Death Instinct/Death Drive หรือสัญชาติญาณแห่งความตาย เป็นแนวคิดใหม่ที่ซิกมุนต์ ฟรอยด์พัฒนาขึ้นมาภายหลังสงครามโลก ทหารผ่านศึกส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ในอาการผวาระเบิด (shell shock) นี่จึงเป็นโอกาสอันดีให้ฟรอยด์พิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง โดยใช้วิชาจิตวิเคราะห์รักษาคนไข้เหล่านี้
ตรงข้ามกับวาคเนอร์-ยาวเรกก์ ฟรอยด์ยืนยันว่าความชอกช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรง (trauma) ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติทางร่างกาย ความตกใจ ความหวาดกลัว และการทำลายล้างที่เหล่าทหารต้องเผชิญ เป็นตัวกระตุ้น (stimuli) ซึ่งมีพลังมหาศาล เมื่อตกกระทบจิตใจ สามารถทะลุผ่าเกราะหุ้มชั้นนอก -- ฟรอยด์เชิญชวนให้เรามองภาพจิตใจว่าเป็นเหมือนก้อนเนื้อเยื่อ ประกอบไปด้วยเกราะด้านนอก ตรงกลางคือส่วนของการรับรู้ และจิตใต้สำนึกอยู่ภายใน -- เข้าจู่โจมจิตสำนึกโดยตรง อาการต่างๆ ทางร่างกาย เช่น ตาบอดชั่วขณะ อัมพาต นอนไม่หลับ เกิดจากจิตใจของคนไข้เอง หวนระลึกกลับไปหาความรุนแรงที่ตัวประสบพบมา
กระนั้นก็ตาม คำอธิบายนี้มีปัญหา ภายใต้กรอบคิดแบบจิตวิเคราะพ์ ที่ฟรอยด์พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนศตวรรษ (ในผลงานชิ้นเอก The Interpretation of Dreams) จิตย่อมโหยหาความสุขและหลีกหนีจากความทุกข์ ตามหลักแห่งความพึงพอใจ (pleasure principle) และถ้าจะมีอะไรขัดขวางปฏิบัติการตรงนั้นได้ ก็คือการตระหนักรับรู้ว่า เพื่อความสุขอันสมเหตุสมผล บางครั้งมนุษย์เราก็ต้องผลัดหรือละความสุขเฉพาะหน้าออกไปก่อน ตามหลักแห่งความเป็นจริง (reality principle)
แต่ไม่ว่าจะเป็นหลักแห่งความพึงพอใจหรือหลักแห่งความเป็นจริง ต่างไม่อาจเอามาใช้อธิบายอาการผวาระเบิด หรือความชอกช้ำทางจิตใจอย่างรุนแรงได้ ไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ที่จิตใต้สำนึกจะต้องพยายามหวนกลับไปหาประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีต จากข้อสงสัยตรงนี้เอง ฟรอยด์จึงนำมาพัฒนาเป็นแนวคิดใหม่ในหนังสือ Beyond the Pleasure Principle เพื่ออธิบายสิ่งที่อยู่เหนือกว่า หรือไปไกลกว่าหลักแห่งความพึงพอใจ
มนุษย์เรามี repetition compulsion หรือแรงกระตุ้นในการทำอะไรซ้ำซาก อยากกลับไปหาอะไรเดิมๆ ทำสิ่งเดิมๆ หรือหวนสู่เหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะหอมหวานหรือเจ็บปวดทรมาณแค่ไหน เหมือนกับเด็กทารกที่ชอบเล่นโยนของ โยนออกไปให้ไกลตัว ก่อนจะกู้เก็บคืนมา สำหรับฟรอยด์แล้ว การละเล่นดังกล่าวคือการจำลองสถานการณ์อันเลวร้ายที่เด็กทารกจะต้องเผชิญ นั่นก็คือ การที่แม่และพ่อของเด็กต้องจากออกมา หรือหายตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ของเล่นคือตัวแทนพ่อและแม่ เพียงแต่หนนี้การหายตัวไป คือสิ่งที่เด็กเป็นผู้ก่อขึ้นมาเอง และสามารถควบคุมได้
