ภาพแสดงลักษณะของโลก Earth
มีคนพูดบ่อยๆ ว่า โลกของเราเล็กลงเรื่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ
นั่นคงเพราะ เราสื่อสารกันง่ายขึ้น ทั้งทางโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ต จะไปเรียนที่ไหน ทวีปใด เราก็ยังพูดคุยกันได้แทบทุกวัน เวลาเพื่อนคนไหนหายไปไม่ติดต่อกันนานๆ เผลอๆ ก็ไปเจอกันในเวบบล็อกหรือ ชุมชนออนไลน์ สักพักก็หาทางเจอกันจนได้
เราคงไม่คิดว่า วันหนึ่ง คำว่า “โลกเล็กลง” นั้นจะหมายถึง “โลกที่มีขนาดเล็กลงไปจริงๆ” เล็กกว่าที่เราเคยรับรู้ แม้เราจะจินตนาการได้ยากอยู่ว่าโลกของเรามันใหญ่โตขนาดไหน และมันจะสำคัญหรือเปล่าที่มันจะเล็กลง ใหญ่ขึ้น หดตัวหรือขยาย ซึ่งคงต้องขอบอกว่า มันก็สำคัญมากทีเดียวค่ะ
ภาพจำลองขนาดของโลก เมื่ออยู่กับดาวอื่นๆ ภาพจาก 4to40.com
ในอดีต ใครได้ที่เรียนวิทยาศาสตร์ จะมีวิธีคำนวณขนาดของโลก ภายใต้สมมุติฐานที่ว่า 1. โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลม 2.มีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เยอะมาก 3.มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์เยอะเลย และ 4. แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมาโลกเป็นแสงขนานซึ่งกันและกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้เราทราบว่า ดวงตะวันอยู่สูงที่สุดจากขอบฟ้าคือเวลาเที่ยงตรง ถ้าปักเสาธงกลางแจ้งเงาธงก็จะสั้นที่สุด ด้วยการวัดเงายาวสั้นเหล่านี้ จนรู้ว่าพระอาทิตย์ห่างจากโลกเท่าไหร่ และคำนวณหารัศมีของโลกได้ออกมาเป็น 6378 กิโลเมตร ซึ่งเท่ากับว่าโลกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12,756,274 กม.
ภาพจำลองขนาดของโลก (Earth) เมื่ออยู่กับพระอาทิตย์(Sun) ภาพจาก 4to40.com
อย่างไรก็ตามที่เรารู้กันมาตลอดนั้น คือการคำนวณจากทฤษฎีในอดีต แต่ในยุคนี้ที่เทคโนโลยีสามารถวัดขนาดของโลกได้แม่นยำเหมือนตาเห็น นักวิจัยได้ประกาศว่า จริงๆ แล้วโลกมีขนาดเล็กกว่าที่คิดไว้เยอะเลย นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับว่า ตอนนี้ โลกยังหดสั้นเข้าไปอีกจากที่วัดไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ถึง 5
5 มิลลิเมตรเหมือนจะเล็กนิดเดียว เล็กกว่าปลายดินสออีก แต่นักวิทยาศาสตร์เขาบอกว่า ถ้าโลกเล็กกว่านี้อีกนิดเดียว เราก็อาจจะไม่มีที่อยู่ซะด้วยซ้ำ เพราะว่าการหดของโลกนี้ส่งผลรุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ การระบุตำแหน่งสำคัญของดาวเทียมดวงต่างๆ ที่เคยทำหน้าที่วัดระดับน้ำขึ้นน้ำลงของทะเล ถ้าการคำนวณผิดพลาด การวัดระดับน้ำก็ผิดพลาดไปด้วย นั่นก็ทำให้เราคาดคะเนอะไรได้ยากขึ้นนั่นเอง
การหดตัวของโลกนั้นมีผลต่อภูมิอากาศ และการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ซึ่งมีคนตั้งข้อสังเกตว่า นอกเหนือจากภาวะโลกร้อนแล้ว ก้อนน้ำแข็งที่ละลายไปอย่างรวดเร็ว หรือปรากฏการณ์ที่ทะเลสาบ ทั่วโลกหายไปเฉยๆ ถึง 125 แห่ง นั้นอาจมากจากการบีบรัดตัวของโลกที่หดลงก็เป็นได้ รวมทั้งปรากฏการณ์อีกมากมายที่ตามมา เช่น น้ำทะเลมีมากขึ้น แผ่นดินไหว หรือการยุบตัวของผืนโลก
ประมวลภาพ โลกที่แสนบอบบาง จากเวบไซต์ www.asianoffbeat.com/
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว หรือ 2007 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาเรื่องการหดตัวของโลกกันอย่างขมีขมัน โดยดูจากสถิติที่ผ่านมาและมีการคำนวณไปอนาคต ว่าในปี 2050 โลกก็จะเล็กกว่าที่เราคิดและเคยคำนวณจากเงาเสาธงไปเยอะทีเดียว
ตอนนี้นอกจากนักวิทยาศาสตร์แล้ว ชาวชุมชนออนไลน์อย่างในเวบไซต์ ww.xanga.comนั้นคิดกันเล่นๆ ว่าถ้าโลกหดลงไปอีกจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในจินตนาการ เช่นว่า มนุษย์จะถูกจำกัดให้เหลือน้อยลง เช่น จาก 100% ฝั่งเอเชียจะเหลือ 57 % ยุโรปเหลือ 21 % อัฟริกันจะเหลือแค่ 8% จะมีผู้หญิงเหลือ 52% ส่วนผู้ชายก็จะมี 48% คนขาวจะเหลือแค่ 30% และผู้คนแค่ไม่กี่ส่วนจะครอบครองพื้นที่โลกถึง 59%
ปิดท้ายด้วยการอ่านคำทำนายของนอสตราดามุสเกี่ยวกับโลกหดตัวของนอสตราดามุส ที่บอกบอกเอาไว้ในคำพยากรณ์ว่า “บัดนี้โลกเล็กลงกว่าเดิม จะมีสันติภาพเป็นเวลานาน ประชากรเพิ่มขึ้น ผู้คนท่องเที่ยวได้โดยตลอด แต่สงครามจะก่อหวอดขึ้นอีกครั้ง”
ข้อมูลอ้างอิง