Skip to main content


เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ

อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ


อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา

เธอต้องลงไปดู

ไม่

แต่พี่เห็นมัน

มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี หรือไม่มันก็ควรกลับนรกไปเสียที

ในหูผมได้ยินแต่เสียงร้องของมัน

ผมผลักประตูหลังบ้านออกไปอย่างแรง


ผมไม่อยากนับเลยว่าบ้านหลังที่อยู่ในปัจจุบันนี้ นับเป็นหลังที่เท่าไหร่ ทุกหลังล้วนเป็นบ้านของคนอื่น บ้านแต่ละหลังมีเรื่องสยองพองขนแตกต่างกันไป บ้านหลังที่เคยอยู่ ผมอยากลืม ประตู หน้าต่าง หลังคา ที่นอน เปล ตุ๊กแก ต้นอโศก ต้นเสี้ยว มะลิเครือ ฯลฯ มันแตกหักไปพร้อมๆ กัน


ผมมาพบบ้านหลังนี้ตามคำแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกแต่เพียงว่า เป็นบ้านสองชั้น กึ่งปูนกึ่งไม้ กว้างขวาง มีที่โล่งรอบบ้านให้ปลูกอะไรอย่างที่ผมชอบปลูกได้สบายๆที่สำคัญนั้นราคาค่าเช่าไม่แพง เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆแถบชานเมือง


เจ้าของบ้านล่ะ ผมถาม

เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ปลดเกษียณ แกไม่มายุ่งหรอก แกมีบ้านหลายหลัง คงไม่อยากให้บ้านร้าง

จริงเหมือนเพื่อนว่า แกไม่มาข้องแวะนำความรำคาญมาให้เลย แต่เพื่อนยังแหย่เล่นว่า ขอเพียงมีเงินให้แกทุกเดือน แกจะเป็นคนดีมากๆ


รู้ได้ไง ผมถาม

เพื่อนบ้านกัน รั้วติดกัน ตอนที่คนงานของแกมาตัดหญ้าในบริเวณบ้าน แล้วก้อนหินเกิดปลิวมาโดนกระจกหน้าต่างแตก จนแกต้องออกเดินมาดู พร้อมกับจ่ายค่าเสียหายให้พอราคาเปลี่ยนใหม่ แถมด้วยคำเชิญชวนให้ตัดกิ่งไม้ที่ระอยู่ริมรั้วด้วยกัน ตอนนี้เองที่แกบอกว่าบ้านหลังหนึ่งยังว่างรอให้คนเช่า


คนมาอยู่ก่อนเป็นใคร?

แม่หม้ายลูกหนึ่ง เพื่อนผมตอบ แต่อยู่ไม่กี่เดือนก็ออกไป เขาไม่มีค่าเช่าส่งให้ทันรายเดือน

ผมลำบากใจอย่างที่สุดกับความใหญ่โตของบ้าน


คืนแรกที่ผมเข้ามานอนบ้านหลังนี้ ผมนอนไม่หลับ ผมได้ยินเสียงนกป่วยร้องดังทั้งคืน บางทีก็มีกลิ่นขี้นกโชยมา ผมนึกว่ากำลังท่องอยู่ในฝัน กระทั่งตื่นเช้าขึ้นมาพบว่า มีไก่ฮวงมายืนสะบัดปีกอยู่บนรั้ว 5 ตัว มันมองหน้าเฉย ไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ ซ้ำยังชะโงกหน้าขวาทีซ้ายที ทำเป็นคุ้นเคย ผมเห็นแล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบมันทันที


เริ่มด้วยการไล่มันก่อน จากนั้นก็เป็นก้อนหิน ค่อยๆ เพิ่มขนาดก้อนหินให้โตขึ้นๆ

มันหายไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ กระทั่งเย็นวันหนึ่ง ผมได้ยินมันวิ่งพล่านอยู่ในรั้วบ้าน ส่งเสียงร้องอย่างกับบาดเจ็บ ผมยืนมองมันอย่างมุ่งร้าย มันคงดิ้นรนอยากจะกลับไปนอนกรง


