Skip to main content

31สิงหาคม2550
22.40 น.

ฉันลุกขึ้นเปิดดวงไฟจากแบตเตอรี่อีกครั้ง หลังจากที่ลุกขึ้นมาโทรศัพท์สนทนากับเพื่อนที่เชียงใหม่ ระบายความกลัดกลุ้มด้วยคำพูดแต่ดูเหมือนเมื่อปิดไฟลง ดวงตาก็เบิกโพลงไปกับความคิดฉันจึงปล่อยความคิดโลดแล่นไปกับปลายปากกา

นับถอยหลังไปอีกสิบวัน หมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่นี้ก็จะถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยให้ไปรวมกับหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปติดชายแดนไทย-พม่าทางฝั่งทิศตะวันตก

 

PICTURE1

 

เนื่องจากชาวบ้านที่นี่อาศัยอยู่กับนายทุนมานานกว่า 12 ปี ด้วยสัญลักษณ์ที่พิเศษแตกต่างกว่าชนเผ่าอื่น “กะยัน” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากะเหรี่ยงคอยาว จึงมักถูกโยกย้ายถ่ายเทไปหลายหนแห่งหลายครั้งคราวอย่างไม่มีทางเลือก ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเพื่อธุรกิจการท่องเที่ยว

ทว่าครั้งนี้ เมื่อชาวบ้านเงี่ยหูฟังรัฐที่ได้ยื่นมือลงมาปลดห่วงที่มองไม่เห็น ต้องการจัดตั้งหมู่บ้านถาวร โดยจะยกที่ดินที่ทำกินให้ดำเนินชีวิตอย่างชาวเขาเผ่าต่างๆ แต่ขณะที่เดียวกันก็ยังเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้เช่นเดิม

จากการบังคับข่มขู่ให้ย้าย ก็กลายเป็นการขอร้องให้ย้ายด้วยความสมัครใจ ทำให้ 8 ครอบครัวจาก 26 ครอบครัว (รวม “กะยอ” หรือกะเหรี่ยงหูกว้าง 4 ครอบครัว) ตัดสินใจโยกย้ายตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ยิ่งใกล้วันย้ายปัญหาก็ยิ่งคุกรุ่น ชาวบ้านเริ่มแสดงตัวเป็นฝักฝ่ายชัดเจน ระหว่างกลุ่มผู้สมัครใจย้ายจากหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่าและหมู่บ้านในสอย ไปอยู่ที่หมู่บ้านห้วยปูแกง (น้ำเพียงดิน) ตามคำขอร้องของผู้ว่าฯ กับกลุ่มผู้สมัครใจอยู่ที่เดิม

ส่วนอีกกลุ่ม ที่แยกตัวกลับไปอยู่ในศูนย์พักพิงผู้อพยพในสอยนั้น ก็จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว

 

PICTURE2

 

ด้วยความหวาดหวั่นพรั่นใจของทั้งสองฝ่ายที่ไม่รู้ชะตาตัวเองว่า ไปแล้วจะเป็นอย่างไร ส่วนที่เหลืออยู่จะอยู่อย่างไร ยิ่งข่าวลือที่กระพือมาเป็นระลอกเช่นว่า หมู่บ้านเดิมอาจถูกกดดันให้ปิดลงด้วยเหตุผล “ความมั่นคงแห่งรัฐ, ขัดต่อสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่นำคนมาเปิดแสดงดังสวนสัตว์ (Human Zoos)”

หรือไม่ก็ฝ่ายที่ย้ายจะถูกจำกัดสิทธิ์การเข้าออกหมู่บ้าน ล้วนเป็นหัวข้อโต้เถียงกันอยู่ตลอดเวลา

สำหรับฉันซึ่งตัดสินใจหอบลูกชายวัยหกเดือนเศษย้ายติดตามสามีกะยันไปด้วย แม้จะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง แต่เหล่าบรรดาพี่น้องของฝ่ายสามีส่วนใหญ่ตัดสินใจย้ายไปเกือบหมด ก็ทำให้นึกเป็นห่วงและไม่อาจดูดายได้

ด้วยความที่ฉันเป็นคนไทยคนเดียวที่มีบัตรประชาชน มีความรู้และยังสามารถสื่อสารกับหน่วยงานราชการได้ดีกว่าชาวบ้านที่ยังใหม่ต่อการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ

เพราะที่ผ่านมามีนายทุนคอยจัดการทุกอย่าง ทำให้ฉันต้องตกที่นั่งกลายมาเป็นที่ปรึกษาให้กับฝ่ายที่จะย้ายไปโดยปริยาย

