Skip to main content

 

พิชญ์ รัฐแฉล้ม  

" องค์บาก 2 " ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปี 2551 นำแสดงโดย จา' พนม ยีรัมย์ หรือ โทนี่จา' ในวงการภาพยนต์โลก ถือฤกษ์มงคล 5 ธันวาคม เข้าฉาย ทีมผู้สร้างวางเป้าหมายไว้ องค์บาก 2' จะต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงามสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน

บัดนี้..ผ่านมาแล้วสองสัปดาห์เต็มที่ภาพยนตร์ได้ออกฉายให้แฟนๆ จา พนม ที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นได้สัมผัสอย่างเต็มตา และได้รับการตอบรับจากแฟน จา พนม เป็นอย่างดีจนสามารถฉลองความสำเร็จของรายได้ที่ทะลุเป้าหมายร้อยล้านในสัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้ๆกัน องค์บาก 2' เคยมีข่าวก่อนหน้านี้ในเรื่องทุนสร้างที่บานปลายจนกลายเป็นเรื่องขัดแย้งกันเองของ เสี่ยเจียง' ผู้สนับสนุนเงิน กับ จา พนม ที่เป็นทั้งนักแสดงนำและก้าวกระโดดเข้ามากำกับเองเป็นเรื่องแรก ฝ่ายการตลาดของสหมงคลฟิล์มเองคงไม่ต้องการให้งบบานปลายไปมากกว่านี้ จึงได้ใช้เหตุการณ์ขัดแย้งเป็นแผนประชาสัมพันธ์องค์บาก 2 ไปในตัว

ปรากฏว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หนังได้รับความสนใจและผู้ชมตั้งตาคอย ทีมประชาสัมพันธ์ได้ยั่วน้ำลายคอหนังแอ็คชั่นเข้าไปอีกด้วยการปล่อยฮีโร่อย่าง จา พนม ออกมาบู๊แหลกลาญผ่านหนังตัวอย่างก่อนฉายหลายเดือน ซึ่งไม่น่าแปลก เพราะบทบาทของ จา พนม ถูกวางในแนวนี้และยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน ผู้ชมเองต่างก็รู้ล่วงหน้าดีอยู่ในควมตั้งใจขาย จา พนม' ในฐานะ พระเอกนักบู๊' ผู้ซึ่งต่อสู้อย่างบ้าคลั่งด้วยความดี พิชิตความชั่ว ผ่านปมความแค้นส่วนตัว และผู้ชมคงไม่ผิดหวังแน่หากตั้งใจไปดูศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆและความอัจฉริยะในด้านนี้ของเขา เพราะทั้งการใช้ส่วนต่างๆของร่างกายและอาวุธต่างๆของ จา พนม สามารถชื่นชมได้เต็มปากว่าลงตัวไร้ที่ติและเทียบชั้นดาราบู๊ชั้นนำของโลกได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น เจ็ทลี,แจ็กกี้ ชาง,หรือสตีเวน ซีกัล ก็ตาม เพียงแต่มันก็อาจเป็นจุดเด่นที่สุดเพียงจุดเดียวของหนังและอาจจะกลบองค์ประกอบอื่นๆของความเป็นหนังไปหมด

 

 

องค์บาก 2 เป็นเรื่องราวของ "เทียน" เด็กหนุ่มซึ่งเป็นบุตรชายของขุนสีหเดโช (สันติสุข พรหมศิริ) ได้ถูกพระยาราชเสนา (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ฆ่าล้างครอบครัวเพื่อความเป็นใหญ่ของตัวเอง แต่เทียนได้หนีรอดออกมาจากเงื้อมือขุนสีหเดโชได้ จนกระทั้งมาพบกับเชอนัง (สรพงษ์ ชาตรี) หัวหน้ากองโจรผาปีกครุฑที่ช่วยเทียนมาจากพวกค้าทาสและรับเป็นลูกบุญธรรม

 

