Skip to main content

รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์คือลูกผสมของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วยุโรป ตำแหน่งประมุขของประเทศเปลี่ยนจากเชื้อพระวงศ์ มาเป็นประธานาธิบดี (president) ผู้มาจากการเลือกตั้ง และประจำตำแหน่งทุกๆ เจ็ดปี เฉกเช่นเดียวกับกษัตริย์ ประธานาธิบดีคือสัญลักษณ์สูงสุดของประเทศ สามารถแต่งตั้งและมอบอำนาจการบริหารให้กับนายกรัฐมนตรี (Chancellor) แต่ละรัฐอิสระรักษาสิทธิในการปกครองตนเอง ส่วนอำนาจในการเก็บและแจกจ่ายภาษี การขนส่งทางน้ำและรางรถไฟ และการควบคุมกองทัพตกเป็นของรัฐบาลกลาง

ถึงแม้ประธานาธิบดีจะแต่งตั้งฝ่ายบริหาร แต่นายกรัฐมนตรีและคณะยังต้องได้รับความเห็นชอบจากไรช์ทาค หรือรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งต่างหาก เยอรมันใช้ระบบการเลือกตั้งแบบ “บัญชีรายชื่อ” กล่าวคือคนเยอรมันทั้งประเทศลงคะแนนเสียงเลือกพรรคการเมือง ไรช์ทาคประกอบไปด้วยผู้แทนราษฎรตามสัดส่วนของคะแนนเสียงที่ได้รับ (ยกตัวอย่างเช่น รัฐสภาที่มีผู้แทนราษฎร 500 คน พรรคที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเพียงร้อยละ 1 ก็ยังมีสิทธิเอาตัวแทนพรรค 5 คนเข้าไปนั่นในสภา)

ในทางทฤษฎี ระบบบัญชีรายชื่อช่วยรับประกันได้ว่า ไม่มีกลุ่มเสียงข้างน้อยใดที่ถูกมองข้าม ในทางปฏิบัติ นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่าการเลือกตั้งแบบนี้นำไปสู่ “อนาธิปไตยรัฐสภา” การเลือกตั้งให้อำนาจกับ “พรรคฝ่ายค้าย” พรรคเล็กพรรคน้อย ขัดขวางการดำเนินงานของรัฐบาล ระบบการเมืองของไวมาร์ถูกประชาชนมองว่าไร้น้ำยา ไม่สามารถลงมือทำอะไรจริงจังได้สักอย่าง ความน่าเชื่อถือของประชาธิปไตยที่เพิ่งวางรากฐานถูกบ่อนทำลาย

การเมืองของสาธารณรัฐไวมาร์ขับเคลื่อนด้วยสมดุลระหว่างขั้วอำนาจและอุดมการณ์อันหลากหลาย มองในแง่ดี นี่คือการถ่วงดุลอำนาจตามปรัชญาประชาธิปไตย แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นการบั่นทอนรัฏฐาธิปัตย์ที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน หลักฐานของภาวะอนาธิปไตยรัฐสภาคือการเปลี่ยนตัวผู้นำฝ่ายบริหาร นายกรัฐมนตรี ทั้งหมดสิบสี่ครั้งในชั่วเวลาสิบสี่ปีของสาธารณรัฐ การครองอำนาจเพียงแค่สองหรือสามเดือน ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลผสม หรือการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อไม่ใช่สิ่งเลวร้ายโดยตัวมันเอง แต่ในยุคที่สังคมแตกแยกอย่างถึงขีดสุด ประชาชนควรจะมีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งกว่านี้ 

ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งขึ้น ภายใต้การปรากฏตัวของสองพรรคฝ่ายค้านสุดโต่ง จากสองปีกการเมือง คือ Kommunistische Partei Deutschlands (“พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมัน”) และพรรคการเมืองปีกขวา Deutschnationale Volkspartei ("พรรคมวลชนชาตินิยมแห่งเยอรมัน") ทั้งสองพรรคมีแนวคิดทางการเมืองตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แต่มีจุดร่วมเดียวกันคือต่างไม่ต้องการกำหนดนโยบาย หรือบริหารประเทศ พวกเขาลงสมัครเลือกตั้งเข้าไปในระบบ เพื่อทำลายประชาธิปไตยจากภายใน

 

 