และนี่ก็เป็นที่มาแห่งความกลัดกลุ้มของค่ำคืนนี้ หมู่บ้านที่เคยสงบสุขเริ่มแตกแยก พี่น้องที่เคยรักใคร่มาเป็นอริกัน หากมีใครที่ผ่าเหล่าเลือกในสิ่งที่ข้างมากไม่เลือก ทั้งๆ ที่ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่พวกเขาได้มีโอกาสเลือก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเลือกที่จะเดินทางข้ามแม่น้ำสาละวินมาขึ้นฝั่งไทยเมื่อ ปี 2527

เมื่อวานเจอปัญหาโลกแตก ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งได้ในทุกที่ก็คือเรื่องเงิน เงินกองทุนชาวบ้านที่แบ่งไม่ลงตัว แม้กะยันฝั่งที่ไม่ย้ายจะมีน้อยกว่าฝั่งที่ย้าย แต่คนที่ดูแลเงินคือมีทั้งผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยฯ (ที่ตั้งกันเอง) มีอำนาจการต่อรองมากกว่า จึงสร้างรอยแค้นให้กับชาวพี่น้องที่ย้ายไปอยู่ไม่น้อย

พอเมื่อวานผ่านไปวันนี้ เงินกองทุนหมู่บ้านเหลือ 2,000 บาท ซื้อเนื้อซื้อเบียร์มาร่วมวงกินกันทั้งหมู่บ้าน ทุกคนเฮฮาปาร์ตี้เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจ นี่แหละหนาชาวบ้านไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย ทะเลาะกันก็ฉะกันตรงๆ พอจบเรื่องแล้วก็แล้วกันไป

แม้ฉันจะยังไม่ค่อยเข้าใจในภาษาและวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างละเอียดลออ แต่ก็พอจะเข้าใจในวิถีชีวิตและลักษณะนิสัยของชาวกะยันอยู่บ้าง

จุดอ่อนของหมู่บ้านนี้(ที่ฉันอาศัยอยู่คือบ้านห้วยเสือเฒ่า) คือขาดผู้นำที่แท้จริง ชาวบ้านจึงไม่ค่อยเชื่อผู้นำ การประชุมหมู่บ้านแต่ละครั้งจึงไม่ค่อยมีความหมาย เพราะต่างคนต่างคิดกันคนละอย่าง แต่ไม่เคยมาถกเถียงกันในกลุ่ม แต่ซุบซิบกันเอง แต่พอถกเถียงกันในกลุ่มจริงๆ ก็ไม่สามารถหาตกลงได้ เพราะพวกเขาใช้ระบบเครือญาติตกลงกัน ญาติใครเยอะกว่ากัน บางคนจึงต้องยอมรับข้อตกลงแบบจำยอม

ฉันจึงไม่แปลกใจที่ชาวบ้านบางส่วนเลือกที่จะย้ายไปที่แห่งใหม่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าที่นั่นจะกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนที่เดิมที่มีนายทุนดูแลอยู่หรือไม่

แต่ที่รู้ๆก็คือ ที่นั่นไม่จำเป็นต้องจำยอมก้มหัวรับคำสั่งของใคร และการลงชื่อย้ายของชาวบ้านบางส่วนก็นับเป็นการแสดงออกของการต่อต้านนายทุนที่มีมานานกว่า12 ปี.