ระหว่างอยู่กับเชอนัง เทียนได้รับการสั่งสอนวิชาแขนงต่างๆไม่ว่าจะเป็นวิชาในการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆทั้งการต่อสู้ด้วยมือเปล่า มวยไทย มวยจีน รวมถึงการใช้เวทย์มนต์ คาถา การใช้อาวุธทั้งดาบ กระบี่กระบอง หรือแม้แต่การใช้ระเบิด โดยมีเหล่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาเป็นผู้ประสาทวิชา สั่งสอนฝึกปรืจนเทียนเก่งกล้าและเป็นที่หนึ่งของกลุ่มกองโจรผาปีกครุฑ

 

แต่ด้วยความแค้นในอดีตที่ค่อยตามหลอกหลอนเทียนตลอดเวลาทำให้เทียนจำต้องขอลาเชอนังเพื่อไปสะสางความแค้นในอดีตของตัวเองที่มีต่อพระยาราชเสนาผู้สังหารบิดามารดาตน แต่ไม่สำเร็จและได้ส่งผลร้ายแก่ตนเองในภายหลัง

จากภาพรวมของเรื่อง หากมาพิจารณาในด้านเนื้อหา องค์บาก 2 แตกต่างจากภาคแรกอย่างสิ้นเชิง ด้วยการพาเราย้อนยุคกลับไปในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ดำเนินเรื่องด้วยการแย่งชิงราชสมบัติและความวุ่นวายขายปลาช่อนในหมู่ชนชั้นนำที่กลายมาเป็นเหตุแห่งความแค้นของเทียน (จา พนม) และใช้เป็นปมที่ผูกเรื่องในการสร้างพัฒนาการการเจริญเติบโตและพรสวรรค์ด้วยใจรักทางการต่อสู้เป็นจุดเริ่ม แต่ปมที่วางไว้แบบนี้อาจไม่ได้แตกต่างอะไรจากหนังบู๊แอ็คชั่นในฮอลลีวู้ดทั่วไปที่ประกอบเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมาเพื่อสร้างวีรบุรุษให้โดดเด่นและแตกต่างจากมนุษย์มนา เช่น ภาพยนตร์เรื่อง I'am legend ที่ใช้ปมเรื่องจากความโหดร้ายสู่การสร้างวีรบุรุษ

เทียนเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ควบคู่กับคำทำนายที่ติดตัวเสมือนถูกสาบมาตั้งแต่เกิด เมื่อเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีบรรดานายทหารผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเหนือหัว เป็นแรงบันดาลใจทำให้เทียน(อยาก)เรียนรู้และต้องการเป็นผู้เก่งกล้า โดยเฉพาะพ่อนับว่าเป็น Ideal ที่สำคัญของเทียน

เมื่อเทียนได้เติบโตเป็นเด็กหนุ่ม ท่ามกลางความวุ่นวายของการแย่งชิงอำนาจและการทำลายครอบครัวอันเป็นที่รักจนหมดสิ้นไปต่อหน้าต่อตา มันจึงกลายเป็นปมทีบ่มเพาะความแค้นอยู่ในจิตใจของเด็กน้อยคนหนึ่งที่รอวันสะสาง ซึ่งพล๊อตเรื่องแบบนี้ทำให้เรานึกถึงทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินเรื่อง การคัดเลือกโดยธรรมชาติ' ผู้ที่เก่งเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ วิธีคิดแบบนี้มันได้ฝังไปอยู่ในตัวและในหัวของเทียนอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งที่ในวัยเด็ก เทียนไม่ได้เรียนรู้เรื่องการต่อสู้เลย แต่เมื่อบริบทที่รายรอบเปลี่ยน เทียนสู้จนสามารถเอาชนะจระเข้ได้ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ชุมชนโจรได้อย่างเป็นที่ยอมรับ หนังอาจแฝงความหมายที่ว่าผู้ชนะเท่านั้นที่สามารถอยู่ในสังคมได้อยู่ในที และผู้ชนะนั้นยังหมายถึงการเป็นผู้สืบอำนาจเปลี่ยนผ่านจากผู้นำเดิมที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง   

