ทั้งการกล่าวปาฐกถาของนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก รวมถึงแถลงการณ์ตอบโต้ของรัฐบาลไทย ต่างสะท้อนถึงปัญหาพื้นฐานในการสื่อสารทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐในอนาคต
กล่าวคือ ทั้งสองฝ่ายต่างมีปัญหาในแบบที่ Giovanni Sartori (1970) นักรัฐศาสตร์ชาวอิตาเลียน เรียกว่า "Concept Misformaion" หรือ "ความผิดพลาดในการจัดระบบความคิด" โดยทุกครั้งที่จะมีการสื่อสารหรือทำความเข้าใจในปรากฏการณ์หนึ่งๆ ผู้ศึกษาเอง จำเป็นต้องสร้างกรอบแนวคิดหรือชุดคำศัพท์ให้ชัดเจนเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่สอดคล้องต้องกันระหว่างผู้ส่งสาส์นกับผู้รับสาส์น
เช่น การกล่าวถึงคำว่า "Democracy" ของนายแดเนียล ซึ่งแนวคิดหรือมาตรวัดคุณภาพประชาธิปไตยตามมาตรฐานและนัยยะการตีความของรัฐบาลสหรัฐ อาจมีคุณลักษณะหรือเกณฑ์การจำแนกแจงแจงหลายประการ ที่ไม่สอดคล้องหรือยากต่อการทำความเข้าใจของกลุ่มรัฐบาลจากรัฐโลกที่สาม โดยเฉพาะ รัฐไทยและอาเซียน ซึ่งย่อมมีพื้นฐานและรูปพัฒนาการทางการเมืองที่แตกต่างจากสหรัฐ
ในทางกลับกัน การสร้างกรอบแนวคิดของรัฐบาลไทยว่าด้วยเรื่อง "ประชาธิปไตยแบบไทยๆ" ซึ่งมีทั้งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรพิเศษนอกระบบ เข้ามาโลดแล่นก่อรูปจนกลายเป็นโครงสร้างอำนาจทางการเมืองอันซับซ้อน ได้ทำให้แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยตามความเข้าใจของกลุ่มชนชั้นนำไทย กลายเป็นศัพท์บัญญัติที่เต็มไปด้วยความหมายแฝง (Connotation) และการให้นิยามตามบริบทเฉพาะ (Contextual Definition) ซึ่งย่อมสร้างความยากลำบากต่อการแปรรหัสสาส์นของรัฐบาลสหรัฐ
นอกจากนั้น การเน้นย้ำของนายแดเนียลที่ว่า "International Community" ล้วนต้องการเห็นความก้าวหน้าในกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยไทย ต่างสะท้อนให้เห็นถึงรูปอัตตวิสัย (Subjectivity) ทางการทูตและลัทธิเอกภาคีนิยม (Unilateralism) ของรัฐอภิมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ที่อาจส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการจัดระบบความคิดเพื่อสื่อสารกับรัฐบาลไทย
โดยเมื่อใดก็ตาม ที่มีการพูดถึงประชาคมระหว่างประเทศ ผู้รับสาส์นบางท่านอาจมีการรับรู้ตีความในประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เช่น อาจหมายถึงการประชุมในเวทีสหประชาชาติของตัวแทนรัฐบาลต่างๆ หรือหมายถึง สังคมชุมชนนานาชาติที่ครอบคลุมทั้งตัวแสดงภาครัฐ อาทิ จำนวนรัฐอธิปไตยต่างๆ ทั่วโลก และตัวแสดงที่มิใช่รัฐ เช่น องค์กรนานาชาติและภาคประชาสังคมต่างๆ
ซึ่งการแปรแนวคิดเช่นว่านี้ คงมิได้หมายความว่า จะมีทุกรัฐหรือทุกองค์กรในระบบโลกที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าในประชาธิปไตยไทยตามรูปแบบที่สหรัฐเข้าใจหรือเรียกร้องเสมอ หรืออาจมิได้มีแต่ช่องทางผู้แทนภาครัฐ เช่น กระทรวงการต่างประเทศและสำนักนายกรัฐมนตรี (ตามที่รัฐบาลไทยมักใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการตีโต้ต่างประเทศ) หากแต่อาจกินความครอบคลุมไปถึงกลุ่มพลังการเมืองและกลุ่มพลังสังคมต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นรอบโลก เช่น กลุ่มผู้ศรัทธาในสิทธิเสรีภาพและลัทธิปัจเจกชนนิยม (Individualism) ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้อาจมองประชาธิปไตยไทยว่าล้มเหลวหรือสวนทางกับที่ คสช.เข้าใจ
จากจุดบอดดังกล่าว ทั้งตัวแทนรัฐไทยและสหรัฐอเมริกา คงต้องหันมาทบทวนเรื่อง "Concept Misformation" พร้อมพยายามเรียนรู้สภาพเงื่อนไขและค่านิยมทางการเมืองของกลุ่มอำนาจหรือตัวแสดงต่างๆ กันอย่างจริงจังรอบด้าน มิเช่นนั้น ทั้งการปฏิรูปการเมืองไทยในยุคโลกาภิวัฒน์และสายสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ อาจเกิดอาการตะกุกตะกัก พร้อมค่อยๆ เสื่อมถอยร้าวฉานลงจนส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
ดุลยภาค ปรีชารัชช