ไก่ย้อย
หมายเหตุ: จดหมายฉบับนี้สร้างขึ้นจากเรื่องจริงแต่แอบอิงวิธีการนำเสนอจากภาพยนตร์เรื่อง ‘เพื่อนสนิท’ โดยสมมติเหตุการณ์ว่าเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ต้นฉบับ หากใครยังไม่มีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ บางทีก็อาจจะไม่เข้าใจมุกเห่ยๆ ของผู้เขียน ส่วนใครที่ไม่อยากอ่านจดหมายฉบับนี้ ผู้เขียนก็ขอร้องว่าอย่าอ่านเลยนะพวกคุณ
ถึงเพื่อนๆ
หากพวกแกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันขอร้องพวกแกอย่างหนึ่งนะว่า “อย่าคิดมาก” เพราะที่ผ่านมาเหตุการณ์บ้านเมือง และวงการวิชาการของไทยมันก็มีเรื่องซีเรียสมากมายกันพออยู่แล้ว ฉะนั้นพวกแกอย่าเสียเวลาเปลืองมันสมองเพื่อขบคิดกับจดหมายบ้าๆ บอๆ ของฉันอยู่เลย เอาเป็นว่าเอาไว้อ่านเล่นเพลินๆ ก็แล้วกันนะพวกแก
ไก่ย้อย
ถึงดาวกานดา
แกหายไปไหนของแกวะ ฉันอุตส่าห์ขึ้นมาตามหาแกที่งานลูกทุ่งวิจิตร แต่กลับได้ยินข่าวคราวว่าแกต้องไปชุบตัวถึงเมืองนอกเมืองนา เพื่อจะได้มีปัญญากลับมาเป็นอาจารย์ เป็นเรื่องจริงรึเปล่าวะแก? แล้วไหนแกเคยบอกกับฉันว่าไม่ว่ายังไงแกก็จะไม่มีวันทิ้งที่นี่ไปไงล่ะ ฉันนึกโกรธแกมากมายที่ไปไหนโดยไม่ร่ำไม่ลา แต่ก็นั่นแหละนะคนเราย่อมมีเหตุผลที่เป็นส่วนตัวเสมอ บางทีฉันคงจากที่นี่ไปเสียนาน นานจนเมื่อกลับมาอีกที ฉันรู้สึกว่าเชียงใหม่เปลี่ยนไปมาก มากเสียจนบางครั้งฉันก็ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ทัน
เมื่อคืนก่อนวันลอยกระทง ฉันมีโอกาสได้นั่งสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆ ของเราหลายคน (แต่เสียดายที่แกไม่อยู่ด้วย) แกจำ ‘ไอ้โอ’ ได้ไหม? ทุกวันนี้มันกลายเป็นอาจารย์ไปแล้วนะโว้ย โก้ไม่หยอก ส่วน ‘บอลลูน’ มันก็กำลังคร่ำเคร่งกับหลักสูตรปริญญาโทที่คณะ มันหวังว่าถ้าเรียนจบมันคงจะได้เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่ ก็อย่างที่แกรู้อะแหละว่ามันรักที่นี่มากมายขนาดไหน แต่แล้วเหตุการณ์ก็กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่มันคาดคิด เพราะเดี๋ยวนี้ท่านผู้ใหญ่ที่มหาวิทยาลัยเขากำลังมีแนวคิดในการพัฒนาคุณวุฒิเหล่าคณาจารย์ด้วยการส่งเสริมให้เรียนรู้ตามหลักสูตรปริญญาเอก หรือไอ้ที่เขาเรียกว่า ‘ด๊อกเตอร์’ นั่นแหละแก
ฟังดูมันก็เก๋ดีอะนะ แต่แกก็รู้นี่ว่าหลักสูตรปริญญาโท ปริญญาเอกนี่มันต้องใช้ ‘เงินมากมาย’ ขนาดไหน ลำพัง ‘ปัญญา’ ในการอ่านตำราบางทีมันก็ไม่เพียงพอที่จะก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความเป็น ‘มหาบัณฑิต’ ผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะแก ยิ่งฐานะยากจนและปัญญาทึบอย่างฉันนี่ล่ะก็หมดสิทธิ์ฝันเลยแก นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาวินส์ เป็นจริง ผู้เหมาะสมเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ส่วนฉันมันเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจึงถูกคัดสรรออกจากระบบความเข้มแข็งทางวิชาการ