ในภาวะปกติ พรรคการเมืองสุดโต่งอย่างเคเพเด และพรรคมวลชนชาตินิยมจะไม่สามารถรักษาฐานคะแนนเสียงของตัวเองไว้ได้นาน และจะค่อยๆ สลายอิทธิพลไปเอง แก่นแท้ของประชาธิปไตยคือการรักษากฎกติกา ถึงแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้น แต่กฎกติกาจะค่อยๆ หล่อหลอมสังคมจนหาทางก้าวข้ามอุปสรรคนั้นไปได้เอง การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่ออาจไม่เหมาะสมกับสังคมไวมาร์ เคเพเดและพรรคมวลชนชาตินิยมอาจเป็นระเบิดเวลาสองลูกใหญ่ที่รอวันปะทุอยู่ในไรช์ทาค แต่ถ้าประชาธิปไตยดำเนินไปตามครรลอง หนทางจักปรากฏขึ้นมาเองในท้ายที่สุด

"ประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมัน คือประวัติศาสตร์แห่งความสุดโต่ง มันบรรจุทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ยกเว้นทางสายกลาง" ไม่มีแง่มุมใดจะพิสูจน์ข้อความนี้ได้ดีไปกว่าการเมือง ประชาธิปไตยของไวมาร์ตีกลับไปมาระหว่างอนาธิปไตยรัฐสภา และเผด็จการรัฐสภา ขณะที่นักประวัติศาสตร์ยังถกเถียงกันถึงข้อดีข้อด้อยของการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ แทบทุกคนเห็นตรงกันว่ามาตรา 48 คือเมล็ดพันธุ์ที่แท้จริงของหายนะ

มาตรา 48 คืออำนาจการประกาศกฎอัยการศึก ในสภาวะคับขันตามดุลพินิจของประธานาธิบดี เมื่อใช้มาตรา 48 สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น สิทธิในการแสดงความคิดเห็นจะถูกริบ ประธานาธิบดีสามารถสั่งการกองทัพ ตั้งศาลพิเศษขึ้นมาได้ตามใจชอบ หรือกระทั่งยุบสภา เยอรมันทั้งประเทศเข้าสู่สภาวะเผด็จการชั่วคราว เนื่องจากไม่มีมาตรการใดจำกัดกรอบการประกาศกฎอัยการศึก ตลอดห้าปีที่เขาดำรงตำแหน่ง เออแบร์ตใช้มาตรา 48 ทั้งหมด 136 ครั้ง เช่น เพื่อล้มล้างรัฐบาลท้องถิ่นของรัฐซาคเซนและธูริงเกีย และที่เลวร้ายที่สุดคือ เพิ่มบทลงโทษย้อนหลังถึงขั้นประหารชีวิตให้กับกบฎแรงงานในเมื่องรูห์ร โดยส่วนใหญ่ มาตรา 48 ถูกใช้เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากฝ่ายซ้าย และไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่เออแบร์ตจะใช้มาตรา 48 เพื่อต่อสู้ภัยคุกคามจากฝ่ายขวา

การใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จคือสิ่งเลวร้าย การใช้อำนาจเผด็จการที่อยุติธรรมนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า แต่ที่เลวร้ายที่สุดกลับเป็นการใช้อำนาจเผด็จการกับเรื่องเล็กน้อยในการบริหารประเทศ เช่น การผ่านกฎหมายที่จะประสบแรงเสียดทานในไรช์ทาค มันคือการปลูกฝังค่านิยมต่อต้านประชาธิปไตย ระบบและกติกากลายเป็นสิ่งล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ ที่ประชาชนต้องการคือผู้นำเข้มแข็ง บริหารประเทศด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ ตลอดสิบห้าปีของสาธารณรัฐไวมาร์ "ระบบ" กลายเป็นเป้าโจมตีในโฆษณาชวนเชื่อของพรรคการเมืองฝ่ายขวา

เผด็จการรัฐสภาอาจเป็นหนทางเดียว สำหรับให้เออแบร์ตฟันฝ่าความแตกแยกในไรช์ทาค แต่เผด็จการไม่เคยเป็นคำตอบในระยะยาว ทั้งเผด็จการรัฐสภาและอนาธิปไตยรัฐสภาเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ แต่อย่างน้อย อนาธิปไตยรัฐสภาก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือการที่สังคมเรียนรู้จะอยู่กับความแตกแยก แตกต่างทางความคิด คือการรอมชอมผลประโยชน์และอุดมการณ์ของตัวเอง ภายใต้เงื่อนไขอำนาจที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ ในทางตรงกันข้าม การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของ "คนเก่งคนดี" ข้ามหัวผู้แทนราษฎร หรือที่ในสากลโลก เรียกกันว่า "เผด็จการรัฐสภา" นั่นต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของระบบนาซี

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ติดตามเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับไวมาร์เยอรมันได้ที่เพจ