ขณะที่ผมกำลังคิดตัดสินใจบางอย่างอยู่นั่นเอง เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้นหน้าบ้าน แล้วมีเสียงเรียก

คุณ คุณอยู่มั้ย คุณ… เสียงนั้นดังซ้ำๆ

ผมเดินไปหา เขารีบพูดสวนกลับมา ไก่ฮวงติดอยู่ในบ้านคุณ ผมขอเข้าไปหน่อย ผมรีบบอกให้เขาเข้ามา

เขาบ่นถึงไก่ฮวงอีกหลายคำ เขาเป็นคนร่างผอมสูง มีขนดกตามแขน ผิวคล้ำ ใส่แว่นตา แต่ดวงตาข้างหนึ่งเหมือนบรรจุไว้ด้วยสำลี เขาบ่นแล้วบ่นอีกถึงความดื้อรั้นของพวกมัน

รู้ว่าบินสูงไม่ได้ ยังอยากจะบิน

กี่เดือนครับ ตัวขนาดนี้

เกือบปี

เลี้ยงยากมั๊ย ผมรู้ตัวว่าถามไปงั้นๆ

ไม่ยาก เหมือนไก่เลี้ยงตามบ้านทั่วๆ ไป กินยอดไม้ยอดหญ้า กินแมง ไส้เดือน มันกินทุกอย่างแหละ เขานิยมกินกัน เขาว่าเนื้อแน่นเนื้ออร่อย

ต้องทำกรงให้มันด้วยหรือ


ใช่

นับแต่วันนั้น อย่างกับว่าพวกมันถูกล้างสมองจนราบคาบ หรือไม่ก็ถูกลงโทษด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ซึ่งทำให้พวกมันหลาบจำ ไม่มีไก่ฮวงมาเดินเพ่นพ่านตามรั้วบ้านอีกเลย ผมสงสัยวิธีการของเขามาก แต่ไม่กล้าถาม ได้แต่ชะเง้อมองข้ามรั้ว ใช่จริงๆ มันคงอยู่ในคอกกรงตลอดเวลา เสียงร้องกับกลิ่นของมันเท่านั้น โชยมากับลมให้ชวนอึดอัด น่ารำคาญ ที่สำคัญคือมันร้องอยู่ทั้งวันทั้งคืน อย่างกับมันจะรู้ว่าจะถูกจับถอนปีกถอนขนนำขึ้นเขียงในวันพรุ่ง


ผมนั่งอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืน ผมนอนหลับยาก ผมพยายามจะคิดว่าเสียงร้องที่ดังอยู่นอกประตูหน้าต่างนั้น เป็นเสียงไก่ฮวงที่เขาเลี้ยง ไม่น่าขลาดกลัวแต่อย่างใดหรอก แต่ผมเชื่อตามใจรู้สึกเพียงชั่วครู่เท่านั้น


