Skip to main content

เดือนเมษายนปี 1919 เคาต์อูลริช วอน บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาว รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคนแรกของเยอรมันใหม่ เดินทางไปพระราชวังแวร์ซาย เพื่อลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ข้อตกลงเจรจาสงบศึกที่เขาเตรียมเอาไว้คือ เยอรมันจะยอมปลดอาวุธของตัวเองเท่ากับที่เพื่อนบ้านยอมปลด ยอมสละแว่นแคว้นชายแดนภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้คนในท้องถิ่นลงประชามติยอมรับการเปลี่ยนแปลง ยอมจ่ายค่าชดเชยสงครามเฉพาะกับความเสียหายที่เกิดแก่ภาคประชาชน และอาณานิคมในแอฟริกาต้องกลับมาเป็นของเยอรมัน

ถ้าใช้คำพูดของประธานาธิบดีวิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา ข้อเสนอนี้ รวมถึงบทบาทการทูตของบรอคดอร์ฟ-รานต์ซาว "โง่งมอย่างหาที่เปรียบมิได้" ชาวยุโรปทุกคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ทราบดีว่าเยอรมันแพ้สงคราม ในฐานะผู้แพ้ พวกเขากล้าดียังไงถึงเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ

เพราะ "ชาวยุโรปทุกคน" ในที่นี้ไม่นับรวมชาวเยอรมัน หรือเฉพาะเจาะจงเข้าไปอีก ไม่นับรวมชาวเยอรมันกลุ่มขวาจัดชาตินิยม ตลอดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สมรภูมิการศึกไม่เคยถอยร่นเข้ามาในพรมแดน พวกเขาจึงยังหลอกตัวเองได้ว่าเป็นฝ่ายมีชัย การไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ระบาดเรื้อรังยิ่งขึ้น ภายใต้การโหมโฆษณาชวนเชื่อของกองทัพ ข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่าทหารปรัสเซียผู้เกรียงไกรไม่ได้รบแพ้ หากถูก "แทงข้างหลัง" เฉกเช่นเดียวกับวีรบุรุษซิกฟรีด และเป็นที่รู้กันว่าคนทรยศหาใช่ใครอื่นนอกจากฝ่ายซ้าย พวกคอมมิวนิสต์ นักปฏิวัติ รวมไปถึงรัฐบาลของพรรคเอสเพเด กระนั้นก็ตาม เออแบร์ต ผู้นำพรรคและประธานาธิบดีคนแรกแห่งไวมาร์กลับไม่ตระหนักถึงอันตรายใหญ่หลวงของข่าวลือนี่ ในวันที่ 10 ธันวาคม 1918 เออแบร์ตกล่าวในสุนทรพจน์ต้อนรับทหารผ่านศึกว่า "ไม่มีข้าศึกที่ไหนสยบพวกท่าน!"

ความ "โง่งมอย่างหาที่เปรียบมิได้" คือผลิตผลของการที่คนทั้งชาติหลอกตัวเอง ก่อนออกเดินทางไปปารีส บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาว และคณะทูตจัดเตรียมเอกสาร หนังสือกฎหมาย และแผนที่หลายฉบับเพื่อไปต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยหารู้ไม่ว่า การต่อรองไม่ได้อยู่ในกำหนดการที่ทางฝรั่งเศสเตรียมไว้แม้แต่น้อย คณะทูตร้อยห้าสิบชีวิตถูกจัดยัดขึ้นรถไฟที่แล่นอย่างเอื่อยเฉื่อยไปตามชนบทของประเทศฝรั่งเศส เพื่อให้พวกเขาเป็นประจักษ์พยานความเสียหาย ซากปรักหักพัง ที่เกิดจากเงื้อมมือของกองทัพเยอรมัน กระเป๋าเสื้อผ้า ข้าวของ ถูกเจ้าบ้านโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี เพื่อให้พวกเขาขนมันขึ้นลงยานพาหนะด้วยตัวเอง

บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาวและคณะถูกปล่อยทิ้งไว้ในโรงแรมเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะถูกเรียกตัวไปพบกับวิลสัน ลอยด์ จอร์จ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และจอร์จ คลีเมนซัว นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส แทนที่จะยืนขึ้นเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาวตัดสินใจหักหน้าผู้นำทั้งสามประเทศด้วยการนั่งอยู่กับที่ เขากล่าวย้ำถึงความบริสุทธิ์ของเยอรมันในสงครามที่เกิดขึ้น พวกเขา"รุกรานเพื่อป้องกันตัวเอง" นอกจากนี้ยังประนามทั้งสามประเทศที่เป็นต้นเหตุการเสียชีวิตอย่างไม่จำเป็นของชาวเยอรมัน เพราะการชะลอสนธิสัญญาสงบศึก และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

