ตั้งแต่เด็กๆ เราเห็นรุ้งมี 7 สี ไล่จาก ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง พอโตมาถึงรู้ว่า รุ้งมีสีเยอะมากๆๆ ไล่ตั้งแต่สีม่วงไปจนถึงสีแดง แต่เราเห็นเฉพาะสีหลักๆ อย่างที่รู้กันว่ารุ้งธรรมชาตินั้นเกิดหลังฝนตก และมีแดดออก และปรากฏอยู่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ เวลาจะมองหารุ้งเลยต้องหันหลังให้ดวงตะวันเสมอ ซึ่งกระบวนการเกิดรุ้งก็คือแสงเดินทางไปหาหยดน้ำ หักเหผ่านตัวกลางจากอากาศสู่น้ำ เกิดแสงสะท้อนภายในหยดน้ำที่โค้งและมีผิวเหมือนกระจก แสงเลยหักเหผ่านหยดน้ำมาสู่อากาศอีกครั้ง
ยังไงเสีย ทุกครั้งที่ได้มองรุ้ง ผู้เขียนรู้สึกว่าช่างสวยเหลือเกิน แต่ละครั้งมีแถบกว้างแคบไม่เหมือนกัน ลักษณะวงบางครั้งเล็ก บางครั้งใหญ่ แถมบางทีก็ออกมาไม่ครบวง เหมือนถูกหั่นครึ่งบ้าง หรือสลับกลับหัวเป็นโค้งหงายเหมือนพระจันทร์บ้าง จากชอบมองก็เปลี่ยนเป็นสงสัยว่า "รุ้งมีกี่แบบกันแน่?" และเริ่มสนุกกับการเฝ้ารอสายรุ้งว่า จะต่างไปจากวันอื่นอย่างไร แถมยังมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชวนกันคุยบ่อยเรื่องสายรุ้ง ถ่ายรูปมาแลกเปลี่ยนประจำ เสียดายที่ถ่ายรูปไว้ไม่สวย หรือเห็นได้ไม่ชัด บันทึกเรื่องรุ้งตอนนี้เลยขอยืมภาพของคนอื่นมาประกอบไปก่อนนะคะ
ภาพรุ้งที่สมบูรณ์ จาก San Diego December 14th, 2001, ช่างภาพโดย Manfred Bruenjes
ภาพรุ้งสองชั้น ถ่ายจากหน้าบ้านเมื่อ 20 สค.2551 ที่ผ่านมา
รุ้งสองชั้น (supernumerary rainbow) เพิ่งฟื้นฟูความจำได้ว่ารุ้งตัวแรก เรียกว่าปฐมภูมิ ตัวที่สองคือ ทุติยภูมิ ตัวแรกจะเห็นได้ชัดที่สุด มีสีแดงโค้งอยู่บนสุด และสีม่วงอยู่ล่างสุดเสมอ ส่วนรุ้งตัวที่ 2 นั้นจะสลับสีกัน เอาม่วงไปอยู่ล่างสุดและแดงกลับมาอยู่ด้านบนสุด รุ้งที่เกิดการหักเหของแสง 2 ครั้ง และสะท้อนออกมา 2 ครั้ง สำหรับรุ้งแบบนี้ ว่ากันว่าเป็นรุ้งที่เกิดไม่บ่อยค่ะ
ภาพ Morning rainbows - Norfolk England. ช่างภาพโดย Les Cowley
รุ้งซ้อนแถบดำ (dark band) มองดูและฟังชื่อ ก็ดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ความจริงเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่รุ้งสองตัว มีการกระจายแสงเข้าหากัน และปรากฏแสงสะท้อนกลับของหยดน้ำจากรุ้งตัวแรกในด้านใน ผสมกับแสงบนท้องฟ้า และแสงสะท้อนหยดน้ำด้านนอกจากตัวที่สอง และส่งภาพเฉดสีมาสู่สายตาเราไม่ได้ จึงเห็นเป็นภาพสีดำๆ นั่นเอง
10th May 2003. ภาพโดย Ann Bowker
รุ้งสะท้อนรุ้ง (Reflection Rainbows) รุ้งแบบนี้นับว่าเห็นได้ยากมากทีเดียว ภาพนี้ถ่ายโดย Ann Bowker เมื่อปี พฤษภาคม 2003 ซึ่งปรากฏรุ้งพร้อมกัน 4 ตัว แต่ทว่าแต่ละตัวไม่เห็นเป็นวงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอธิบายคร่าวๆ ได้ว่ารุ้งตัวแรกสะท้อนกลับแสงหยดน้ำไปยังตัวที่สอง และเมื่อมีอูณหภูมิที่อุ่นขึ้นทำให้เกิดการกระจัดกระจายของแสงแดดบนท้องฟ้าก็เกิดรุ้งตัวอื่นๆ ถัดมา ซึ่งส่วนใหญ่พบในเบริเวณใกล้กับทะเลหรือแม่น้ำ
ภาพ January 2004 โดย Les Cowley
รุ้งบนก้อนเมฆ (Cloudbow)