องค์บาก 2' กับการดำเนินเรื่องเช่นนี้จึงกลับกลายการผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าภาพและบทแบบเดิมๆของจา พนม การแสดงแบบเดิมๆอาจกลายเป็นตัวทำลายภาพลักษณ์ของจา พนม เองในอนาคต หากหนังยังไม่สามารถเป็นตัวสร้างอัตลักษณ์อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก สุดท้ายคนอาจจะเบื่อถ้าเห็นอะไรที่ซ้ำไปซ้ำมา ด้วยบทบู๊เป็นหลักเนื้อหางเป็นรองแบบเดิมๆ เหมือนหนังฮ่องกงที่เคยครองตลาดในบ้านเรามาก่อน แต่ปัจจุบัน หนังไม่จำเป็นต้องโชว์บู๊หนักหน่วง แต่ใช้เนื้อหาและการผูกเรื่องก็ทำให้หนังน่าสนใจที่สามารถสร้างนักแสดงให้ดูลุ่มลึก ทรงเสน่ห์ได้ เช่น Infernal Affairs เป็นต้น

อีกประการหนึ่ง ความผิดพลาดที่สุดขององค์บาก 2 อาจอยู่ที่ความโลภโมโทสันของผู้ผลิตที่หวังกอบโกยเงินจากดาราแบบจา พนม แบบต่อเนื่องเกินไปก็เป็นได้ เพราะหนังได้สร้างเสียงครางระงมเนื่องจากผู้ชมที่มากเกือบแน่นโรงต้องมารู้สึกอารมณ์ค้างกับการจบที่ไม่สุดและอาจจะต้องมีองค์บาก 3 มาเป็นภาคต่อ

ที่สำคัญ หนังเองได้สร้างคำถามกับผู้ชมไปเสียแล้วว่าองค์บาก 2 และองค์บากแรกเกี่ยวข้องกันอย่างไร หรือแค่นำชื่อมาโฆษณาเฉยๆ เพราะต่อไปนี้ผู้ชมคงจะรู้สึกตุ๊มๆต่อมๆที่จะได้ดูภาคต่อแต่อาจเป็นภาคต่อที่เป็นคนละเรื่องเดียวกันอีกตามเคยก็ได้