เมื่อไหร่หนอ นกป่วยพวกนี้จะบินไปพ้นๆ

อย่าหวัง

เขาทนฟังพวกมันร้องได้ไง

เรื่องการผลิตซ้ำ

ถ้าไม่ได้ยินเสียงพวกมันเสียบ้าง บ้านหลังนี้คงเป็นสวรรค์

เรามาทีหลัง ทนๆ ไปเถอะ บ้านหลังดีๆ หลังโตๆ ราคาถูกๆ หาได้ง่ายเสียเมื่อไหร่

ถ้ามันยกฝูงมาจิกตีล่ะ


พี่คิดมากไป มันไม่ใช่นกผีที่ตามหลอกหลอนผู้คน

พี่กลัวมัน

มันผ่านไปแล้ว มันเป็นชะตากรรมของเรา

ฟังดูดีๆ สิ ไม่ใช่เสียงคนแก่ป่วยบ่นพึมพำหรือ

พี่อย่าคิดมาก

ไม่รู้ แต่พี่ไม่เชื่อมันหรอก พี่ต้องออกไปไล่พวกมันให้ไปพ้นๆ บ้านหลังนี้

พี่นอนเถอะ พี่นอน…


ต้นไทรลายที่ระก้านกิ่งใบอยู่ริมขอบหลังคาก็เช่นกัน ผมไม่ชอบมันเลย ใครนะเคยพูดว่า ไม้ใหญ่อยู่ในบ้านนำความเศร้าขรึมวังเวงมาให้ ความร่มรื่นในร่มเงาเป็นเพียงชั่วครู่ที่ผ่านเร็ว แต่มนต์ดำในรสเศร้าต่างหาก ไม่ยอมห่างไปไหนไกลๆ


มันอยู่ของมันมาก่อน เรามาทีหลัง

เธอพูดอยู่แค่นั้นเหรอ

เช้าวันหนึ่ง ผมไม่รีรอจะหยิบมีดของหมอผีกะเหรี่ยง เดินออกไปตัดกิ่งไทรลาย ทีละกิ่งๆ ที่หล่นลงมากองบนพื้น ผมรู้สึกเหมือนกำลังตัดเนื้อเยื่ออวัยวะบางอย่าง ยางสีขาวไหลย้อยเป็นทาง ช่างน่าแปลก ในลำตันของมันเป็นสีขาว


ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่ไปยุ่งมันอีกเลย ปล่อยให้มันงอกงามขึ้นไปอย่างนั้น


แต่แล้วในดึกคืนหนึ่ง กิ่งทุกกิ่งกลับมีเลือดแดงๆไหลออกมา ผมพยายามวิ่งหาเศษผ้ามาผูกมัดร้อยเอาไว้ แต่ไม่เป็นผล รอบๆ โคนต้นเริ่มแดงฉาน เหมือนรอยบาดแผลเกิดรั่ว แพะสี่ห้าตัวมีสีดำกับสีขาวมาจากไหนไม่รู้ ดื่มเลือดแดงๆ อย่างหิวกระหาย มันมองหน้าผม มองจ้อง มุ่งร้ายอาฆาตพยาบาท เตรียมจะวิ่งชนในอีกชั่วอึดใจข้างหน้า


จริงๆ ด้วย แพะทั้งฝูงกระโจนพุ่งเข้ามาเต็มอกผม ผมทรุดลงกองกับพื้น เห็นแต่น้ำสีขาวๆ ไหลยืดเป็นยางไม้ ค่อยๆ ห่อหุ้มตัวผมไว้ ผมอยู่ในเสื้อตัวใหม่ที่เหนียวเหนอะ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวแข็งเป็นหิน ในชั่วพริบตานั้นเอง อีแร้งตัวใหญ่มากขนาดก้อนหินนับพันตัน มันมองจ้องผมอย่างกับพบเหยื่อที่ไม่อาจหนีเอาตัวรอด



บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
ขบวนรถด่วนยาวเหยียดปล่อยสองพ่อลูกลงสถานีพัทลุง   กระเป๋าเป้ใบใหญ่อย่างกับบ้านย่อมๆ  ทุกอย่างยัดอัดแน่นอยู่ในนั้น   ถ้ามีห้องน้ำยัดใส่เข้าไปได้  ผมก็คงจับยัดลงไปด้วยอยู่หรอก  อีกทั้งกล่องกระดาษ  กระเป๋าใส่ของฝาก  พะรุงพะรังอยู่ในอาการโกลาหลอยู่พักใหญ่  กว่าทุกอย่างจะวางกองอยู่ในความสงบ  
ชนกลุ่มน้อย
รถไฟชั้นนอน โบกี้ 7 คนแน่นเต็มตั้งแต่ต้นทาง เราสองพ่อลูกออกจะตื่นเต้นพอๆกัน เพราะเหลียวมองไปทางไหนก็เจอแต่ใบหน้าคนฝรั่ง เหมือนเดินทางอยู่อีกมุมโลก นี่เรากำลังกลับบ้านนะ ไม่ได้ไปต่างประเทศ อย่ามองจ้องหน้าเรานานๆแปลกๆอย่างนั้นสิ เรากำลังจะไปบ้าน นี่ลูกชายผม อายุแค่ 7 ขวบ เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อย่าห่วงเลยว่าเขาจะเสียงดังรบกวน ขอให้คุณๆเดินทางสู่ปลายทางกันให้มีความสุขที่สุด ห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงตัว เป็นครอบครัวคนฝรั่งเศส หูมัธยมศึกษาปีที่สี่ห้าบอกว่าพวกเขาเป็นคนฝรั่งเศส ตุ๊ดตูเลอองฟร็อง .. บองชู .. ตูวาเบียง ..หวี๋ ..ตัวโอซี .. แกลเลคอมม็องตาเลวู.. ซาวะ ..หวี๋/น็อง ...…
ชนกลุ่มน้อย
หนังสือเดินทาง 7 เล่ม  กับเพลง 7 ซีดีอัลบั้มผมหลงชอบ ‘ตากอากาศ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ผมเห็นครั้งแรกจากหนังสือเล่มหนึ่ง  ตากอากาศกลางสนามรบ  นับแต่นั้นมา  ตากอากาศก็เข้ามาอยู่ในใจผม  มันให้ความรู้สึกนัยยะความหมาย  กว้างไกลเมื่อไปอยู่ร่วมคำอื่น  มีบวกลบอยู่ในนั้นผมถือโอกาสเชิญมาอยู่ร่วมในชื่อเรื่องอีกครั้งต้นฉบับชิ้นนี้ เขียนห่างฝั่งทะเลสาบสงขลาราว  10 กิโลเมตร  ผมกลับไปบ้านเกิด  แบบด่วนๆ  จึงต้องพกข้อมูลทุกอย่างใส่แฟ้ม  พร้อมต้นฉบับอื่นที่ค้างคา  รูปถ่าย  กล้องถ่ายรูป(ประจำตัว)  พร้อมเป้  และเจ้าชายน้อย 7 ขวบ…
ชนกลุ่มน้อย
เกิดหลงไปในเมฆอย่างฉับพลัน  อยากชวนไปดูเมฆ ฉากหลังเบื้องหลังของคนสัตว์สิ่งของ (ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้รบฆ่ากันของมนุษย์) เรื่องของเรื่องก็คือผมผ่านไปเห็นอะไรที่เหมือนไม่เกี่ยวกับเมฆ มาตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา  แต่น่าแปลก กลับเกี่ยวกับเมฆตลอดเวลา  ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายเลย กว่าจะได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้ายอดอกเมฆก้อนนั้น ก้อนโน้นอันที่จริงจะเรียกว่า มองเมฆก่อนเห็นใดอื่น ก็ไม่ใช่ เห็นสองฝักราชพฤกษ์แล้วเกิดหลงรักในฝักที่ห้อยย้อยคู่ขนานลงมา   
