Skip to main content


เสียงเธอดังขึ้นในความเงียบ ผมบอกให้เธอรู้อีกครั้ง ใช่ๆ ใช่มันจริงๆ

อีแร้งหรือไม่ก็นกยักษ์ มันนั่งยองๆ อยู่บนรั้วบ้าน อย่างกับทิ้งน้ำหนักนับพันๆกิโลกดทับลงบนกำแพงคอนกรีตอันบอบบาง ถ้ามันนั่งนานกว่านี้ เมืองทั้งเมืองจะเทลาดมาทางนี้ มันเชิดหน้าเฉยเมย ประกาศความใหญ่โตหนาหนัก ผมยืนมองมันด้วยความรู้สึกแขนขาอ่อน เนื้อตัวเย็นเฉียบ


อย่าคิดมากเลย คำพูดผมเบาเป็นนุ่น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเห็นมากับตา

เธอต้องลงไปดู

ไม่

แต่พี่เห็นมัน

มันคงมาเล่นงานเราอีก คราวนี้พี่อย่ายอมมันนะ ไอ้นกป่วยนั่นนำโชคร้ายมาให้ มันควรไปเกาะที่อื่น ไปในที่ๆไม่ใช่ขอบรั้วบ้านมนุษย์ยิ่งดี หรือไม่มันก็ควรกลับนรกไปเสียที

ในหูผมได้ยินแต่เสียงร้องของมัน

ผมผลักประตูหลังบ้านออกไปอย่างแรง


ผมไม่อยากนับเลยว่าบ้านหลังที่อยู่ในปัจจุบันนี้ นับเป็นหลังที่เท่าไหร่ ทุกหลังล้วนเป็นบ้านของคนอื่น บ้านแต่ละหลังมีเรื่องสยองพองขนแตกต่างกันไป บ้านหลังที่เคยอยู่ ผมอยากลืม ประตู หน้าต่าง หลังคา ที่นอน เปล ตุ๊กแก ต้นอโศก ต้นเสี้ยว มะลิเครือ ฯลฯ มันแตกหักไปพร้อมๆ กัน


ผมมาพบบ้านหลังนี้ตามคำแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกแต่เพียงว่า เป็นบ้านสองชั้น กึ่งปูนกึ่งไม้ กว้างขวาง มีที่โล่งรอบบ้านให้ปลูกอะไรอย่างที่ผมชอบปลูกได้สบายๆที่สำคัญนั้นราคาค่าเช่าไม่แพง เมื่อเทียบกับบ้านหลังอื่นๆแถบชานเมือง


เจ้าของบ้านล่ะ ผมถาม

เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ปลดเกษียณ แกไม่มายุ่งหรอก แกมีบ้านหลายหลัง คงไม่อยากให้บ้านร้าง

จริงเหมือนเพื่อนว่า แกไม่มาข้องแวะนำความรำคาญมาให้เลย แต่เพื่อนยังแหย่เล่นว่า ขอเพียงมีเงินให้แกทุกเดือน แกจะเป็นคนดีมากๆ


รู้ได้ไง ผมถาม

เพื่อนบ้านกัน รั้วติดกัน ตอนที่คนงานของแกมาตัดหญ้าในบริเวณบ้าน แล้วก้อนหินเกิดปลิวมาโดนกระจกหน้าต่างแตก จนแกต้องออกเดินมาดู พร้อมกับจ่ายค่าเสียหายให้พอราคาเปลี่ยนใหม่ แถมด้วยคำเชิญชวนให้ตัดกิ่งไม้ที่ระอยู่ริมรั้วด้วยกัน ตอนนี้เองที่แกบอกว่าบ้านหลังหนึ่งยังว่างรอให้คนเช่า


คนมาอยู่ก่อนเป็นใคร?

