ยังคิดถึงแฟนคอลัมน์อยู่เสมอนะคะ และที่หายด้วยภารกิจบางอย่างและกำลังเตรียมหาข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับแดนอิเหนาและตากาล็อคมาฝากผู้อ่านอยู่นะคะ อย่าเพิ่งลืมกันไปก่อน ช่วยให้กำลังใจด้วยนะคะ
แต่สัปดาห์นี้ก็ยังไม่มีเรื่องของอิเหนาและตากาล็อคมาให้อ่านนะคะ เพราะเห็นว่าสถานการณ์ข้าวยากหมากแพงกำลังวิกฤตในโลกเรา มีหลายประเทศที่ประสบปัญหาข้าวขึ้นราคาและขาดแคลนข้าว อย่างเร็วๆ นี้ฟิลิปปินส์แดนตากาล็อคก็มีข้าวว่า รัฐบาลต้องหาข้าวราคาถูกให้กับคนยากจนในประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่นักหากสื่อไม่เอามาพูดก็จะไม่มีใครทราบว่า ความจริงแล้วที่ฟิลิปปินส์ในพื้นที่ที่ห่างไกล ซึ่งอยู่แถบเกาะทางใต้เคยเกิดสงครามแย่งชิงอาหารมาก่อนหน้านี้แล้ว และชาวฟิลิปปินส์ก็เผชิญปัญหาค่าครองชีพแพงมานานแล้ว ไม่เช่นนั้นแรงงานฟิลิปปินส์ไม่ไหลบ่าไปขายแรงงานต่างประเทศแน่นอน
แต่วันนี้ขอเสนอเรื่องราวของพม่า ที่ผู้เขียนได้ยินได้ฟังมา เพราะสถานการณ์จะคล้ายๆ กัน ประชาชนชั้นล่างของพม่ากินไม่อิ่มท้องมานานแล้ว ก็อาศัยสถานการณ์ที่พวกเรากำลังตื่นยุคข้าวยาก น้ำมันแพง ของขึ้นราคามาเล่าเรื่องพม่าให้ฟังค่ะ ขอบคุณที่ยังเปิดอ่านอยู่นะคะ
ฉันพบชายชราที่บ้านของลูกสาวเขา ซึ่งอาจจะเรียกว่าบ้านเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะหน้าที่ใช้สอยหลักคือ เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กน้อยชาวพม่า ที่พ่อแม่อพยพมาขายแรงงานในจังหวัดระนอง ลูกสาวของเขาอาศัยพื้นที่บางส่วนที่อยู่ด้านหลังของโรงเรียน เป็นห้องพักซึ่งมีสองห้อง ที่สมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่มานาน 3 ปี หลังจากที่สามีของเธอเปลี่ยนสถานะจากคนสวนของรีสอร์ทแห่งหนึ่งในระนองมาเป็นครูและผู้ดูแลโรงเรียนแห่งนี้ เขาเรียนมาทางด้านเศรษฐกิจในระดับมหาวิทยาลัย แต่ไม่จบเพราะสถานการณ์ทางการเมืองเมื่อปี 1988 ทำให้รัฐบาลพม่าปิดมหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างไม่มีกำหนด และการปราบปรามที่โหดร้ายของทหารพม่า ทำให้เขาต้องหนีภัยมาขายแรงงานในประเทศไทย
ชายชราก้าวย่างช้าๆ ลงจากรถกะบะ เดินผ่านพวกเราที่กำลังนั่งประชุมอย่างเผ็ดร้อนอยู่ในห้องโถงของโรงเรียน เขาเดินไปนั่งหน้าห้องพักของลูกสาว หญิงร่างท้วมวัยกลางคนและชายร่างผอมที่มากับเขา เดินตามไปนั่งบนพื้นข้างๆ เก้าอี้ของเขา เด็กสาวสองคน และเด็กหนุ่มซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่นตรงรี่เข้าไปสวมกอดและนั่งลงบนพื้นห้องเริ่มต้นสนทนากับชายชรา พวกเราที่นั่งประชุมหลายคนพักการถกเถียงตรงไปยังชายชรา และเข้าร่วมวงสนทนา ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังชายชราผู้เพิ่งมาเยือนอย่างใจจดจ่อ ฉันไม่เข้าใจภาษาพม่า แต่ก็พอจะเดาอารมณ์แห่งการพบปะนั้นรื่นรมย์อยู่ไม่น้อย