เหมือนมันจะวัดวันยืนยาวกันหรือเปล่า ว่าใครร่วงหล่นก่อน ก็ไปนอนรออยู่บนพื้นดิน   แปลกแท้ …
ชนกลุ่มน้อย
บิเบ - พญาไฟนกเจ้าชายในแดนดงดิบ  ร่ำลือกันว่าทั้งหล่อเหลา ดุดัน ร้อนแรง และมีน้ำเสียงอันไพเราะ  ยามปีกสีเพลิงอยู่รวมปีก  ประหนึ่งต้นพริกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่  แทบทำให้ป่าเปลี่ยนสี สักครั้ง บรรดานกสาวต่างหมายปองจะเห็นตัวจริงเสียงจริง .. สายเลือดกำเนิดบิเบในป่าสนขุนห้วย  งามปีกของมันเทียบเคียงกิ่งสนชรา  กิ่งบิดปลายเบี้ยวหักงอ ตะปุ่มตะป่ำ  วาดซ้ายขวาขึ้นไปบนท้องฟ้า  ยิ่งแก่กิ่งก้านยิ่งบิดงาม  ยิ่งแก่ยิ่งมีชั้นเชิงเติบโต สีเปลือกแตกลายกร้านโลก ยืนยันมีชีวิตอยู่บนภูเขาสูง  มองปีกเพลิงจากด้านไหน      …
ชนกลุ่มน้อย
เขาอยู่ด้วยกันสามคน  คนผอมบอบบางสูบยาสูบแทบตลอดเวลา  นั่งซึมเหม่อกับที่ได้คราวละนานๆ  กวาดสายตามองเลื่อนลอย เรื่อยเปื่อย  คนร่างมะขามข้อเดียว ดูแข็งแรงอยู่บนความเฉื่อยเนือย  เคลื่อนไหวเชื่องช้า  คนสุดท้ายร่างสันทัด  ดูแคล่วคล่องว่องไวที่สุด รู้จักงาน  ขยันทำงาน  เคลื่อนไหวไปมาแทบไม่หยุดหย่อนทั้งสามคนมาจากเมืองผาอาน  ข้ามน้ำสาละวินมาถึงป่าสาละวิน  ออกเดินลัดป่าเขา  รับจ้างไปตามหมู่บ้าน  ตามแต่ใครจะมีงานให้ทำ จนมาถึงป่าแม่น้ำเงานักรบยามหนีทัพ  ก็ดูไม่ต่างไปจากชาวบ้านปกติทั่วไปเขามาถึงป่าแม่เงาอย่างไม่คาดคิด  …
ชนกลุ่มน้อย
หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  ราวกับเพิ่มจำนวนมากขึ้นชั่วข้ามคืน  ผมสงสัยว่าพะเลอโดะจะเอาขึ้นรถอีกทำไม  มิหนำซ้ำยังเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว  พะเลอโดะพูดทีเล่นทีจริงว่า  เราต้องอยู่รอดด้วยวิธีของเรา  ผมไม่เข้าใจ  แต่ไม่ได้ถามต่อ   พอรถจอดแล้วดับเครื่องยนต์  ปิดไฟ  ผมถึงรู้ความจริงใต้หน่อกล้วยกับมะพร้าวงอกหน่อ  มันเป็นเกราะกำบังที่สามารถคุ้มครองเราได้   ผมไม่นึกว่ากะฌอกับซอมีญอจะมารอกลับขึ้นรถกลับไปกับเราด้วยพะเลอโดะก็ไม่รู้ว่า เขาสองคนจะเอาอย่างไรกับชีวิต เหมือนเขาถูกปล่อยเข้าป่า  เขาจะหนีเข้าป่า  หลบๆ ซ่อนๆ…
ชนกลุ่มน้อย