แม่หม้ายลูกหนึ่ง เพื่อนผมตอบ แต่อยู่ไม่กี่เดือนก็ออกไป เขาไม่มีค่าเช่าส่งให้ทันรายเดือน

ผมลำบากใจอย่างที่สุดกับความใหญ่โตของบ้าน


คืนแรกที่ผมเข้ามานอนบ้านหลังนี้ ผมนอนไม่หลับ ผมได้ยินเสียงนกป่วยร้องดังทั้งคืน บางทีก็มีกลิ่นขี้นกโชยมา ผมนึกว่ากำลังท่องอยู่ในฝัน กระทั่งตื่นเช้าขึ้นมาพบว่า มีไก่ฮวงมายืนสะบัดปีกอยู่บนรั้ว 5 ตัว มันมองหน้าเฉย ไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ ซ้ำยังชะโงกหน้าขวาทีซ้ายที ทำเป็นคุ้นเคย ผมเห็นแล้วเกิดความรู้สึกไม่ชอบมันทันที


เริ่มด้วยการไล่มันก่อน จากนั้นก็เป็นก้อนหิน ค่อยๆ เพิ่มขนาดก้อนหินให้โตขึ้นๆ

มันหายไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ กระทั่งเย็นวันหนึ่ง ผมได้ยินมันวิ่งพล่านอยู่ในรั้วบ้าน ส่งเสียงร้องอย่างกับบาดเจ็บ ผมยืนมองมันอย่างมุ่งร้าย มันคงดิ้นรนอยากจะกลับไปนอนกรง


ขณะที่ผมกำลังคิดตัดสินใจบางอย่างอยู่นั่นเอง เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้นหน้าบ้าน แล้วมีเสียงเรียก

คุณ คุณอยู่มั้ย คุณ… เสียงนั้นดังซ้ำๆ

ผมเดินไปหา เขารีบพูดสวนกลับมา ไก่ฮวงติดอยู่ในบ้านคุณ ผมขอเข้าไปหน่อย ผมรีบบอกให้เขาเข้ามา

เขาบ่นถึงไก่ฮวงอีกหลายคำ เขาเป็นคนร่างผอมสูง มีขนดกตามแขน ผิวคล้ำ ใส่แว่นตา แต่ดวงตาข้างหนึ่งเหมือนบรรจุไว้ด้วยสำลี เขาบ่นแล้วบ่นอีกถึงความดื้อรั้นของพวกมัน

รู้ว่าบินสูงไม่ได้ ยังอยากจะบิน

กี่เดือนครับ ตัวขนาดนี้

เกือบปี

เลี้ยงยากมั๊ย ผมรู้ตัวว่าถามไปงั้นๆ

ไม่ยาก เหมือนไก่เลี้ยงตามบ้านทั่วๆ ไป กินยอดไม้ยอดหญ้า กินแมง ไส้เดือน มันกินทุกอย่างแหละ เขานิยมกินกัน เขาว่าเนื้อแน่นเนื้ออร่อย

ต้องทำกรงให้มันด้วยหรือ


ใช่

นับแต่วันนั้น อย่างกับว่าพวกมันถูกล้างสมองจนราบคาบ หรือไม่ก็ถูกลงโทษด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ซึ่งทำให้พวกมันหลาบจำ ไม่มีไก่ฮวงมาเดินเพ่นพ่านตามรั้วบ้านอีกเลย ผมสงสัยวิธีการของเขามาก แต่ไม่กล้าถาม ได้แต่ชะเง้อมองข้ามรั้ว ใช่จริงๆ มันคงอยู่ในคอกกรงตลอดเวลา เสียงร้องกับกลิ่นของมันเท่านั้น โชยมากับลมให้ชวนอึดอัด น่ารำคาญ ที่สำคัญคือมันร้องอยู่ทั้งวันทั้งคืน อย่างกับมันจะรู้ว่าจะถูกจับถอนปีกถอนขนนำขึ้นเขียงในวันพรุ่ง


ผมนั่งอยู่ดึกๆ ดื่นๆ ทุกคืน ผมนอนหลับยาก ผมพยายามจะคิดว่าเสียงร้องที่ดังอยู่นอกประตูหน้าต่างนั้น เป็นเสียงไก่ฮวงที่เขาเลี้ยง ไม่น่าขลาดกลัวแต่อย่างใดหรอก แต่ผมเชื่อตามใจรู้สึกเพียงชั่วครู่เท่านั้น


