ในกรณีที่เขียนให้ตัวเองอ่านมันไม่มีปัญหา คุณเขียนให้ตัวเองอ่านรู้เรื่องคุณก็เขียนไป นักเขียนที่เก่งคือนักเขียนที่สามารถอ่านงานตัวเองได้ และตัดสินได้อย่างเป็นภววิสัย คือเขาอ่านงานตัวเองได้เหมือนกับเป็นคนนอก ตั้งแต่เด็กที่ผมเขียนหนังสือ ตัวผมเองจะต้องพิจารณาตัวเองได้ อย่างแคนโต้หมายเลขหนึ่งตอนนั้นผมอายุสิบเก้า ผมก็แยกแยะเอง ตอนนั้นไม่มีคนอื่นมาช่วยผมนะ ผมก็เลือกของผมเอง แล้วคุณภาพของงานที่ออกมามันก็สะท้อนกลับว่า อย่างน้อยตอนเขียนหนังสือ ผมจะต้องสามารถเป็นกลางได้ เพราะฉะนั้นนักเขียนแคนโต้ควรจะมีคุณสมบัติอันนี้คือจะต้องอ่านงานตัวเองออก ต้องเลือกได้ว่างานตัวเองบทไหนดีบทไหนไม่ดี เหมือนกับตัวคุณเองจะต้องกรองมันได้ แล้วจากนั้นที่จะดีขึ้นไปคือกรองมันละเอียดขึ้นเป็นชั้นๆ  ยิ่งคุณกรองได้ละเอียดเท่าไร ก็แสดงว่า งานคุณก็จะสามารถพัฒนาได้ดีขึ้น ทีนี้สิ่งอื่นๆ ที่ตามมาคือประสบการณ์ชีวิต อย่างวันนี้คุณอายุสิบเจ็ด คุณกรองตัวเองได้ดีที่สุดในวัยสิบเจ็ดของคุณ แต่อย่าลืมว่าสิบเจ็ดก็มีขอบเขตของเด็กอายุสิบเจ็ด การเข้าใจชีวิต การเข้าใจโลก สำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดความเข้าใจตัวเองก็ยังเลือนๆ ลางๆ จริงมั้ยครับ เพราะฉะนั้นดีที่สุดในวันนั้น เราก็อย่าพึ่งไปตกใจ ถ้าสมมติว่าชีวิตมันพัฒนาไป วันหนึ่งเมื่ออายุมากขึ้น มาตรฐานการกรองอันนี้มันก็เปลี่ยนไปงานชิ้นล่าสุด (โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลกเล่ม 1-2) เป็นงานที่ความยาวมากที่สุดของคุณฟ้า อะไรที่เป็นความคิดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจให้เกิดงานชิ้นนี้จริงๆ จุดกำเนิดของมันก็เหมือนกับสิ่งทั้งหลายที่กำเนิดจากจุดเล็กๆ ...มีวันหนึ่ง คุณเอื้อ อัญชลี เขามาบอกกับผมว่า เขาอยากจะขอบทความจากผมสักบทหนึ่งที่เกี่ยวกับสถานที่แห่งหนึ่งในดวงใจ เพื่อลงในหนังสือชุมนุมเรื่องสั้นของเขา ผมก็นั่งคิดดูว่า หนังสือเล่มนี้เป็นชุมนุมเรื่องสั้น คุณจะมาขอบทความผมทำไม เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมเขียนเป็นเรื่องสั้น ถ้าเขียนได้ก็คือได้ ถ้าไม่ได้ก็จะตอบปฏิเสธไป แต่ก่อนอื่นขอให้ผมคิดเต็มที่สักครั้ง ผมก็ไปนั่งคิดถึงสถานที่แห่งหนึ่งในดวงใจของผม ผมคิดถึงงานคอนเซปชวลชิ้นหนึ่งที่ผมเคยทำก็คือ ห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลก ซึ่งมันก็คือห้องเรียนที่ผมทำขึ้นมา คือผมเอาห้องนอนของผม ซึ่งปกติก็เป็นห้องนอนเรียบๆ แล้วผมก็ใส่เก้าอี้นักเรียนไปแปดตัว เอากระดานดำมาตั้ง มีโต๊ะเก้าอี้พร้อมทุกอย่าง แล้วผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในห้องเรียนนี้เป็นเวลาเดือนสองเดือน กินนอนอยู่ในนั้น