นกปีกขาวบินมาจากทิศไหน ผมไม่ทันได้สังเกต มันบินวนอยู่เหนือโขดหิน ฉวัดเฉวียนไปเหนือหลังคาบ้านริมฝั่งแม่น้ำ ดูมันคุ้นเคยกับอากาศอึมครึมรอบตัว ไม่มีใครใส่ใจว่ามันจะบินมาอีกหรือไม่ บินไปทางไหน สิ้นสุดลงที่ใด ผมมองตามปีกไหวๆ สลับไปมากับมองแม่น้ำ มองลุงเวยซาที่ยืนเป็นหินไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งนั่นเอง มันตีปีกทะยานบินข้ามแม่น้ำเต็มฝั่ง หายเข้าไปอีกฟากแม่น้ำ แล้วชั่วอึดใจต่อมาก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เสียงปืนดังเป็นคลื่นสะท้อนกังวานข้ามแม่น้ำ ผ่านไปในร้านก๋วยเตี๋ยว ขนมจีนน้ำเงี้ยว ร้านกาแฟ ป้อมค่ายทหาร ร้านค้าขายสิ่งของจิปาถะ แล้วสะท้อนกลับไปมาอีกครู่หนึ่ง…
ชนกลุ่มน้อย
พะเลอโดะพูดกับพวกเราว่า  ถ้าไม่มาถึงในเดือนกันยายน  เราคงไม่ได้เห็นน้ำโข่โละโกรเต็มฝั่ง   แล้วยังพูดถึงแม่น้ำใหญ่อีกว่า  ดูราวอวัยวะภายในขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรกลโบราณ  ท้องไส้เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม  ประกอบขึ้นเป็นผนังแม่น้ำ  เครื่องกลโบราณที่มีอายุใช้งานเก่าแก่เต็มที  พัดน้ำปั่นหมุนน้ำวนขึ้นผิวน้ำเป็นรูปดอกเห็ดบานเต็มที่  วนไหลต่อเนื่องดอกต่อดอกสะพรั่งตามน้ำไปอย่างน่าเกรงขาม  ท้องไส้ภายในโข่โละโกรบิดเกลียวไปตามท้องร่องอันเต็มไว้ด้วยซากไม้ตาย   ท่อนซุงไร้สัญชาติ  หินไหล กรวดทรายปลิว   ซากศพคนนิรนามตามน้ำ …
ชนกลุ่มน้อย
ลองแหวกพื้นเหล็กของรถจิ๊ปรุ่นสงครามโลกสิ   ก็จะพบหลุมหลบภัยจำนวนมากซ่อนไว้อย่างมิดชิด   มันอยู่ท่ามกลางความซับซ้อนของเครื่องยนต์กลไก  พะเลอโดะพูดไปพลางหัวเราะ  มีหลุมซอกซอนไปได้ทั้งคันแหละ  อยู่ใต้เบาะนั่ง  ในกลักไม้ขีดไฟ  ตามกระเป๋ากางเกง ในกล่องลังเครื่องมือ  เข้าไปในเชสซี  ยากที่สายตาจะมองผ่านไปเห็นได้ง่ายๆ   แต่ลุงเวยซากลับบอกว่า  ศาลเจ้าต้นจูเกริมน้ำแม่เงา  ช่วยปกปักรักษาพวกเราไว้  พะเลอโดะบอกว่า  ตะเคียนใหญ่ต้นนั้นศักดิ์สิทธิ์  รับคำบนบานศาลกล่าว  มีสายตาที่มองไม่เห็นอีกมาก  มองดูเราอยู่…
ชนกลุ่มน้อย
ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา …
ชนกลุ่มน้อย
“ถ้าจะตาย  ใจสงบแล้วที่ได้เห็นแม่น้ำใหญ่”   ลุงเวยซา วัย 69 ปี  พูดกับพวกเรา แล้วทรุดตัวนั่งลงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สาละวิน  พึมพำเสียงเปรยสั่นเครือเหมือนลืมตัว “โข่โละโกร โข่โละโกร..”  ผมนึกว่าลุงจะตื่นตาตื่นใจไปตามประสา  แต่พอเห็นหลังมือป้ายตา  นิ่งเหม่อมองไกล  ผมถึงเข้าใจว่า นั่น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆเสียแล้ว  นาทีต่อนาทีนับจากนั้น  ผมเห็นลุงเวยซายิ่งตัวเล็กลงเหลือเท่ากำปั้น  กลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินใหญ่ริมฝั่ง  เป็นหุ่นปั้นหินเปลือยกายท่อนบน  นุ่งเตี่ยวสะดอเก่าๆสะพายย่าม  เท้าเปลือย …