เมื่อไหร่หนอ นกป่วยพวกนี้จะบินไปพ้นๆ

อย่าหวัง

เขาทนฟังพวกมันร้องได้ไง

เรื่องการผลิตซ้ำ

ถ้าไม่ได้ยินเสียงพวกมันเสียบ้าง บ้านหลังนี้คงเป็นสวรรค์

เรามาทีหลัง ทนๆ ไปเถอะ บ้านหลังดีๆ หลังโตๆ ราคาถูกๆ หาได้ง่ายเสียเมื่อไหร่

ถ้ามันยกฝูงมาจิกตีล่ะ


พี่คิดมากไป มันไม่ใช่นกผีที่ตามหลอกหลอนผู้คน

พี่กลัวมัน

มันผ่านไปแล้ว มันเป็นชะตากรรมของเรา

ฟังดูดีๆ สิ ไม่ใช่เสียงคนแก่ป่วยบ่นพึมพำหรือ

พี่อย่าคิดมาก

ไม่รู้ แต่พี่ไม่เชื่อมันหรอก พี่ต้องออกไปไล่พวกมันให้ไปพ้นๆ บ้านหลังนี้

พี่นอนเถอะ พี่นอน…


ต้นไทรลายที่ระก้านกิ่งใบอยู่ริมขอบหลังคาก็เช่นกัน ผมไม่ชอบมันเลย ใครนะเคยพูดว่า ไม้ใหญ่อยู่ในบ้านนำความเศร้าขรึมวังเวงมาให้ ความร่มรื่นในร่มเงาเป็นเพียงชั่วครู่ที่ผ่านเร็ว แต่มนต์ดำในรสเศร้าต่างหาก ไม่ยอมห่างไปไหนไกลๆ


มันอยู่ของมันมาก่อน เรามาทีหลัง

เธอพูดอยู่แค่นั้นเหรอ

เช้าวันหนึ่ง ผมไม่รีรอจะหยิบมีดของหมอผีกะเหรี่ยง เดินออกไปตัดกิ่งไทรลาย ทีละกิ่งๆ ที่หล่นลงมากองบนพื้น ผมรู้สึกเหมือนกำลังตัดเนื้อเยื่ออวัยวะบางอย่าง ยางสีขาวไหลย้อยเป็นทาง ช่างน่าแปลก ในลำตันของมันเป็นสีขาว


ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่ไปยุ่งมันอีกเลย ปล่อยให้มันงอกงามขึ้นไปอย่างนั้น


แต่แล้วในดึกคืนหนึ่ง กิ่งทุกกิ่งกลับมีเลือดแดงๆไหลออกมา ผมพยายามวิ่งหาเศษผ้ามาผูกมัดร้อยเอาไว้ แต่ไม่เป็นผล รอบๆ โคนต้นเริ่มแดงฉาน เหมือนรอยบาดแผลเกิดรั่ว แพะสี่ห้าตัวมีสีดำกับสีขาวมาจากไหนไม่รู้ ดื่มเลือดแดงๆ อย่างหิวกระหาย มันมองหน้าผม มองจ้อง มุ่งร้ายอาฆาตพยาบาท เตรียมจะวิ่งชนในอีกชั่วอึดใจข้างหน้า


จริงๆ ด้วย แพะทั้งฝูงกระโจนพุ่งเข้ามาเต็มอกผม ผมทรุดลงกองกับพื้น เห็นแต่น้ำสีขาวๆ ไหลยืดเป็นยางไม้ ค่อยๆ ห่อหุ้มตัวผมไว้ ผมอยู่ในเสื้อตัวใหม่ที่เหนียวเหนอะ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวแข็งเป็นหิน ในชั่วพริบตานั้นเอง อีแร้งตัวใหญ่มากขนาดก้อนหินนับพันตัน มันมองจ้องผมอย่างกับพบเหยื่อที่ไม่อาจหนีเอาตัวรอด



บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
 อยู่กับบ้านหนึ่งวัน ฝนกำลังตก ถนนลาดยางผ่านหน้าบ้านเปียกน้ำ มันข้ามรางรถไฟมุ่งไปยังทะเลสาป ผมมองเห็นฉากเก่าๆผ่านเข้ามา รถบรรทุกไม้ฟืนรถไฟแล่นผ่านหน้าไป มันอัดแน่นด้วยไม้เนื้อแข็งขนาดหนึ่งวา ผ่าซีกดูขาวๆเหมือนกระดูกสัตว์ ผมใส่แผ่นซีดี Shangri-la ของ MARK KNOPFLER ลงในเครื่องเล่นซีดี เลือกเอาเพลง Whoop de doo  “ถ้าฉันกำลังทำเรื่องใหญ่ด้วยย้อนคืนกลับบ้านฉันไม่ได้มุ่งตรงดิ่งไปสู่คำตอบใดๆของฉันและน้ำตาก็ไม่ได้มาง่ายๆหนทางที่ถูกใช้ไปสู่ Whoop de doo...”
ชนกลุ่มน้อย
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว   แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว…
ชนกลุ่มน้อย
นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์ซามูนะห์มาแล้ว ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที
ชนกลุ่มน้อย
วจีเอ่ยเอื้อนออกไปอาจมิใช่ดังใจรู้สึกหากแต่เราคงดำเนินต่อข้ามผ่านกาลคืนค้นหาแรกก้าวจากเริ่มต้นจนพลันหายไปในอากาศพยายามเข้าใจ...จะดำรงอยู่อย่างมีเราอย่างไร ณ ที่นั้นสบเข้าไปนัยน์ตาเธอมิใช่ใครเลยที่ฉันรู้จักดื่มด่ำความงงงันอันว่างเปล่าด้วยสำนึกที่แสนเปลี่ยวเหงาณ บัดนี้ สำหรับฉัน บางคำผุดขึ้นมาอย่างง่ายดายซึ่งฉันรู้ว่ามิมีความหมายมากมายหากเปรียบเทียบกับคำกล่าวเมื่อฅนรักได้สัมผัสเธอมิอาจรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้ฉันรักในเธอและฉันเองก็มิอาจรู้ว่าเธอรักสิ่งใดในความเป็นฉันอาจเป็นภาพของใครบางฅนที่เธอคาดหวังตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมิอาจเสแสร้งใดใด…
ชนกลุ่มน้อย
ไม่มีสถานที่ไหน ผูกมัดใจผมไว้แน่นเท่าที่แห่งนี้ เป็นแววตาของพ่อที่มองลูกด้วยความเอ็นดู ดินแดนที่เราเหล่าเด็กๆไม่ได้ไปบ่อย หนึ่งปีผ่านไปเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น เวลาอื่นราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้าม และน่าเกรงกลัว ความจริงในโลกของเด็กชาย ต้องเดินไปเรียนหนังสือตามทางรถไฟ ไปกลับวันละ 10 กิโลเมตร เพียงมองข้ามผ่านทุ่งนาไปทางทิศตะวันตก ห่างราวครึ่งกิโลเมตร ก็เห็นแนวป่าทึบเป็นกำแพงหนา ล้อมไม้ใหญ่ต้นสูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง มีธงเหลืองปลิวอยู่เหนือยอดไม้ มองไม่เห็นโรงธรรม กุฎิ หรือต้นลั่นทมเก่าแก่ล้อมโรงธรรม เดินผ่านทุกครั้ง ในใจผมผุดพรายถึงฉากนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้นผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช …
ชนกลุ่มน้อย
