อันที่จริงในหมู่ประเทศผู้ชนะสงคราม ก็ไม่ได้มีความเห็นลงรอยกันเกี่ยวกับเป้าหมายของสนธิสัญญาแวร์ซาย ฝรั่งเศสและเบลเยียมต้องการลงโทษเยอรมัน ยึดพื้นที่อุตสาหกรรมมา เพื่อให้แน่ใจว่าเยอรมันจะไม่มีโอกาสฟื้นกลับมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง อเมริกาและอังกฤษต้องการเยอรมันที่เข้มแข็งพอจะต่อกรกับศัตรูในอนาคตอย่างรัสเซีย นักการเมืองเยอรมันหลายคนคาดหวังว่าสุดท้าย อิทธิพลของจอร์จและวิลสัน จะอยู่เหนือคลีเมนซัว
พวกเขาคิดผิด
สนธิสัญญาแวร์ซายบังคับให้เยอรมันปลดอาวุธอย่างปราศจากเงื่อนไข กองทัพเยอรมันถูกจำกัดจำนวนให้เหลือเพียงหนึ่งแสนคน ไม่มากพอจะไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน แต่มากพอจะก่อสงครามความวุ่นวายภายใน ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ถูกริบไปเป็นของผู้ชนะ รถถัง เครื่องบิน เรือดำน้ำ กระทั่งสายโทรเลข สายไฟ และวิทยุสื่อสาร (สามประการหลังดูจะเป็น "ตลกฝรั่งเศส" เพื่อการเยาะเย้ยประเทศผู้แพ้สงครามมากกว่า)
เจ็บปวดพอๆ กับการสูญเสียกองทัพอันเกรียงไกร คือดินแดนและประชากรถูกหั่นออกถึงหนึ่งในสิบ แคว้นอุตสาหกรรมอัลแซค-ลอเรน กลับไปเป็นของฝรั่งเศสภายหลังจากสงครามบิสมาร์กค์เมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ประเทศใหม่ถูกสร้างขึ้นมาจากดินแดนปรัสเซีย และอุบเปอร์ ซิเลเซีย โปแลนด์กลายมาเป็นรัฐอิสระอีกครั้ง ภายหลังจากถูกปรัสเซียและรัสเซียกลืนกินในศตวรรษที่ 18 มองอย่างเปิดใจให้กว้าง นี่ไม่ใช่การตัดแบ่งดินแดนแบบสุ่มมั่วอย่างที่นักการเมืองฝ่ายขวาป่าวประกาศ
ข้อเรียกร้องจากแวร์ซายก่อคลื่นกระทบอย่างรุนแรงในสังคมเยอรมัน ไม่มีนักการเมืองคนไหนกล้าลงนามในสนธิสัญญา เพราะนั่นเท่ากับว่า ตัวเองจะต้องกลายเป็นคนทรยศตามคำโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายขวา แม้แต่ฝ่ายซ้ายเอง ยังมองว่าสนธิสัญญานี้คือความพยายามของโลกทุนนิยมที่จะแผ่อิทธิพลเข้ายึดครองเยอรมัน ฝรั่งเศสและเบลเยียมให้เวลาเยอรมันห้าวัน ก่อนจะยกกองทัพข้ามพรมแดน ตลอดห้าวันนี้ มีกระทั่งความพยายามก่อรัฐประหารของกลุ่มนายพล โดยจะยกเอานอสเก รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้รับผิดชอบไฟร์คอร์ปส์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี
ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับฮินเดนบูร์ก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ถ้ากองทัพเยอรมันยังมองเห็นหนทางชนะ ก็คุ้มค่าที่จะยึดอำนาจแล้วสถาปนารัฐเผด็จการ แต่วีรบุรุษแห่งเทนเนนเบิร์กก็ยังโลเล เขาบอกรัฐบาลว่า "เราไม่มีความหวังที่จะต้านทานข้าศึก หากพวกเขายกทัพเข้ามา...แต่ในฐานะชายชาติทหาร ข้าพเจ้ายอมตายดีกว่าลงนามในสันติภาพอันน่าอดสูนี้" จนเกือบวินาทีสุดท้ายฮินเดลบูร์กถึงจะยอมรับว่าเยอรมันหมดหนทางสู้ ความใฝ่ฝันจะเป็นจอมเผด็จการของนอสเกสิ้นลง และฝรั่งเศสได้รับคำตอบรับจากเยอรมัน ครึ่งชั่วโมงก่อนถึงเส้นตายยกทัพ
เป็นเรื่องปรกติที่การเมืองหลังฉากยิ่งร้อนแรงเท่าใด หน้าฉากจะร้อนฉ่ายิ่งกว่านั้นหลายเท่า พอถึงตอนนั้น ไม่มีนักการเมืองคนใดยังหลอกตัวเองต่อไปได้เยอรมันยังเหลือศักยภาพในการทำสงคราม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่หาประโยชน์จากการตีฆ้องร้องป่าว สร้างคะแนนนิยมในหมู่มวลชนฝ่ายขวา ฟิลิป ไชเดอมานน์ นายกรัฐมนตรีคนแรกของไวมาร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งกลางที่ประชุม เพราะปฏิเสธไม่ยอมลงนามในสนธิสัญญาที่เขาเรียกว่า "การตัดแข้งขาอย่างโหดร้าย""สัญญาทาส" "ราวกับเอาเท้ามาเหยียบย่ำ และเอานิ้วมาควักลูกตา" สัญญาฉบับนี้จะเปลี่ยน "คนเยอรมันหกสิบล้านคนให้กลายเป็นนักโทษในทันที พวกเราจะถูกจับขังอยู่หลังรั้วลวดหนามและลูกกรง จะกลายเป็นนักโทษใช้แรงงาน โดยมีแผ่นดินบ้านเกิดคือคุก!" เสียงปรบมือกึกก้องดังมาจากทั่วสภา
แน่นอนถ้าแกนนำของพรรคเอสเพเดยังเป็นได้ขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กลุ่มอนุรักษนิยม ชาตินิยมจะเป็นได้ขนาดไหน อาเธอร์ กราฟ วอน โพซาดอฟสกี-เวอเนอร์ หัวหน้าพรรคประชาชนเยอรมันในขณะนั้น กล่าวว่า "การปฏิเสธไม่ยอมลงนาม จะส่งผลร้ายเพียงชั่วขณะ แต่ประเทศเยอรมันจะยังรักษาเกียรติศักดิ์ศรีเอาไว้ได้ และต่อให้ชาวเยอรมันต้องสละชีวิต [ในสงคราม] ภายหลังความตาย มีโลกใหม่รอคอยเราอยู่ การยอมรับสนธิสัญญาฉบับนี้ หมายถึงการจองจำลูกหลานของเราไปอีกหลายชั่วอายุคน"
โพซาดอฟสกีคือตัวอย่างของผู้เชี่ยวชาญในการบิดเบือน จับประวัติศาสตร์มาใช้แบบงูๆ ปลาๆ เพื่อสนับสนุนข้อถกเถียงของตัวเอง เช่น อัลแซคแท้ที่จริงเป็นดินแดนของเยอรมัน ก่อนจะถูกฝรั่งเศสยึดครองไป หรืออัพเปอร์ซิเลเซียไม่ใช่ส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์ (เหตุการณ์แรกเกิดในศตวรรษที่ 16 และเหตุการณ์หลัง ศตวรรษที่ 13) โพซาดอฟสกียังเลี่ยงบาลีด้วยการ แทนที่จะพูดถึงบทบาทของเยอรมันในสงครามโลก ก็กลับไปยกเอาความโหดร้ายทารุณของอังกฤษและเบลเยียมในประเทศอาณานิคมมาคัดง้างเพื่อปลุกปั่นมวลชน
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%