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=223856564413050&set=a.197511890380851.50244.197506433714730&type=1&theater

บล็อกของ Nibuk

Nibuk
ฟรอยด์เขียน Group Psychology and the Analysis of the Ego ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับ Beyond Pleasure Principle ข้อถกเถียงพื้นฐานของทั้งสองเล่มนี้คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ขณะที่ปัจเจกชนมีแนวโน้มจะหวนไปสู่สภาวะดั้งเดิม คือความตาย สังคมอันประกอบไปด
Nibuk
Death Instinct/Death Drive หรือสัญชาติญาณแห่งความตาย เป็นแนวคิดใหม่ที่ซิกมุนต์ ฟรอยด์พัฒนาขึ้นมาภายหลังสงครามโลก   ทหารผ่านศึกส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ในอาการผวาระเบิด (shell shock)   นี่จึงเป็นโอกาสอันดีให้ฟรอยด์พิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง โดยใช้วิชาจิตวิเคราะห์รักษาคนไข้เหล่านี้ 
Nibuk
หนึ่งในข้อเรียกร้องของสนธิสัญญาแวร์ซายก็คือ เยอรมันต้องส่งมอบตัวอาชญากรสงคราม ให้ฝ่ายพันธมิตรดำเนินคดี ในที่นี้หมายถึงวิลเฮล์ม -- ถ้าเขาไ
Nibuk
รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์คือลูกผสมของรัฐธรรมนูญแห่งประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ทั่วยุโรป ตำแหน่งประมุขของประเทศเปลี่ยนจากเชื้อพระวงศ์ มาเป็นประธานาธิบดี (president) ผู้มาจากการเลือกตั้ง และประจำตำแหน่งทุกๆ เจ็ดปี เฉกเช่นเดียวกับกษัตริย์ ประธานาธิบดีคือสัญลักษณ์สูงสุดของประเทศ สามารถแต่งตั้งแล
Nibuk
อันที่จริงในหมู่ประเทศผู้ชนะสงคราม ก็ไม่ได้มีความเห็นลงรอยกันเกี่ยวกับเป้าหมายของสนธิสัญญาแวร์ซาย ฝรั่งเศสและเบลเยียมต้องการลงโทษเยอรมัน ยึดพื้นที่อุตสาหกรรมมา เพื่อให้แน่ใจว่าเยอรมันจะไม่มีโอกาสฟื้นกล
Nibuk
เดือนเมษายนปี 1919 เคาต์อูลริช วอน บรอคดอร์ฟ-รานต์ซาว รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศคนแรกของเยอรมันใหม่ เดินทางไปพระราชวังแวร์ซาย เพื่อลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ข้อตกลงเจรจาสงบศึกที่เขาเตรียมเอาไว้คือ เยอรมันจะยอมปลดอาวุธของตัวเองเท่ากับที่เพื่อนบ้านยอมปลด ยอมสละแว่นแคว้นชายแดนภายใต้เงื่อนไขว่า ผู้คนใน
Nibuk
วีรบุรุษซิกฟรีด สายเลือดแห่งมหาเทพ ครองรักอย่างมีความสุขกับนางฟ้าตกสวรรค์ บรึนฮิลเดอ บนภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลเพลิง อยู่มาวันหนึ่ง ซิกฟรีดต้องการออกไปผจญภัยในโลกภายนอก หลังจากร่ำลาภรรยาสุดที่รักเขาให้สัญญาว่าจะคงรักแต
Nibuk
คานดินสกีเกิดและเติบโตในกรุงมอสโค เมืองหลวงของประเทศรัสเซีย เขาเรียนจบและประกอบอาชีพทางกฎหมายจนถึงอายุสามสิบ ก่อนหน้านั้นไม่เคยได้รับการฝึกฝนใดๆ ทางศิลปะมาก่อน เหตุการณ์สำคัญที่หักเหชีวิตของชายหนุ่ม คือการได้ชมภาพวาดกอง
Nibuk
ต้นแบบของดอกเตอร์คาลิการิคือจิตแพทย์ผู้โด่งดังสองคน คนแรกคือฌอง มาแตง ชาคูต์ จิตแพทย์ชาวฝรั่งเศสจากปลายศตวรรษที่ 18 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ที่ศึกษาโรคฮิสทีเรียอย่างจริงจัง ในปี 1885 ฟรอยด์วัยหนุ่มเรียนหนังสืออยู่กับชาคูต์ เขาเขียนจดหมายถึงคู่หมั้นบรรยายลักษณะของอาจารย์ไว้ว่า "สูงห้าฟุตแปดนิ้