ภาพนี้ถ่ายเมื่อ มกราคม 2004 โดยช่างภาพ Les Cowley ถ่ายปรากฏการณ์ที่ไม่มีฝนตกเลยสักนิด แต่เกิดรุ้งบนท้องฟ้า ผสมผสานแทรกตัวอยู่กับก้อนเมฆ เขาบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศหนาวเย็นมาก และมีหมอกน้ำค้าง จึงเกิดหยดน้ำเล็กๆ ในอากาศ สร้างความชื้นที่แสดงสีสันได้โดยไม่ต้องอาศัยละอองฝน
December 2003 ช่างภาพโดย Tom Theis
รุ้งพระจันทร์ (Moonbow)
ส่วนใหญ่เราเห็นรุ้งกันตอนกลางวัน แต่กลางคืนก็มีรุ้งเหมือนกันค่ะ ภาพนี้ถ่ายได้เมื่อธันวาคม 2003 ในช่วงเวลา 20 นาทีสุดท้ายก่อนเกิดพระจันทร์ข้างขึ้น เป็นรุ้งที่หาได้ยากกว่ารุ้งอื่นๆ มากที่สุดเพราะปกติพระจันทร์มีแสงได้ไม่เท่าพระอาทิตย์ แต่หากมีแสงมากพอในคืนพระจันทร์เต็มดวง และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝนตก และท้องฟ้ามีสีเข้มมากพอ ก็จะปรากฏภาพได้ตามที่เห็น แต่สีจะไม่สดใสมากนักเพราะแสงไม่มากพอที่จะกระตุ้นกรวยรับแสงในสายตาของพวกเรานั่นเอง
มีภาพบางภาพที่เมื่อเห็นแล้วก็คิดว่าเป็นรุ้ง แต่ไฉนไม่โค้ง ไม่กลม บางครั้งเป็นเส้นตรงก็มี ในเวบไซต์ atoptics.co.uk ของอังกฤษนั้นได้อธิบายว่ารุ้งบางตัวนั้นไม่เรียกว่ารุ้ง แต่เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่สะท้อนแสงสวยงามได้ทั้ง 7 สีเช่นกัน ได้แก่
ภาพ พระอาทิตย์ทรงกลด และ พระจันทร์ทรงกลด by Riki Feldmann
รุ้งทรงกลด (Circumscribed Halo)
เส้นกลมๆ เป็นวง มีสีจางๆ คล้ายรุ้ง ที่เกิดได้ทั้งรอบพระอาทิตย์และพระจันทร์ เกิดจากที่มีละอองน้ำในชั้นบรรยากาศและกระทบกับแสงอาทิตย์หรือจันทร์ สะท้อนรังสีออกมาให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม จากรัศมีของเมฆที่อยู่สูง และหยดน้ำจับตัวเป็นผลึกขนาดเล็กเมื่อเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกันก็เกิดเป็นวงแหวนขึ้นมา บางครั้งเป็นสีเขียวเพราะเกิดจากการสะท้อนแสง แต่บางครั้งเกิดเป็นสีแดงเพราะเกิดจากการหักเหของแสง
ภาพโดย Brandie M. Jefferson และ Marc Sorensen
รอยยิ้มของท้องฟ้า (Upside-down rainbow) บางคนเรียกภาพแบบนี้ว่ารุ้งมีตำหนิ แต่บางคนเรียกว่ารอยยิ้มของท้องฟ้า เป็นลักษณะแสงแบบเดียวกับการเกิดแสงทรงกลด แต่เกิดการรบกวนของอูณหภูมิจึงทำให้เกิดได้ไม่เต็มวง ซึ่งอาจถือได้ว่าการเกิดทรงกลดที่บิดเบี้ยวนี้ ยังก่อให้เกิดภาพอื่นๆ ได้หลายรูปแบบอีกด้วย เช่น ภาพเมฆเรืองแสง หรือเฉดรุ้งขนาดสั้นบนท้องฟ้า
คลื่นสีรุ้งบนท้องฟ้า ภาพโดย Cherie Ude
คลื่นรุ้ง (Nacreous Clouds) ภาพที่ว่ากันว่าหายากมากที่สุด คือเฉดสีที่มีการเคลื่อนไหวไปมา เหมือนแสงถูกลมพัด ภาพนี้ถ่ายได้เมื่อปี 2004 โดยช่างภาพ Cherie Ude ซึ่งเขาบอกว่าจำได้ไม่มีวันลืม ในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ยังมีแสงสว่างอยู่ จากแสงสว่างมีการเปลี่ยนสีเหมือนรุ้งกินน้ำ ซึ่งอธิบายว่าเกิดจากลักษณะลมในชั้นบรรยากาศที่โจมตีเข้ามา
Sundog with Storks ภาพโดย by Alex Tudorica
พระอาทิตย์สุนัข (Sundog) เป็นภาพที่อธิบายกันว่า เมื่อพระอาทิตย์ลอยต่ำจนถูกเมฆบดบัง ก็จะเกิดแสงสว่างขึ้น 2 จุด เป็นภาพลวงตาของอาทิตย์ที่รังสีทาบความยาวตามแนวขอบฟ้า ถ้ามีปลายส่วนที่ยื่นออกมาเหมือนหางสุนัข ก็จะถูกเรียกว่า Sun Dog หรือ พระอาทิตย์สุนัข นั่นเอง