ฉันมาทราบภายหลังว่า ชายชราเพิ่งเดินทางมาจากร่างกุ้งพร้อมกับลูกสาวและลูกชาย ด้วยเงินจากน้ำพักน้ำแรงของลูกสาวที่มาเป็นแรงงานในประเทศไทยส่งเงินค่าเครื่องบินไปให้ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ง่ายขึ้นเพราะเขามีพาสปอร์ตเนื่องจากเคยเป็นข้าราชการในสายงานทหารช่างของกองทัพพม่า เพื่อมาเยี่ยมเยียนลูกสาวและครอบครัว เป็นการเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกในชีวิตของเขา อาจจะเป็นการเดินทางมาชั่วคราวหรือพักยาวตลอดไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองของพม่าว่า จะทำให้คุณภาพชีวิตของชาวพม่าดีขึ้นได้หรือไม่
วันรุ่งขึ้น ฉันได้รับเชิญจากครอบครัว เข้าร่วมวงอาหารเย็นด้วยกันเพื่อต้อนรับสมาชิกอาวุโส ทั้งที่เข้าสู่วัย 85 ปี แต่ชายชรายังคงแข็งแรง ประสิทธิภาพการได้ยินยังดีอยู่มาก สายตายังคงแจ่มชัด เดินเหินอย่างแข็งแรงไม่ต้องมีใครต้องคอยประคอง ฉันรู้สึกอบอุ่นด้วยสัมผัสถึงประสบการณ์ที่มีมนต์ขลังของคนสูงวัย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันในคนทุกชาติ ความอ่อนโยน เมตตา อารมณ์ที่มั่นคงสงบเย็น และประสบการณ์ชีวิตที่เชี่ยวกาจ เขาเริ่มต้นด้วยคำต้อนรับอย่างอบอุ่น (ผ่านล่าม-หลานสาววัยรุ่นที่โตและเรียนหนังสือไทย) เพื่อไม่ให้ฉันได้เคอะเขินและแปลกหน้าสำหรับสมาชิกในครอบครัว
เขาว่า ในทางพุทธศาสนาที่พม่ายึดถือกัน การที่คนเรามาพบกันอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่เขาอยู่ไกลถึงร่างกุ้งและฉันอยู่ที่นี่ ถือว่าเราทำบุญมาร่วมกันและเป็นญาติกัน ฉันอาจเป็นลูกหลานเขาเมื่อชาติก่อนๆ เป็นการทักทายที่อบอุ่นทำให้เราใกล้กันได้อย่างรวดเร็วขึ้น การสนทนาบนโต๊ะอาหารออกรสชาติด้วยหัวข้อความลำบากและขาดแคลนของประชาชนชาวพม่าระดับล่าง แต่บรรยากาศไม่เศร้าสร้อยกลับขบขัน ประชดประชัน และคับแค้นปะปนกันไป
เขาเกิดทันในช่วงยุคอาณานิคมอังกฤษและเปลี่ยนผ่านเป็นญี่ปุ่นเมื่อเข้าช่วงวัยรุ่นอายุเพียงสิบกว่าปี แต่จำได้ว่า อาหารการกินและเศรษฐกิจอุดมสมบูรณ์กว่าชีวิตหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพม่าเป็นเอกราชจากอาณานิคมมากนัก แต่ไม่ใช่หมายความว่า ชาวพม่าจะลืมความเจ็บปวดจากการกระทำและกดขี่ของอาณานิคมอังกฤษและญี่ปุ่น แต่มันเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่ลืมไปแล้วสำหรับชายชรา เหลือแต่เพียงช่วงเวลาที่ทุกข์ทนกับยุคเผด็จการทหาร ตั้งแต่เขาเป็นทหารช่างเล็กๆ เมื่อสี่สิบปีที่แล้วได้เงินเดือนเพียง 120 จั๊ด (1บาท ประมาณ 35 จั๊ด) เลี้ยงลูกๆ เจ็ดคน และไม่ได้รับสวัสดิการหรือการแจกจ่ายสิ่งของจากรัฐบาลเลยสักครั้งเดียว ต้องหารายได้พิเศษด้วยการเป็นช่างทำไฟให้กับเพื่อนบ้าน และเมื่อลูกๆ โตขึ้นก็ต้องช่วยเหลือกันทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้กับครอบครัว ลูกๆ เข้าเรียนหนังสือเพียงชั้นประถมเท่านั้น