หมายเหตุ: ผู้เขียนเป็นนักศึกษาฝึกงาน www.prachatai.com

บล็อกของ Cinemania

Cinemania
โดย… พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ
Cinemania
      ซาเสียวเอี้ย   แต่ไหนแต่ไรมา...ระบบการศึกษาในพื้นที่หลายแห่งทั่วโลกมักถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการ ‘ดับฝัน’ ของคนวัยหนุ่มสาว เพราะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นที่จะ ‘เรียนรู้’ สิ่งแปลกใหม่ในวัยเยาว์ถูกลบเลือนหายไปในกรอบ-กฎเกณฑ์-เหตุผล-เงื่อนไข และข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวง (ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีโอกาสเกิดมาใช้ชีวิตบนโลกก่อนหน้าเรา...)   กระนั้น...ใครหลายคนก็ยังยินดีเดินตามแนวทางหรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกวางไว้แล้วโดยไม่เคยคิดตั้งคำถาม เพื่อแลกเปลี่ยนกับ ‘การยอมรับ’ จากสังคมรอบข้าง...เพื่อที่มนุษย์ทั้งหลาย (ซึ่งเป็นสัตว์สังคม)…
Cinemania
        ซาเสียวเอี้ย   ‘ชาร์ลี วิลสัน’ ตายแล้ว...   แม้การตายของเขาจะไม่ได้ทำให้โลกสะท้านสะเทือนอะไรมากนัก แต่ก็มีความหมายสลักสำคัญมิใช่น้อย เพราะบทบาทของวิลสันในสมัยที่เขายังหนุ่มแน่นและดำรงตำแหน่ง สว.รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา เป็นประเด็นให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ถกเถียงกันไม่สิ้นสุดว่าควรจะจดจำเขาไว้ในฐานะอะไร...   บ้างก็ว่า ชาร์ลี วิลสัน คือ ‘นักการเมืองเจ้าสำราญ’ เจ้าของฉายา Good Time Charlie ผู้มีชีวิตโลดโผนเต็มไปด้วยสีสัน หรือเป็น ‘วีรบุรุษชาวอเมริกัน’ ผู้ช่วยให้นักรบมูจาฮิดีนขับไล่กองทัพสหภาพโซเวียตอันโหดร้ายป่าเถื่อนไปจากอัฟกานิสถาน…
Cinemania
themadmon หมายเหตุ: ข้อเขียนชิ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น บทสะท้อนย้อนคิดหลังจากการชมภาพยนตร์เรื่อง Air Doll ผมในฐานะที่เป็นผู้เขียนจงใจจะหยิบเลือกประเด็น (ซึ่งผ่านการตีความของผม) โดยไม่ได้อ้างอิงอย่างชัดเจนไปสู่ตัวภาพยนตร์ในแต่ละฉากแต่ละตอน โดยหวังว่าผู้ที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์ก็สามารถอ่านได้ และผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์แล้วจะสามารถระลึกถึงฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ได้ด้วยเช่นกัน     หากลองพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ในสามประโยค  ผมคงพูดสั้นๆ ว่า.. “ผู้คนหลากหลาย เราต่างก็ว่างเปล่า และเหงามากมาย”  เพราะอะไรน่ะหรือ …
Cinemania
  บริวารเงา   ขงจื๊อ เป็นชื่อหนึ่งที่ผมได้ยินมาเนิ่นนาน ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็นหนังจีนกำลังภายในสักเรื่องหนึ่งที่อ้างชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อพูดถึงปรัชญาในเรื่องคุณธรรมน้ำมิตร ผมมารู้จักเขาอีกครั้งในห้องสมุดช่วงที่กำลังสนใจพวกวิชาปรัชญา จิตวิทยา วรรณกรรม ฯลฯ  แต่ผมกลับไปชอบปรมาจารย์จีนอีกคนคือ เล่าจื๊อ เสียมากกว่า เพราะว่าแกมีความคิดที่ 'แนว' ดี (อารมณ์ของวัยรุ่นเช่นนี้แล) อีกนัยหนึ่งก็ดูเพี้ยน ๆ อีกนัยหนึ่งก็มีอารมณ์ศิลปินกว่าขงจื๊อ ขณะที่ผมเห็นว่าขงจื๊อเอาแต่พร่ำบ่นอะไรที่เป็นหลักจริยธรรมน่าเบื่อ ๆ ซึ่งความน่าเบื่อนี้ไม่ใช่ความผิดของขงจื๊อเสียทีเดียว…
Cinemania
เดือนสองจันทร์   October Sonata: รักที่รอคอย
Cinemania
สุพิชชา โมนะตระกูล ตลอดช่วงเวลาขณะชมภาพยนตร์สารคดี “Our Daily Bread” ผู้เขียนรู้สึกตะลึงกับภาพที่ได้รับชม โดยสาเหตุหลักหาใช่ “ความงาม” ของสีสันหรือองค์ประกอบศิลป์แบบภาพที่ผู้กำกับภาพบรรจงจัดวางอย่างภาพยนตร์ที่มีภาพงามเรื่องอื่นๆ...หากเป็น “ความจริง” ของภาพที่ตรึงผู้เขียนไว้ตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
Cinemania
