ฟรอยด์เขียน Group Psychology and the Analysis of the Ego ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับ Beyond Pleasure Principle ข้อถกเถียงพื้นฐานของทั้งสองเล่มนี้คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ขณะที่ปัจเจกชนมีแนวโน้มจะหวนไปสู่สภาวะดั้งเดิม คือความตาย สังคมอันประกอบไปด้วยหลากหลายปัจเจก ก็มีแนวโน้มที่จะหวนไปสู่สภาวะดั้งเดิมเช่นกัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวคือการรวมตัวกันของผู้คนเป็น Mass หรือมวลชน
อะไรคือคำจำกัดความของ Mass ฟังดูเหมือนจะต้องมีคนมหาศาล แต่อันที่จริงไม่เกี่ยวอะไรกับจำนวน คนแค่สองคนก็จัดเป็นมวลชนได้ หากคนหนึ่งเป็นผู้นำ และอีกคนเป็นผู้ตาม โดยฝ่ายหลังปฏิบัติตามทุกคำสั่งของฝ่ายแรกอย่างปราศจากเงื่อนไขหรือข้อกังขา (ในกรณีของคนสองคน ระหว่างผู้สะกดจิตและผู้ถูกสะกดจิตก็ถือว่าเป็น Mass ได้เช่นกัน) สำหรับฝูงชนขนาดมหึมา ผู้นำอาจจะเป็นคนเพียงคนเดียวหรือคนกลุ่มน้อย และผู้ตามก็คือคนหมู่มากที่ยินยอมพร้อมใจตกอยู่ใต้คำสั่งของฝ่ายแรก ฟรอยด์เรียกสภาวะดังกล่าวว่าการบังเกิดขึ้นของจิตวิทยามวลชน (group psychology หรือ Massenpsychologie)
ฟรอยด์อธิบาย group psychology ว่าเกิดจากผู้ตามถ่ายเท ideal ego ของตัวเองไปสถิตย์อยู่ในตัวผู้นำ และเนื่องจาก ideal ego คือตัวตนที่สมบูรณ์แบบ ทุกสิ่งที่ร่างทรงเอ่ยออกมา จึงอยู่เหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ ความสัมพันธ์ของผู้นำและผู้ตามถูกหล่อเลี้ยงด้วย Libido หรือ พลังงานอันเกี่ยวเนื่องกับความรัก ผู้ตามจะรู้สึก (ไปเอง) ถึงความรักที่ผู้นำมีให้อย่างเท่าเทียมกันทุกผู้ทุกนาม และความเท่าเทียมตรงนี้ ส่งผลให้ความรู้สึกของมวลชน มีลักษณะเป็น "ประชาธิปไตย" อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้นำมวลชนก็คือบิดาจอมเผด็จการที่กลับชาติมาเกิดนั่นเอง
Group Psychology and the Analysis of the Ego บรรยายคุณลักษณะเด่นของ Mass ได้แก่ "มวลชนอาจต้องการบางสิ่งอย่างรุนแรง แต่จะไม่สามารถรักษาระดับความต้องการนั้นเอาไว้ได้นาน พวกเขาไม่อาจทนรอคอยช่วงระยะเวลาจากความปรารถนาไปสู่การตอบสนองความปรารถนา มวลชนเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจไร้ขอบเขต คำว่าเป็นไปไม่ได้ไม่ปรากฏในพจนานุกรมของพวกเขา" "ความรู้สึกของมวลชนโปร่งใสแต่สุดโต่ง ไม่รู้จักความลังเลหรือความไม่แน่นอน" "มวลชนไม่เคยกระหายความจริง พวกเขาเรียกร้องแต่ภาพลวงตา" "สิ่งที่พวกเขาต้องการจากวีรบุรุษคือความเข้มแข็ง กระทั่งความรุนแรง พวกเขาต้องการถูกปกครอง ถูกกดขี่ และหวาดกลัวเจ้านายของพวกเขา" และอื่นๆ กล่าวโดยสรุป เมื่อปัจเจกผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Mass เขาได้ละทิ้งความสามารถในการถกเถียง การใช้เหตุและผล
กระนั้นก็ตาม ปัจเจกยังสละเอาความเห็นแก่ตัวทิ้งไปพร้อมกับเหตุและผลด้วย ดังนั้น ถึงแม้มวลชนจะมีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ แยะแยกที่ต่ำกว่าปัจเจกชน แต่พวกเขาก็ยังสามารถไขว่คว้าภาวะสูงส่งทางจริยธรรมได้เช่นกัน อันที่จริง พิธีกรรมทางศาสนาแทบทั้งหมดยึดโยงอยู่กับ group psychology ในลักษณะนี้