เช่นเดียวกัน จิตใต้สำนึกของทหารผ่านศึกมีแนวโน้มที่จะหวนกลับไปสู่เหตุการณ์เลวร้ายในอดีต ไม่ว่าจะผ่านทางความฝัน หรืออาการประสาทหลอน เพียงแต่หนนี้ จิตใต้สำนึกมีบทบาทเป็นผู้กระทำ ผู้กำหนดผลลัพท์ของเหตุการณ์รุนแรงที่จำลองขึ้นมาเอง
และเนื่องจากแรงกระตุ้นในการทำอะไรซ้ำซากเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้าม แต่สามารถกดทับหลักแห่งความพึงพอใจได้ -- ในที่นี้หมายถึง ผู้ป่วยถูกบังคับด้วยสิ่งที่ดูเหมือน "อำนาจของปีศาจ" (daemonic power) ให้กลับมาทำอะไรซ้ำซาก ทั้งที่สิ่งนั้นก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจขึ้น -- มันจึงต้องเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่า ( หรือ "beyond") เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิมสุดของมนุษย์ ฟรอยด์เรียกสิ่งนี้ว่า Death drive หรือสัญชาติญาณแห่งความตาย
ที่สุดของสภาวะดั้งเดิมที่สิ่งมีชีวิตจะกลับไปได้ ก็คือความตาย ฟรอยด์ใช้เหตุผลทางชีววิทยามาประกอบแนวคิดของตัวเอง แรกเริ่มเดิมที โลกนี้ปราศจากชีวิต มีเพียงทะเลของอนินทรีย์สาร ชั่วครั้งชั่วคราวสารประกอบเหล่านี้รวมตัวกันเป็นอินทรีย์ชีวิต ก่อนจะแตกสลายกลับไปเป็นสารประกอบ หากด้วยความบังเอิญ ชีวิตชั่วพริบตาเหล่านั้นถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยภายนอก จนมีสภาพแปรเปลี่ยนไป ระยะเวลาก่อนการแตกสลายจะยิ่งยาวนานมากขึ้น ช่องว่างระหว่างการเกิดและการตายยิ่งถ่างออกๆ
ภายใต้กรอบคิดนี้ ชีวิตสำมะหาอันใดนอกจากหนทางอ้อมๆ ก่อนตัวเราจะดำเนินไปถึงจุดมุ่งหมายสุดท้าย ซึ่งก็คือความตาย เราต่างรักษาชีวิตของตัวเอง เพียงเพื่อรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังคำพูดของฟรอยด์ "ทุกสรรพสิ่งปรารถนาที่จะตายในรูปแบบของตัวมันเอง"
ตรงข้ามกับสัญชาติญาณแห่งความตาย ก็คือสัญชาติญาณแห่งเพศสัมพันธ์ (sexual drive) เพศสัมพันธ์ในที่นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะการสืบพันธุ์ หากหมายรวมถึงการเปลี่ยนแปลงโดยรับเอาแรงกระตุ้น และปัจจัยจากภายนอก เพื่อให้ชีวิตดำรงต่อไปอีกสักพัก จิตของมนุษย์จึงเป็นผลิตผลของการงัดข้อกันเองระหว่างสัญชาติญาณแห่งความตาย ซึ่งก็คือความเฉื่อย การตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก และสัญชาติญาณแห่งเพศสัมพันธ์ หรือการผนวกผสมผสานที่ก่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ
เฉกเช่นเดียวกับทฤษฎีอื่นๆ ในวิชาจิตวิเคราะห์ สัญชาติญาณแห่งความตายเป็นแนวคิดที่ยากจะยอมรับไม่ว่าในปัจจุบัน หรือย้อนกลับไปสมัยไวมาร์ ฟรอยด์เองก็ไม่ได้ยืนยันความถูกต้องของมันอย่างกำปั้นทุบดิน ความสนใจของเราจึงไม่ได้อยู่ที่ความถูกผิดของ Beyond the Pleasure Principle แต่อยู่ตรงสัญชาติญาณแห่งความตายเป็นผลิตผลของสังคมไวมาร์ ของประเทศที่เต็มไปด้วยแม่ม่าย เด็กกำพร้า และทหารผ่านศึก เต็มไปด้วยปรัชญาความเชื่ออันหลากหลาย ที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ อัลธูแซร์เคยกล่าวยกย่องฟรอยด์เอาไว้ว่า เพื่อจะเขียนถึงสิ่งที่ไม่เคยมีใครสร้างทฤษฎีรองรับมาก่อน ฟรอยด์หยิบยืมมาจากทุกศาสตร์ ทุกองค์ความรู้ ชีววิทยาเอย อุณหพลศาสตร์เอย เศรษฐศาสตร์เอย และ Beyond the Pleasure Principle ถูกเขียนขึ้นมาในช่วงที่ฟรอยด์กำลังศึกษาศาสนาตะวันออก โดยเฉพาะฮินดู
ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ภควัทคีตาได้รับการแปลเป็นภาษาเยอรมัน และส่งอิทธิพลทางความคิดต่อนักปรัชญา อาทิเช่น แฮร์เดอร์ เฮเกล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโชเปนฮาวเออร์ ผู้เป็นที่ชื่นชอบของฟรอยด์ ความเข้าใจเกี่ยวกับนิพพานของฟรอยด์ได้รับสืบทอดมาจากบาบารา โลว์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาสันสกฤต กุสตาฟ เฟคเนอร์ นายแพทย์ผู้ศึกษาศาสนาพุทธ รวมไปถึงโฮมาง โรลอง เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ผู้เขียนชีวประวัติปราชญ์ชาวเบงกาลี วิเวกนันทะและรามากฤษณะ
กล่าวโดยย่อ ภควัทคีตาว่าด้วยบทสนทนาระหว่างกฤษณะหรือนารายณ์อวตาร และกษัตริย์นักรบ อรชุน ณ ทุ่งกุรุเกษตร อรชุนลังเลที่จะเข้าห่ำหั่นโรมรันกับบรรดาพระญาติ จนกฤษณะต้องกล่าวเทศนาถึงความไม่เที่ยงของร่างกาย มีเพียงแต่จิตเท่านั้นอันเป็นนิรันดร ผู้ซึ่งรู้ตัวว่า ไม่เคยเกิด ไม่เคยตาย ไม่มีเริ่มต้น ไม่มีจุบจบ ผู้นั้นยั่งยืน ไม่เสื่อมสลายไม่เคยเปลี่ยน ผู้นั้นจะฆ่าหรือถูกฆ่าได้อย่างไรเล่า ดังนั้นจงรบเถิดอรชุน!
ไม่ว่าฟรอยด์จะเข้าใจคำเทศนาของกฤษณะไปในทางใด ในจดหมายถึงเขาเขียนถึงโกทซ์ กวีหนุ่มชาวสวิตซ์ที่สนใจในวรรณคดีสันสฤษ ฟรอยด์อธิบายถึงภควัทคีตาว่า
-- ไม่มีอะไรยั่งยืน ทุกสิ่งหลอมละลายกลายเป็นอีกสิ่ง ทันใดนั้น คุณต้องเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า...ชาวยุโรปมักเข้าใจความว่างเปล่าอย่างผิดๆ นิพพานในศาสนาอินเดียไม่ใช่ความว่างเปล่า มันคือสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไปจากความขัดแย้งทั้งปวง --
จากข้อความตรงนี้ น่าเชื่อได้ถึงอิทธิพลของแนวคิดตะวันออกที่มีต่อปรัชญาจิตวิเคราะห์แห่งโลกตะวันตก
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
ติดตามเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับไวมาร์เยอรมันได้ที่เพจ
http://www.facebook.com/NiSatharnrathWiMar