นึกไปแล้วมันก็น่าน้อยใจ แต่ฉันกลับรู้สึกเห็นใจยาย ‘บอลลูน’ มันมากกว่า ก็แกคิดดูสิว่ากว่ามันจะหาเงินมาเรียนปริญญาโทได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น หวังว่าจบปริญญาโทแล้วจะมีโอกาสมาถอนทุนคืนจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ท่านผู้ใหญ่ก็ช่างมีกลวิธีในการนำพา ‘ลูกค้า’ เอ๊ย...ไม่ใช่... ‘ลูกศิษย์’ เข้าสู่ ‘ระบบธุรกิจการค้าทางปัญญา’ ได้เสมอ แต่ช่างมันเถอะแก ผู้ที่เหมาะสมก็จะต้องหาทางอยู่รอดได้อยู่ดี แม้ว่ามันจะต้องเหยียบหัวผู้ที่อ่อนแอกว่าขึ้นไปก็ตาม
มีอีกเรื่องที่ฉันอยากจะเล่าให้แกฟัง... ฉันว่าแกคงจะเคยได้ยินเรื่องทฤษฎีการแบ่งสีในเมืองไทยมาบ้างไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าแกจะอยู่ไกลถึงเมืองนอก มันช่างน่าตลกเนอะแก ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ‘ขมิ้นกับปูน’ มันจะไม่มีวันเข้ากันได้จริงๆ แต่สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดก็คือ ทุกวันนี้ไอ้การที่เราเลือกใส่เสื้อสีอะไรนี่มันก็กลายเป็นเรื่องของความขัดแย้งได้
เมื่อไม่กี่วันมานี้ฉันมีโอกาสไปเดินเล่นที่ตลาดของเก่าข้างโรงเรียนปริ๊นท์ (หวังว่าแกคงจำได้นะ) ขณะที่ฉันกำลังเดินๆ อยู่ หูของฉันก็ต้องสะดุดกับถ้อยคำของใครบางคน
“มันเลยเวลาเจรจาแล้ว ตอนนี้ต้องฆ่ามันอย่างเดียว” ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าชาวบ้านคนนั้นจะใส่เสื้อสีอะไร แต่น้ำเสียงที่ได้ยินมันทำให้สันหลังของฉันเสียววูบ เพราะฉันไม่เคยคิดเลยว่าคนๆ หนึ่งจะนึกอยากฆ่าคนอีกกลุ่มหนึ่งทั้งๆ ที่เขาไม่เคยพบปะพูดคุยกันเลยด้วยซ้ำ นี่หรือวะแกที่เขาเรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’
จริงๆ ฉันยังมีเรื่องอีกมากมายที่อยากเล่าให้แกฟัง อย่างเรื่องความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับผังเมืองใหม่ที่หวังจะขยายถนนในเขตเมืองเก่า เพราะมันจะทำลายวิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมาก กับกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับการขยายถนน เพราะพวกเขาอาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาสะดวกสบายยิ่งขึ้น ฉันไม่สรุปหรอกนะแกว่าใครผิดใครถูก แต่เอาเป็นว่าในวันที่แกกลับมา ‘เชียงใหม่’ อาจจะไม่ได้มีหน้าตาแบบเดิมอีกแล้วนะแก
รักและคิดถึงแกนะดาวกานดา
ไก่ย้อย ณ ริมปิง