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามชมละครเรื่องเมียหลวง ที่ถ่ายทอดทุกวันจันทร์-อังคารทางช่องเจ็ด เป็นละครไม่กี่เรื่องที่ฉันชอบดู ด้วยพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน รับสัญญาณโทรทัศน์ได้เพียงไม่กี่ช่อง  และอีกเหตุผลหนึ่งคือละครดีๆ มีไม่กี่เรื่อง  แม้หลายคนจะเหมารวมละครทีวีของไทยว่าเป็นละครน้ำเน่าเสียส่วนใหญ่ แต่ฉันก็เชื่อว่าละครที่สร้างมาจาก นวนิยาย ก็น่าจะมีเนื้อหาสาระบางอย่างสอนใจคนดูได้บ้าง ไม่ใช่จะดูแต่เพียงฉากตบกันของบรรดาเมียน้อยของคุณอนิรุจเท่านั้น
เจนจิรา สุ
เรานั่งพูดคุยบนชานหน้าบ้านอย่างออกรส ส่วนใหญ่ก็จะถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน เลยไปถึงญาติคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้ากันนาน พี่เขยขึ้นเรือนมาสมทบเมื่อสิ้นเสียงออดของโรงเรียนได้พักใหญ่ “ไปเป็นการ์ดยามมา เขาให้เดือนละสี่ร้อย” พี่สาวแจง เป็นรายได้เดียวที่เหลืออยู่ของครอบครัว
เจนจิรา สุ
 "ไตรบานา" แม่เฒ่ากล่าวขอบคุณเป็นภาษากระยัน เมื่อเราบอกลาเป็นภาษาเดียวกัน ยังมีครอบครัวพี่สาวของสามีที่อยู่ถัดไปอีกสามป็อก เราตั้งใจว่าจะเยี่ยมก่อนที่จะไม่ได้พบหน้ากันอีก เพราะทางยูเอ็นฯ ได้แจ้งว่า ครอบครัวของเธอจะได้ไปประเทศที่สามในอีกไม่ช้า เราเดินเท้าไปตามทางเดินอันแสนพลุกพล่าน ราวกับว่าผู้คนเร่งรีบเดินทางสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนสักแห่ง ความแออัดของผู้คนซึ่งมีอยู่ราวๆ สองหมื่นคน ทำให้บนทางเท้าและที่สาธารณะต่างๆ ดูครึกครื้น กลบบังความทุกข์ของคนพลัดบ้าน
เจนจิรา สุ
บนถนนที่ทอดยาวสู่หุบเขาทางทิศตะวันตกของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เส้นทางที่ห่างออกมาเพียงสามสิบกิโลเมตรเศษ ลัดเลาะไปตามภูเขาบนถนนสายรพช. ซึ่งค่อยๆ แปรสภาพเป็นดินและหินลูกรังก่อนจะถึงสุดสายปลายทาง อันเป็นสถานที่คล้ายด่านกักกันมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ไร้ประเทศและเสรีภาพ หมู่บ้านกลางป่าที่ปลูกเบียดเสียดเรียงรายทุกซอกหลีบของพื้นที่จัดสรร คนนับหมื่นอัดแน่นในที่อาศัยกว้างกว่าเท้าและหัวจะพาดวางเพียงไม่กี่วา ที่นี่คือศูนย์ผู้พักพิงบ้านในสอย
เจนจิรา สุ
 มีใครเคยใช้ชีวิตในบ้านนอกโดยเฉพาะทางภาคอีสาน เมื่อประมาณสัก 20 ปีก่อน อาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับวัดที่แตกต่างจากปัจจุบัน ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เราแทบจะก้มลงกราบที่เท้าพระ เมื่อท่านเดินผ่านด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันเป็นไปได้ยาก ฉันเป็นชาวพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก ด้วยหมู่บ้านที่มีวัดป่า พระเณรเพียงไม่กี่รูปหนึ่งในนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง เราจึงเที่ยวเล่นแวะเวียนมาที่วัดทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันยังจำไม่ลืมที่พระหลวงพี่ จับเราพี่น้องนั่งเรียงแถวทำสมาธิ เทศน์สอนประวัติความเป็นมาของพุทธเจ้าให้ฟัง ความที่ท่านบวชตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว
เจนจิรา สุ
เราทยอยออกจากบ้านร้างด้วยดวงใจที่ปวดร้าว ตรอกเล็กๆ ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นเส้นทางสัญจรของผู้คนจากหมู่บ้านกลางป่าไปสู่บ้านห้วยปูแกงเก่า บัดนี้ถูกย่ำไปด้วยรอยของสัตว์สี่เท้า “เชื่อไหมว่าครั้งหนึ่ง เราเคยช่วยกันขนทรายจากแม่น้ำข้างล่างมาถมตรอกแห่งนี้ กระสอบทรายนับร้อยจากจำนวนคนเพียงหยิบมือเพื่อ....” ฉันหยุดคำพูดเพียงบางแค่นั้น ทิ้งบางส่วนค้างไว้ในความทรงจำ “เพื่ออะไรล่ะ” ใครคนหนึ่งยังคงตั้งคำถามต่อสิ่งที่ค้างคา “เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากหมู่บ้านข้างนอกเขามาเห็นวิถีชีวิตเรา มาเห็นหมู่บ้านที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่มีแต่ร้านขายของ แต่มันคงไกลเกินไป…