การจะเป็นนักการเมืองในประเทศที่คนส่วนใหญ่หลอกตัวเองนั้นไม่ใช่ของง่าย และจะโหดหินขึ้นไปอีกขั้น ถ้าจะต้องเป็นนักการเมืองที่มีบทบาทบนเวทีต่างประเทศ ปาฐกถาก้นติดพื้นของบรอคดอร์ฟ-รานต์ซาวหนุนให้เขากลายเป็นวีรบุรุษในบ้านเกิด แต่มันก็คือส่วนหนึ่งของหายนะทางการทูต แน่นอนว่าภายหลังการเข่นฆ่าสังหารที่ยาวนานสี่ปี อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ว่า ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้เรียกเยอรมันมาที่แวร์ซายเพื่อเจรจา แต่เพื่อมาฟังและปฏิบัติตาม บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาวอาจไม่ใช่ต้นเหตุความล้มเหลวของสันติภาพในเยอรมัน แต่เขาคือภาพสะท้อนการหลอกตัวเองอันนำมาซึ่งจุดจบของประชาธิปไตย

(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเรื่อง)

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

แวะมาอ่านเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับไวมาร์เยอรมันได้ที่เพจ

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=222626151202758&set=a.197511890380851.50244.197506433714730&type=1&theater

บล็อกของ Nibuk

Nibuk
ฟรอยด์เขียน Group Psychology and the Analysis of the Ego ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับ Beyond Pleasure Principle ข้อถกเถียงพื้นฐานของทั้งสองเล่มนี้คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ขณะที่ปัจเจกชนมีแนวโน้มจะหวนไปสู่สภาวะดั้งเดิม คือความตาย สังคมอันประกอบไปด
Nibuk
Death Instinct/Death Drive หรือสัญชาติญาณแห่งความตาย เป็นแนวคิดใหม่ที่ซิกมุนต์ ฟรอยด์พัฒนาขึ้นมาภายหลังสงครามโลก   ทหารผ่านศึกส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ในอาการผวาระเบิด (shell shock)   นี่จึงเป็นโอกาสอันดีให้ฟรอยด์พิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง โดยใช้วิชาจิตวิเคราะห์รักษาคนไข้เหล่านี้ 
Nibuk
หนึ่งในข้อเรียกร้องของสนธิสัญญาแวร์ซายก็คือ เยอรมันต้องส่งมอบตัวอาชญากรสงคราม ให้ฝ่ายพันธมิตรดำเนินคดี ในที่นี้หมายถึงวิลเฮล์ม -- ถ้าเขาไ
Nibuk
รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์คือลูกผสมของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วยุโรป ตำแหน่งประมุขของประเทศเปลี่ยนจากเชื้อพระวงศ์ มาเป็นประธานาธิบดี (president) ผู้มาจากการเลือกตั้ง และประจำตำแหน่งทุกๆ เจ็ดปี เฉกเช่นเดียวกับกษัตริย์ ประธานาธิบดีคือสัญลักษณ์สูงสุดของประเทศ สามารถแต่งตั้งแล
Nibuk
อันที่จริงในหมู่ประเทศผู้ชนะสงคราม ก็ไม่ได้มีความเห็นลงรอยกันเกี่ยวกับเป้าหมายของสนธิสัญญาแวร์ซาย ฝรั่งเศสและเบลเยียมต้องการลงโทษเยอรมัน ยึดพื้นที่อุตสาหกรรมมา เพื่อให้แน่ใจว่าเยอรมันจะไม่มีโอกาสฟื้นกล
Nibuk
เดือนเมษายนปี 1919 เคาต์อูลริช วอน บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาว รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคนแรกของเยอรมันใหม่ เดินทางไปพระราชวังแวร์ซาย เพื่อลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ข้อตกลงเจรจาสงบศึกที่เขาเตรียมเอาไว้คือ เยอรมันจะยอมปลดอาวุธของตัวเองเท่ากับที่เพื่อนบ้านยอมปลด ยอมสละแว่นแคว้นชายแดนภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้คนใน
Nibuk
วีรบุรุษซิกฟรีด สายเลือดแห่งมหาเทพ ครองรักอย่างมีความสุขกับนางฟ้าตกสวรรค์ บรึนฮิลเดอ บนภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลเพลิง อยู่มาวันหนึ่ง ซิกฟรีดต้องการออกไปผจญภัยในโลกภายนอก หลังจากร่ำลาภรรยาสุดที่รักเขาให้สัญญาว่าจะคงรักแต
Nibuk
คานดินสกีเกิดและเติบโตในกรุงมอสโค เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เขาเรียนจบและประกอบอาชีพทางกฎหมายจนถึงอายุสามสิบ ก่อนหน้านั้นไม่เคยได้รับการฝึกฝนใดๆ ทางศิลปะมาก่อน เหตุการณ์สำคัญที่หักเหชีวิตของชายหนุ่ม คือการได้ชมภาพวาดกอง
Nibuk
ต้นแบบของดอกเตอร์คาลิการิคือจิตแพทย์ผู้โด่งดังสองคน คนแรกคือฌอง มาแตง ชาคูต์ จิตแพทย์ชาวฝรั่งเศสจากปลายศตวรรษที่ 18 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ที่ศึกษาโรคฮิสทีเรียอย่างจริงจัง ในปี 1885 ฟรอยด์วัยหนุ่มเรียนหนังสืออยู่กับชาคูต์ เขาเขียนจดหมายถึงคู่หมั้นบรรยายลักษณะของอาจารย์ไว้ว่า "สูงห้าฟุตแปดนิ้