  สาวกท่านเป้า ขณะที่กำลังตุรัดตุเหร่ในร้านหนังสือแอร์เย็นเฉียบ เพื่อตามหานิตยสารมือถือฉบับหนึ่ง บังเอิญเหลือบไปเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งที่นำภาพโปรโมทภาพยนตร์ “วงษ์คำเหลา” มาขึ้นปก แต่เมื่อหยิบมาจึงรู้ว่าเป็นปกหลัง แต่ปกหน้าก็ยังเป็นวงษ์คำเหลาอยู่ดี จึงเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอกแดกเสียแล้ว มีที่ไหนวางขายนิตยสารโดยเอาปกหลังเป็นตัวชูโรง นิตยสารฉบับนั้นคือนิตยสารภาพยนตร์ของกลุ่มคนทวนกระแสที่ชื่อว่า “ไบโอสโคป”
Cinemania
   เคยได้ยินครูสอนประวัติศาสตร์บอกว่าคนอเมริกันมีปมเรื่องรากเหง้าทางวัฒนธรรม เพราะไม่ได้มีฐานที่มั่นคงแข็งแรงเท่าประเทศแถบยุโรปที่ผ่านการต่อสู้ก่อร่างสร้างชาิติและบ่มเพาะอารยธรรมมานานหลายศตวรรษ และต่อให้ ‘สหรัฐอเมริกา' เป็นถึงประเทศมหาอำนาจแห่งโลกสมัยใหม่ ก็ยังไม่วายถูกมองเป็นแค่ ‘เศรษฐีใหม่' หรือ ‘ชนชาติที่ไร้วัฒนธรรม' แถมยัง ‘บ้าอำนาจ' อีกต่างหากในสายตาของคนบางชาติถึงจะไม่แน่ใจว่าประโยคที่ได้ยินมาถูกต้องมากน้อยแค่ไหน แต่การที่สังคมอเมริกันให้ความสำคัญ (อย่างมาก)กับการเก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ชาตินิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็คงพอจะเป็นภาพสะท้อนได้กลายๆ ว่าคนอเมริกันคงมี ‘ปม'…
Cinemania
 'มาริโอ โรปโปโร' เป็นลูกชายชาวประมง เติบโตมาบนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลี ที่ซึ่งไม่มีน้ำประปาและผู้คนบนเกาะส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ...‘ปาโบล เนรูด้า' เป็นกวี-นักการทูต-นักการเมือง และเป็น ‘คอมมิวนิสต์' ชาวชิลี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แต่ต้องลี้ภัยไปอยู่บนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งในอิตาลีช่วงปี 1952 และที่นั่นมีบุรุษไปรษณีย์เพียงคนเดียว...บุรุษไปรษณีย์นามว่า ‘มาริโอ โรปโปโร':::บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์::: Il Postino หรือ The Postman เป็นหนังภาษาอิตาลี แต่เป็นผลงานของผู้กำกับชาวอังกฤษ ‘ไมเคิล แรดฟอร์ด' ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์หลายสาขาเมื่อปี 2538…
Cinemania
  ..mad mon..::ข้อเขียนชิ้นนี้เปิดเผยเรื่องราวบางส่วนในภาพยนตร์:: 1. จุดเริ่มต้นของจุดจบและ/หรือจุดเริ่มต้นอันใหม่เรื่องราวปัจจุบันในภาพยนตร์บอกให้เรารู้ว่าเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น Laura (Belén Rueda) เคยใช้ชีวิตช่วงเวลาหนึ่งอยู่ในสถานเลี้ยงดูเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งก่อนที่เธอจะถูกรับไปเลี้ยง สถานเลี้ยงเด็กนั้นอาจเรียกว่าอยู่ในพื้นที่ชนบทซึ่งห่างไกลผู้คน ตั้งอยู่ไม่ไกลชายหาดและทะเลซึ่งมีประภาคารสูงใหญ่คอยส่องไฟนำทาง และถ้ำอีกอันหนึ่ง, สถานที่ซึ่งเป็นอดีตแห่งความทรงจำของเธอ ... 30 ปีต่อมา Laura กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง เมื่อเธอ, สามีของเธอ - Carlos (Fernando Cayo), และ Simón (Roger Príncep)…
Cinemania
(เขียนเมื่อ 31 ธ.ค.51)จันทร์ ในบ่อ สิ้นปีกันเสียที บรรยากาศตึงๆ ปีนี้อาจทำให้ใครหลายคนอึดอัดและทำท่าจะลากยาวไปถึงปีหน้า ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ  คนสู้ๆ กับปัญหาที่รุมเร้า แต่ถ้าเครียดมากลองผ่อนคลายกันด้วยการหาหนังดูมาสักเรื่องสองเรื่อง จะซื้อ จะเช่ามานั่งดูที่บ้านหรือจะออกไปดูตามโรงภาพยนตร์ต่างๆ ก็ได้ ลองออกจากโลกความจริงไปอยู่ในโลกอื่นสักชั่วโมงสองชั่วโมงอาจจะสบายใจขึ้นส่วนถ้าใครยังไม่รู้จะดูเรื่องอะไร ที่ไหนอย่างไร ผมก็มีโปรแกรมหนังรับปีใหม่มาฝาก เป็นหนังฟรีกลางแปลงครับหลายคนคงไม่ค่อยทราบว่าที่มหาวิทยาลัยศิลปากรจะจัดเทศการหนังกลางแปลงกันทุกปี ในวันที่ 7-8-9 มกราคม 2552…