รุ้งกับความเชื่อและการทำนาย
ภาพรุ้งทอดยาวที่มีลักษณะโค้งต่ำ บริเวณปทุมธานี จากอัญชา ผู้แบ่งปันภาพท้องฟ้ามาให้ชมเสมอๆ
ในตำราทำนายฝันแบบไทยๆ นั้นบอกว่า รุ้งกินน้ำเป็นมิมิตรดีแห่งชีวิต บอกถึงเงินและชื่อเสียงที่จะได้รับ ขณะที่ความเชื่อโบราณบางชนเผ่าเชื่อว่ารุ้งคือ สะพานเชื่อมระหว่างสวรรค์กับโลก (bridge between heaven and earth ) หรือ สะพานสายฝน (bridge of the rain) เช่นเดียวกับในไบเบิ้ลที่เชื่อว่ารุ้งคือสัญญาของพระเจ้ากับมนุษย์ว่า หากรุ้งยังเกิดขึ้น ก็จะไม่มีน้ำท่วมใหญ่มาทำลายโลกเป็นแน่
ส่วนชาวกรีกโบราณเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนที่พระเจ้ามาบอกว่าจะเกิดพายุใหญ่ หรือสงคราม ในขณะที่วงทรงกลดนั้น ชาวอินเดียนเผ่าซูนิในนิวเม็กซิโกเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนถึงพายุฝน ซึ่งในปี ค.ศ.1461 อ้างต่อกันมาว่า ระหว่างสงครามของกองทัพตระกูลยอร์ก ได้เห็นพระอาทิตย์เกิดขึ้นพร้อมกัน 3 ดวง เมื่อผู้นำทัพเห็นก็เข้าโจมตีศึกจนชนะ และขึ้นครองบัลลังก์จึงทำตราประจำพระองค์เป็นรูปพระอาทิตย์สามดวงบนท้องฟ้า สำหรับชาวเขมรนั้น ค้นไปเจอว่าเขาเรียกรุ้งกินน้ำว่า "ธนูพระอินทร์" (bow of God) เพราะมีรัศมีโค้งข้ามฟ้าเหมือนคันธนูที่โก่งเต็มที่ ส่วนชาวไทยใหญ่เชื่อว่าถ้าเอามือชี้รุ้งแล้วนิ้วจะด้วนหรือโชคร้าย ในขณะที่ชาวจีนเชื่อว่า ถ้าเกิดรุ้งกินน้ำเมื่อนั้นฝนจะหยุดตก
ส่วนความเชื่อที่เหนือธรรมชาติมากๆ เช่น ชนเผ่าในอเมริกาใต้เชื่อว่า รุ้งที่เกิดในทะเลเป็นรุ้งที่ดี แต่รุ้งบนบกเป็นรุ้งชั่วร้าย ส่วนยุโรปตะวันตกเชื่อว่า นางฟ้าใส่ทองคำไว้ที่ปลายรุ้งอีกด้าน มีแต่มนุษย์ที่เปลือยตัวเท่านั้นจะพบทองนั้น ส่วนชาวโรมาเนียเชื่อว่า ปลายรุ้งอีกด้านที่ตกในแม่น้ำ ถ้าใครคลานไปแตะและดื่มน้ำบริเวณนั้น จะกลายร่างเป็นเพศตรงข้าม หรือหากใครเดินลอดผ่านสายรุ้งได้ก็จะเปลี่ยนเป็นเพศตรงข้ามได้เช่นกัน
รุ้งกินน้ำ ยังมีชื่อเรียกมากมายได้แก่ ลิ้นพระอาทิตย์ (the tongue of the sun), วิถีแห่งคนตาย (road of the dead), ชายเสื้อแห่งสุริยเทพ (hem of the sun-god's coat), วิถีแห่งเทพสายฟ้า (road of thunder god และ หน้าต่างสวรรค์ (window to heaven)
สำหรับในโลกของวิทยาศาสตร์นั้นยังมีการศึกษาอยู่เรื่อยๆ ถึงความถี่ในการเกิดรุ้ง ลักษณะของแสงที่เปลี่ยนไป ขนาดของรุ้ง เพราะเชื่อว่าเป็นผลจากภาวะโลกที่ร้อนขึ้น ส่งผลต่ออูณหภูมิในอากาศ และสิ่งที่รบกวนการหักเหของแสง แถมบางแห่งมีการพูดคุยว่ารุ้งเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดพายุและเมฆแผ่นดินไหวอีกด้วยค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.atoptics.co.uk/
www.beloblog.com/ProJo_Blogs/newsblog/archives/2007/12/18/
skychasers.net
www.joereifer.com/words/?p=111
www.dek-d.com/board/view.php?id=1132029
www.rmutphysics.com/charud/oldnews/94/index94.htm
www.deewrite.com/clouds/