มาริโอกับนักมายากล โดยโธมัส มันน์ บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางไปพักตากอากาศของ "ผม" และครอบครัว ในเมืองชายหาดของประเทศทางใต้ เรื่องสั้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์จริง การไปเยือนประเทศอิตาลีของครอบครัวมันน์ในปี 1923 แค่ปีเดียวภายหลังการยึดอำนาจของเบนิโต มุสโสลินี จอมเผด็จการฟาสซิสต์ มุสโสลินี หรือเอลดูเซ่ปลูกฝังลัทธิชาตินิยมสุดโต่งให้กับชาวอิตาลี
"ผม" และครอบครัวถูกล่อลวงโดยป้ายประกาศที่ติดไว้ทั่วเมือง ให้เข้าไปชมการแสดงในโรงละครแห่งหนึ่ง กลางย่านเสื่อมโทรมของชาวประมง ชิปอลล่า ผู้อัปลักษณ์ เป็นนักสะกดจิต เขาใช้วาทศิลป์อันคมคาย ทางหนึ่งผูกมิตรกับคนดู อีกทางหนึ่งก็ยกตนขึ้นข่ม ว่าตัวเขาอยู่เหนือกว่าใครๆ ชิปอลล่าโอ้อวดว่าตัวเองเคยแสดงต่อหน้าเอลดูเซ่ในกรุงโรมมาแล้ว ขณะเดียวกันก็เสียดสี หยาบหยามคนไม่รู้หนังสือในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ใครที่พยายามลุกขึ้นมาต่อต้าน ก็จะถูกนักมายากลสะกดจิตให้ทำเรื่องน่าอับอาย เช่น แลบลิ้นยาวเหยียด ปวดท้องจนตัวงอ กล้ิงเกลืองกับพื้น หรือเต้นระบำด้วยท่าทีน่าขบขัน
ชิปอลล่าคือตัวแทนของระบบฟาสซิสต์ ขณะเดียวกัน ก็เป็นภาพสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามใน Massenpsychologie ชิปอลล่าเปิดโชว์ด้วยการ "เชือด" ผู้ชมที่จิตใจอ่อนไหวที่สุด ก่อนจะขยับขยายมายังคนอื่นๆ ที่ในตอนแรก อาจจะสามารถต้านทานอำนาจสะกดจิตของเขาได้ ความสำเร็จเป็นขั้นเป็นตอนตอกย้ำภาวะผู้นำของเขาที่อยู่เหนือใครๆ ในโรงละคร และในต้อนทาย เมื่อเขายึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ มันน์บรรยายความสำเร็จของนักมายากลราวกับไม่ใช่การแสดงเพื่อความบันเทิง หากเป็นชัยชนะในสงคราม หรือทางการเมือง
อาวุธประจำตัวชิปอลล่าคือแส้ เขาอาจจะไม่เคยใช้มันทำร้ายใคร แต่การยกแส้ขึ้นฟาดควับๆ ข่มขู่คนดูให้หวาดผวา เหมือนกับอัตตาที่ตกอยู่ใต้อำนาจ และถูกโบยตีด้วย ego ideal อาวุธที่แท้จริงของเขาก็คือวาทศิลป์ เมื่อไหร่ที่ใครแสดงทีท่าขัดขืน ชิปอลล่าจะเสียดสี เยาะเย้ย ถามอีกฝ่ายว่าแน่ใจแล้วหรือว่าการดิ้นรนไม่ทำตามคำสั่ง คือการแสดงเจตจำนงอิสระอย่างแท้จริง ทั้งที่การปล่อยตัวเองให้ถูกควบคุม มันสบายกาย และเป็นธรรมชาติกว่าตั้งเยอะ
นอกจากนี้ชิปอลล่ายังเล่นบทบาท "คุณพ่อแสนดี" โดยย้ำอยู่เสมอว่า ที่เห็นผู้คนเต้นระบำบนเวทีนั้น พวกเขาไม่ได้กำลังเหน็ดเหนื่อยอะไรหรอก แต่เป็นตัวเขาเองที่ต้องสาหัสสากรรจ์กับการชักใยหุ่นกระบอกเหล่านั้น "ผมต่างหากเป็นคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานในทุกสิ่ง" ชิปอลล่าบอกคนดูว่า "ผู้นำและผู้จัดระเบียบกฎเกณฑ์ถือเป็นผู้ที่มีภาระหนัก และต้องใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่า เพราะเขาต้องทำให้เจตจำนงนำไปสู่การเชื่อฟัง และทำให้การเชื่อฟังแปรเปลี่ยนเป็นเจตจำนง เขาจึงเป็นผู้ก่อให้เกิดทั้งสองสิ่งนี้ และเป็นผู้ที่มีภาระใหญ่หลวง" ประชาชนจึงต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้นำเพราะ "ความสามารถที่จะสละเจตจำนงของตนเพื่อยอมเป็นเครื่องมือของผู้อื่นและ ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อื่นอย่างเต็มใจและเคร่งครัดนั้น เป็นเพียงอีกด้านหนึ่งของความสามารถที่จะแสดงเจตจำนงของตน และสั่งให้ผู้อื่นปฏิบัติตามเท่านั้น"
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
ติดตามเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับสาธารณรัฐไวมาร์ได้ที่เพจ
http://www.facebook.com/NiSatharnrathWiMar