เจนจิรา สุ
สมรภูมิแห่งนี้เรารบกับอะไร ที่ผ่านมาเราถูกจองจำไว้ในกรงที่มองไม่เห็น เรามีอาหาร มีที่อยู่หลับนอน แต่เราไม่สามารถเป็นคนเต็มคนได้ เพราะเราไม่มีสิทธิ์คิดหรือแสดงความคิดเห็น ไม่สามารถรู้สึกเจ็บแค้นร้อนหนาว เราต้องทำหน้าที่อันถูกกำหนดมาจากผู้คุม ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนาย เพียงเพื่อส่วนแบ่งที่ถูกเจียดให้พอประทังชีวิต แล้ววันหนึ่งเราต้องการปลดแอก เราต้องการตั้งอาจักรของตนเอง มีบ้านและที่ดินที่เป็นของเราจริงๆ ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมจากสมองและแรงกายของตนเอง
เจนจิรา สุ
ตุลาคม 2551"พร้อมหรือยัง"ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพแสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง "หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
เจนจิรา สุ
เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที “กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง) ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน…
เจนจิรา สุ
มีนาคม 2551 ฉันตอบจดหมายแฟนนักอ่านคอลัมน์ของฉันคนหนึ่ง เธอเป็นคนปักษ์ใต้ นานเป็นเดือนที่จดหมายมาถึงพร้อมเสื้อผ้าและข้าวของกล่องใหญ่ ด้วยเจตนาทดแทนความขาดแคลนตามความรู้สึกของเธอ ที่สัมผัสจากการอ่านในบันทึกของฉันอยู่สองสามฉบับ เธอบอกว่าอิจฉานิดๆ ในชีวิตที่เรียบง่ายที่ฉันเลือกเดิน ฉันจึงตอบเธอไปว่าฉันเป็นเพียงนกที่บินหลงทางมา ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้รับจดหมาย เสียงโทรศัพท์ และหนังสือดีๆ ที่ถูกส่งมาจากคนเมืองไกลจากเพื่อนที่ห่างหายการติดต่อมานานแสนนาน และจากมิตรร่วมความรู้สึกที่ไม่เคยเห็นหน้า อาจดูเป็นเรื่องแปลกหรือมีเปอร์เซ็นต์น้อยเหลือเกิน ที่คนปกติธรรมดา เกิด และเติบโตในสังคมเมือง…
เจนจิรา สุ
20 พฤศจิกายน 2550 คืนนี้แสงจันทร์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทิศเหนือ ดาวพราวแต้มเต็มฟ้า เหล้าดีกรีแรงทิ้งก้นจอกตั้งวางเคียงดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยแม่เฒ่า ฉันกระชับเสื้อกันหนาวอีกนิด เมื่อลมหนาวพรูมาทางหน้าต่างบานกว้าง แม่เฒ่าบอกให้ยกดื่มอีกสักจอกแล้วจะอุ่นขึ้น ฉันรินคืนให้แม่เฒ่าพลางถามถึงความหลังเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่เมืองดอยก่อ รัฐคะยา ประเทศพม่า “ตอนนั้นแม่ทำนามาได้ก็ต้องแบ่งให้กับเจ้าของนา ที่เหลือก็แทบไม่พอกิน ทหารพม่าก็ยังมาขูดรีดเอาอีก บางทีถ้าไม่ให้ก็ทุบตี พวกผู้ชายต้องพากันไปหลบซ่อนตัว  ไม่อย่างนั้นมันจะเกณฑ์ให้ไปขนระเบิดที่ชายแดน” “…
เจนจิรา สุ
10 พฤศจิกายน 2550 ฉันว่างเว้นจากการเขียนบันทึกไปนานด้วยทั้งภารกิจส่วนตัวที่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในวัยที่ต้องการการเอาใจใส่อย่างสูง และภารกิจของชุมชนที่ต้องเขียนโครงการเพื่อของบประมาณจากหน่วยงานราชการ ทั้งงานประสานงาน งานประชุม ส่วนเวลาที่เหลือฉันก็ยกให้กับการคิดในเรื่องต่างๆ ฉัน สามี และลูกต้องเดินทางทุกๆ 3-5 วัน จากบ้านของตนเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองไปบ้านห้วยเสือเฒ่าและบ้านใหม่ห้วยปูแกง การพักอาศัยที่บ้านของตัวเองที่สร้างไว้ใกล้เมืองนั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวคือความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะการเดินทาง อยู่ใกล้โรงพยาบาล มีไฟฟ้าใช้สำหรับทำงาน หรือพักผ่อนด้วยการดูทีวี ติดตามข่าวสารโลกภายนอก…