ทางไปนาเหมือนทางเดินในสนามเพลาะ   ขุดลึกลงไปในดินด้วยแรงน้ำกัดเซาะ  จะว่าไปน่าจะเป็นผลพวงของการขนไม้หมอนรถไฟ   เส้นทางชักลากไม้สมัยคนรุ่นปู่ยังหนุ่ม  ไม้ล้มลงจำนวนมหาศาลต่อเนื่องกันหลายปี  ไปเป็นไม้หมอนรถไฟร่องรอยเหลือไว้  คือเส้นทางขุดลึกลงไปในดินเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว  มันเป็นทางเดียวที่พาผมไปพบกับผ้าร้ายควายผ้าร้ายควายชั้นดีอยู่ในป่าพรุ  โคลนลึกถึงหน้าขาผู้ใหญ่  บางช่วงเลยบั้นเอว  บางช่วงผู้ใหญ่จะรู้กันว่า  เป็นวังโคลนดูด  โคลนมีชีวิตดูดวัวควายตายไปนักต่อนัก  โดยเฉพาะวัวควายที่โจรขโมยมา …
ชนกลุ่มน้อย
ถ้าเกาะสี่เกาะห้าเป็นเรื่องสั้น  ใครก็คงคิดว่าต้องเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว  แต่คุณกลับเห็นต่าง  ใครคงคาดไม่ถึงกระมังว่า  ความจริงมากพอที่จะนับเป็นนวนิยายได้สบายๆนั้น  คุณกลับไม่เห็นเป็นนวนิยาย  คุณอ้างถึงข้อมูลที่คุณมีอยู่เพียงน้อยนิด  ไม่ได้มีมโหฬารขนาดใส่โบกี้รถไฟ  เรื่องสั้นๆห้วนๆขาดๆเกินๆ  คุณจะทำอะไรได้มากไปกว่านั่งมอง  แม้คุณจะบอกใครๆว่าคุณเห็นเกาะสี่เกาะมาตั้งแต่จำความได้ก็ตาม  ในสายตาของคุณ  เกาะสี่เกาะห้าเป็นแค่เรื่องสั้นที่ไม่เคยมีใครเขียนจบ ไม่มีใครอยากให้คุณรู้มากไปกว่า  เกาะรังนกนางแอ่นหรือรังนกแอ่นทำรังอยู่กลาง(ทะ)…
ชนกลุ่มน้อย
แม่บอกว่า  ล้างข้าวสารหลายน้ำหน่อย  ผมรับหม้อข้าวจากมือแม่  ด้วยอยากช่วยแม่หุงข้าว  แม่กรอกหม้อมาเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงนำไปใส่น้ำ   ผมพูดกับแม่ทันที  ไม่ล้างจะดีกว่ามั้ย  เพราะข้าวขาวเหลือแต่แกน  เมล็ดผอม  ขัดสีผิวจนเมล็ดขาวนวล   ตามความเข้าใจที่ว่า  วิตามินในข้าวจะหายไป   แต่แม่ตอบกลับมาว่า  ข้าวสารสมัยนี้ ไม่ใช่ข้าวสารสมัยก่อน    แม่ชี้ให้ดูกระสอบข้าวสาร  หนึ่งกระสอบปุ๋ยราคาหลายร้อยบาท  ผมดูตัวหนังสือข้างถุง  บอกวันเดือนปีที่ผลิต  ชื่อพันธุ์ข้าว จังหวัดที่ผลิต …
ชนกลุ่มน้อย
ไม่น่าเชื่อว่า  ขี้มัน  จะเกี่ยวกับพร้าวห้าว  คนถิ่นอื่นให้ความหมายของพร้าวห้าวกับขี้มันอย่างไร?
ชนกลุ่มน้อย
อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียวแต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก      …
ชนกลุ่มน้อย
ถนนคดเป็นงู  ข้ามผ่านหารกง – (พี่ชายของหนองน้ำ) เหลนของสายคลองหัวท้ายตัน  ความยาวเดิมเกือบ 100 เมตร  ตอนนี้มันหดสั้นลงเหลือครึ่งหนึ่ง  อีกไม่เกินสิบปีกระมัง  มันอาจหดลงเหลือแค่คืบไว้ดูเป็นขวัญตา  ให้เด็กรุ่นผมได้นึกย้อนความหลัง  เดินเปลือยล่อนจ้อนตัดกลางหมู่บ้านหน้าตาเฉย  ไปให้ถึงหัวสะพาน  แล้วกระโดดน้ำกันอย่างหนุกหนาน(สนุกและสนาน)