ช่วงชีวิตนี้ที่มองว่าลำบากมากแล้ว แต่หลังปี 1988 ที่มีสงครามกลางเมือง นักศึกษาเดินขบวนปฏิวัติไล่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ชีวิตของประชากรพม่าลำบากมากขึ้นไปอีก ในระหว่างการปราบปรามนักศึกษาในช่วงเวลานั้น รัฐบาลพม่าได้มีนโยบายขยายเมือง เพื่อนบ้านและครอบครัวของเขาถูกรัฐบาลโยกย้ายให้ไปอยู่ที่นิคมใหม่ที่รัฐบาลสร้างไว้รองรับประชากร ซึ่งห่างจากที่อยู่เดิมมาก ต้องนั่งรถโดยสารเข้ามาทำงานในเมืองร่างกุ้งนานถึง 1 ชั่วโมง
เขานึกถึงเหตุการณ์ชีวิตครอบครัวของเขาและเพื่อนบ้านในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้นลำบากมากเพียงใด เขาพูดให้ฟังอย่างขบขันกับช่วงนั้นที่รัฐบาลประกาศให้ประชาชนกินผักเยอะๆ จะได้สุขภาพดี แต่สภาพที่อยู่อาศัย ชาวบ้านไม่มีพื้นที่เพาะปลูก ไม่มีอะไรได้มาฟรี น้ำประปาไหลวันเว้นวัน ไฟฟ้าดับวันเว้นวันตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้จะผ่านมาเป็นเวลา 20 ปีแล้วก็ตาม ระบบสาธารณูปโภคก็ไม่ได้พัฒนาขึ้น แม้ว่าที่นิคมที่อยู่อาศัยจะเปลี่ยนแปลง มีโรงภาพยนตร์เข้ามา มีความเจริญทางวัตถุมากขึ้น แต่ชีวิตแร้นแค้นของเขาและเพื่อนบ้านกลับไม่ได้ลดลง ยิ่งหนักขึ้นไปอีก เพราะสินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพงขึ้น ขณะที่อัตราค่าจ้างและเงินเดือนต่ำ เขาเกษียณอายุแล้ว แต่ลูกๆ ของเขารับจ้างทั่วไปเลี้ยงปากท้องอีกหลายท้อง
เขาเผยว่าเป็นเวลา 8 ปีแล้วที่ครอบครัวของเขาหุงข้าวเพียงมื้อเดียวคือ มื้อเย็น หากข้าวเย็นเหลือไปถึงมื้อเช้าก็จะซื้อขนมจีนซึ่งราคาถูกกว่าข้าวสารมาคลุกปนกับข้าวและแบ่งกันกินเพื่อให้อยู่ได้ไปวันๆ ไม่เฉพาะคนรับจ้างเท่านั้น ชาวนาที่ปลูกข้าวต้องปันข้าวขายให้กับรัฐบาลในราคาถูกเพียงกิโลละ 900 จั๊ด ถ้าหากการเพาะปลูกไม่ได้ผล ชาวนาต้องไปซื้อข้าวสารจากตลาดนอก ซึ่งมีราคาแพงคือ 1,200 จั๊ดต่อกิโลมาขายให้กับรัฐบาลในราคา 900 จั๊ด ซึ่งก็จะทำให้ลำบากขึ้นมาสองเท่าตัว ทั้งต้องหาเงินไปซื้อข้าวมาทดแทนและได้ราคาต่ำ
ฉันถามเขาว่า บอกสื่อในพม่าได้ไหมถึงเรื่องราวที่เราลำบาก เขาหัวเราะกับคำถามที่ไร้เดียงสาก่อนตอบกลับมาว่า แค่ฟังวิทยุบีบีซี ก็ถูกทหารจับแล้วหากทหารทราบว่าใครฟังข้อมูลข่าวสารจากสื่อนอก และชาวพม่าทราบดีว่า หากใครพูดถึงสิ่งไม่ดีต่อรัฐบาลหรือพูดถึงการคอรัปชั่นของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ทุกคนต้องเดือดร้อน เช่น ลูกที่เรียนอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลอาจจะไม่ได้เรียนต่อไปอีก หรืออาจจะถูกจับเข้าคุก แม้แต่การนั่งจับกลุ่มกันหลายๆ คนเพื่อคุยกันทางการเมืองก็ไม่สามารถทำได้ หากคนของรัฐบาลทราบก็จะถูกจับ ..นี่คือ ภาพชีวิตหนึ่งของสังคมพม่าจากคำบอกเล่าของชายชรา
ในขณะที่โลกวิกฤตกับปัญหาข้าวราคาแพง ชายชราจากร่างกุ้งอยากจะบอกว่า ชาวพม่ากินข้าวไม่อิ่มท้องมานานนับสิบปีแล้ว ...โลกจ๋า