แล้วผมก็นั่งอยู่ในห้องนั้น จินตนาการตัวเองเป็นนักเรียนแปดคน มันก็คืองานคอนเซปชวลชิ้นหนึ่งในวัยเด็กนั่นเอง งานในวัยนั้นดีอย่าง คือผมทำอะไรก็ไม่ได้คิดมาก แทบจะเรียกได้ว่า มีคนเห็นแค่ไม่กี่คนก็พอ ผมเคยชวนเพื่อนไม่กี่คนมาดูงานชิ้นนี้ เด็กก็คือเด็ก เล่นอย่างสนุกสนาน มีความสุข แล้ววันหนึ่ง แน่ละ มาถึงจุดหนึ่ง ผมก็เก็บ ยกโต๊ะ ยกเก้าอี้ ยกกระดานดำออก มันก็จบไปแต่เมื่อคุณเอื้อมาถามผม ผมก็คิดถึงสถานที่แห่งนี้ ถ้ามีคนมาถามถึงสถานที่แห่งหนึ่งในดวงใจ บางคนอาจจะคิดถึงที่อื่นๆ เช่นว่า สยามสแควร์ ถนนพระอาทิตย์ แต่ผมรู้สึกนั่นเป็นเรื่องสามัญเกินไป ที่ผมคิดคือห้องนี้ต่างหาก แล้วผมก็เลยแต่งเรื่องสั้นที่มีความยาวแปดบท จริงๆ แปดบทมันยังยาวเกินไปสำหรับจะลงในหนังสือเล่มนั้นด้วยซ้ำ ผมก็เลยให้เขาลงแค่ครึ่งเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมรู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้มันน่าสนุกนะ ผมก็เลยเขียนต่อเป็นสิบหกบท หลังจากนั้นมันก็ยังสนุกอยู่ อย่ากระนั้นเลย ผมเขียนเป็นเรื่องยาวดีกว่า ก็เขียนมาเรื่อยจนเป็นร้อยสิบหกบท ซึ่งก็คือโรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลกสองเล่มนี้ในฐานะผู้เขียน คุณฟ้าคาดหวังอะไรจากผู้ที่ได้อ่านโรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลกงานชิ้นนี้เป็นนิวเคลียสของผม เพราะฉะนั้นปฏิกิริยาที่คนอ่านมีต่อมัน ก็คือปฏิกิริยาที่มีต่อตัวตนของผม ต่อนิวเคลียสผม หรือจะพูดว่า มันคือปฏิกิริยาที่ผู้อ่านมีต่อหัวใจผม มันก็บ่งบอก...เหมือนกับตัวตนผมทั้งหมด  ถ้าคุณถามว่า ผมคาดหวังอะไร ผมคาดหวังสูงสุดคือหัวใจคุณ พูดง่ายๆ คือผมหวังให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือในดวงใจของคุณ ผมอาจจะไม่สนใจปริมาณ อาจจะมีคนอ่านแค่ห้าร้อยคน แต่ผมอยากให้ห้าร้อยคนนั้นรักมัน เป็นหนังสือในดวงใจของเขา และโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนในดวงใจเขา เป็นสถานที่ที่เขาเคยไปแล้วเขาไม่อาจลืมในชั่วชีวิตของเขาแรกเริ่มเดิมที ห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลก มีนักเรียนเพียงแปดคนคือ ฟ้า บึง ไฟ ฟ้าร้อง ลม น้ำ ภูเขา และดิน ห้องเรียนนี้สอนด้วยการไม่สอน มาก็ได้ ไม่มาก็ได้ จะมาตอนไหนก็ได้ จะเรียนวิชาอะไรก็ได้ และไม่ต้องส่งการบ้าน เพราะถึงส่งครูก็ไม่ตรวจอยู่ดีกาลล่วงผ่านไป วันหนึ่ง ห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลก ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกเจ็ดห้อง พร้อมกับมีนักเรียนเพิ่มขึ้นมาอีกห้าสิบหกคน จากห้องเรียนที่เงียบที่สุดในโลก กลายเป็น โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลกพวกเขาเหล่านั้นอยู่ที่นี่ เป็นทั้งความไม่จริงอย่างที่สุด และความจริงอย่างที่สุดนี่คือสถานที่ชั่วนิรันดร์ ที่รอให้คุณไปเยือน**************************โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลกฟ้า พูลวรลักษณ์ ,พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2550  “มันดูเหมือนน้อย แต่ไม่น้อย มันแน่นไปด้วยพลังงานของฉัน พวกเธอคิดดูซี่ สิ่งที่มีน้อยกลับมีค่า และอยู่ในความทรงจำอย่างยาวนาน เริ่มจากตัวฉันก่อน เพราะฉันรู้ว่านี่เป็นหนึ่งวันเท่านั้นในหนึ่งปีที่ที่ฉันจะมาโรงเรียน วันนี้มีความหมายสำหรับฉันมากเลย ทุกย่างก้าวทุกวินาทีมีความหมาย”(ตอนที่ 79 ดิน ใจกลางโลก)
ภู เชียงดาว
ภาพโดย www.thaingo.org -งาม- เธองามดั่งดวงดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่งในหมู่มวลธรรมชาติสรรพสิ่งเพียงลมสายบริสุทธิ์พัดต้องล่องลอยมาสู่,ชีวิตเธอก็คลี่กลีบนวลยิ้มแย้มเบิกบานอยู่อย่างนั้นให้สัมผัสพบเห็นเป็นที่ชื่นชมในกัลยาณมิตรให้ชุ่มชื่นดวงจิตเธอช่วยชุบชูชีวิตหลายชีวิตให้มีหวังยิ่งยามแผ่นดินแล้งแห้งหรือเร่าร้อนดังไฟ-แกร่ง-เธอแกร่งดั่งภูผาที่ยืนท้าต้านแรงลม แดด ฝนวิถียังเฝ้าฝ่าฟัน บากบั่น ยึดมั่น ก้าวไปบนถนนของคนจนและความจน แหละผจญไปบนเส้นทางของความจริงแม้ร่างนั้นดูบอบบาง หากยังฝืนกำหมัดหยัดยืนชูมือขึ้นสู่ฟ้า เพียรวาดฝัน ปรารถนา ปวงประชาพบทางแห่งเสรีใช่, เหมือนกับที่เธอว่าไว้ในบทกวี...“จินตนาการความฝัน สรรค์สร้างได้จริง บนดินแดนเสรี”-กล้า-เธอคือผู้กล้าหาญบนตำนานการต่อสู้ของประชาชนจ้องดูเธอสิ- -ในชีวิตนั้นมีการเคลื่อนไหวดวงตาเธอยังคงสุกใสเปล่งประกายเจิดจ้าจิตวิญญาณเธอนั้นเล่า,ยังคงเต้นเร่าประกาศกล้าทายท้าอธรรม“...ลุกขึ้นเถิดผองทาส  ปลดปล่อยโซ่ตรวนรุกไล่อธรรม ให้ถอยร่นหมดทางคือภาระหน้าที่สืบสาน  บรรพชนคนหาญในลำนำเล่าขาน  ตำนานของเรา”จากวันนั้นจนถึงวันนี้...ยังระลึกถึงและสื่อสัมผัสถึงเธอได้..“งาม แกร่ง กล้า...มด.วนิดา เธอผู้อยู่เคียงข้างประชาชน”                   ด้วยจิตคารวะ ศรัทธาและเชื่อมั่น                                             ภู เชียงดาวหมายเหตุ : เขียนขึ้นหลังทราบข่าวพี่มด วนิดา,ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง และบทกวีในเครื่องหมายคำพูดที่เน้นตัวหนา คือส่วนหนึ่งของบทกวีที่ชื่อ “สบน้ำ” ของพี่มด วนิดา,ที่ได้กลั่นออกมาจากจิตวิญญาณข้างใน หลังจากไปเยือนแม่น้ำสาละวิน- สบเมย เมื่อ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งต่อมาผมได้ขอบทกวีชิ้นนี้มานำลงเผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์ ‘กวีประชาไท’

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม