Skip to main content

อาการตบะแตกกับนักข่าว/คอลัมนิสต์ ของนายก ฯ สมัคร  สุนทรเวช เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นตกใจแต่อย่างใด  แต่บรรดานักข่าวและผู้อยู่ในแวดวงออกอาการตระหนกตกใจราวกับสาวแรกรุ่นที่กำลังจะโดนข่มขืนเป็นครั้งแรก โดยไม่ตระหนักเลยว่า ที่ผ่านมานักข่าว/คอลัมนิสต์ กระทำการข่มขืนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือในทางกลับกันก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่าข่มขืนหลายครั้ง

การคุกคามข่มขืนสื่อมวลชนในยุคเผด็จการทหารครองเมือง เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวกับปัจจุบัน สื่อบางแขนงชิงข่มขืนตัวเองเสียก่อนที่จะถูกเผด็จการทหารที่นำโดยพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลิน จัดการข่มขืน (เราควรย้ำถึงชื่อของพลเอกสนธิ  บุณยรัตนกลินในฐานะผู้ทำลายประชาธิปไตยให้บ่อย)

อำนาจจากปากกระบอกปืนภายใต้บรรยากาศรัฐประหาร แม้อาจไม่ขู่เข็ญกันตรง ๆ  แต่ก็ทำให้นักข่าว/คอลัมนิสต์ ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์หรือทำการเซ็นเซอร์ตัวเอง เคยมีสักครั้งไหมเล่าที่สื่อมวลชนอย่างเครือเนชั่น มติชน หรือไทยโพสต์ รวมตัวกันออกแถลงการณ์เพื่อประณามการแทรกแซงและคุกคามสื่อแบบเดียวกับที่ทำรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างรัฐบาลทักษิณ หรือรัฐบาลสมัคร (ช่างเป็นสื่อที่คงเส้นคงวาเสียจริงๆ)

จะว่าไป นายกฯ สมัคร  สุนทรเวช ตอบโต้นักข่าว/คอลัมนิสต์ เบาเกินไปด้วยซ้ำ   สื่อมวลชนเหล่านี้สมควรโดนด่าเยอะ ๆ ทั้งนี้เพราะว่าสื่อมวลชนของไทยยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะใช้เสรีภาพโดยปราศจากการถูกตรวจสอบหรือตั้งคำถาม เราไม่ควรปล่อยให้บรรดานักข่าว/คอลัมนิสต์ยกฐานันดรหรือสถาปนาบรรดาศักดิ์ให้ตัวเองลอยอยู่เหนือการตรวจสอบ

การที่นักข่าว/คอลัมนิสต์โดนด่าเยอะ ๆ จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดี เป็นตัวบ่งชี้ของความเป็นประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป  

หากลองปรายตามองไปที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ก็จะได้พบถึงความไร้วุฒิภาวะอย่างร้ายแรง การเขียนพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ไม่ต่างอะไรเลยจากใบปลิวหรือข่าวโคมลอยที่ซุบซิบกันปากต่อปาก-อันที่จริง ด้วยความหยาบคายเหลือรับ ผมไม่อ่านหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์มาหลายปีแล้ว แต่ที่เห็นข่าวพาดหัวก็เพราะพ่อค้านำหนังสือพิมพ์หลากยี่ห้อมาโชว์โดดเด่นที่ป้ายรถเมล์ตอนเช้า

“กลบไต๋ฟอกผิดลูกกรอกโยนสภาชำเรารธน./'ชัย'นั่งปธ.รัฐสภา” (8 พ.ค. 2551)
ชั่วครองเมือง'ธีรยุทธ'ตั้งฉายารบ.'ลูกกรอก1'นำสู่วัฏจักรวิบัติ (2 พ.ค. 2551)
พรรคร่วมขบถกังขารธน.จัญไรหมกเม็ด'ชท.'รับอาจไม่ร่วมลงชื่อ (29 เม.ย. 2551)
พรรคร่วมระส่ำแทงกั๊กชำเรารธน.'พปช. ฝืนยัดเข้าสภาสิ้นเมษา (23 เม.ย. 2551)

ไทยโพสต์ใช้คำว่า “ชำเรา” สำหรับการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลสมัคร และใช้คำว่า ”จัญไร” เรียกรัฐธรรมนูญที่กำลังจะแก้ ผมสงสัยความกล้าหาญของหนังสือพิมพ์นี้เสียจริงว่าเคยใช้คำแบบนี้กับการฉีกรัฐธรรมนูญของเผด็จการทหารบ้างหรือไม่ ?

แล้วเมื่อนำภาษาปากของนายก ฯ สมัคร สุนทรเวช มาเปรียบเทียบกับคำพาดหัวที่เป็นภาษาเขียนของไทยโพสต์อย่างคำว่า “จัญไร” “ชำเรา” “ฝืนยัด” “ชั่วครองเมือง” แล้วจะเห็นได้ถึงระดับความรุนแรงก้าวร้าวที่เทียบกันไม่ติด คำว่า “ชำเรา” กับ “ฝืนยัด” ให้ภาพของการกระทำทางเพศชัดเจนมาก สื่อดัดจริตที่หูหนวกตาบอดควรจะตระหนักถึงพิษภัยของสื่อด้วยกันเองก่อนที่จะออกแถลงการณ์บ้องตื้นปกป้องพวกเดียวกัน

ผมคิดว่าผมคงเข้าใจไม่ผิด หากจะบอกว่าหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์สนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกครั้ง

'กลิ่นคาวปฏิวัติ!'ผบ.สส.'ไม่รับประกัน หมออาวุโสชี้นองเลือด (7 พ.ค. 51)
จ่อ'รัฐประหาร'!ครป.ชี้เสี่ยงกว่า19กย.ศก.-รธน.-ฟอกทักษิณ (5 พ.ค. 2551)
ผู้ใหญ่สกัดวิกฤติ ผบ.ทร.เปิดแผนยุติโยงสถาบัน-ไม่รับประกันปฏิวัติ! (1 พ.ค. 2551)

การพาดหัวของไทยโพสต์แบบที่ผมยกมาให้เห็นข้างต้นเรียกได้ว่า “เลว” ไม่อาจตีความเป็นอื่นได้เลยนอกจากตีความว่าไทยโพสต์อยากให้ทหารทำการยึดอำนาจ ทำลายประชาธิปไตยของประชาชนอีกครั้ง อันที่จริงหากเคารพในวิชาชีพของตนเอง หนังสือพิมพ์ต้องต่อต้านยับยั้งการสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารด้วยซ้ำ โดยชี้ให้เห็นว่ามันเลวร้ายอย่างไร ไม่ใช่นิ่งเฉยกระทั่งสนับสนุนแบบที่ไทยโพสต์ทำ

หากไทยโพสต์ยังเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ดีที่สุด ในฐานะสื่อการพาดหัวแบบนี้ถือว่าผิดอย่างร้ายแรงเหมือนคนขาดวุฒิภาวะที่เอาแต่ใจตนเอง ในความรู้สึกนึกคิดมีแต่ทิฐิมานะ มีแต่ความโกรธเกลียดเคียดแค้นและพลอยทำให้คนอ่านไร้เหตุผลไปด้วย การยุยงส่งเสริมหรือสนับสนุนไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมให้เกิดรัฐประหารสมควรถูกประณามดัง ๆ

ไทยโพสต์อาจไม่ชอบอดีตฯ นายก ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ชอบ นายกฯ สมัคร สุนทรเวช แต่ก็มีวิธีการและช่องทางการแสดงออกมากมายในการวิพากษ์วิจารณ์ ในการตรวจสอบตั้งคำถามโดยไม่จำเป็นต้องชี้นำให้เกิดการล้มรัฐบาลโดยการรัฐประหาร ไทยโพสต์น่าจะตระหนักสักนิดว่าเป้าหมายของสื่อไม่ใช่การล้มรัฐบาลเพื่อให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้แล้วค่อยไปคิดกันข้างหน้าหรือด่าเพื่อความเมามันสะใจ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดการเรียนรู้อะไรขึ้นมาเลย

ไทยโพสต์กลายเป็นสื่อไร้เหตุผล ขาดความรับผิดชอบต่อข้อเขียนและขาดความเคารพในวิชาชีพของตัวเอง ไม่ต่างอะไรจากการปั้นน้ำเป็นตัวของสื่อในเครือผู้จัดการ

สิ่งที่เราทุกคนทำได้ก็คือเลิกเสพ เลิกซื้อมันเสีย  มันไม่เหมาะกับคนอย่างเรา

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ผมเฝ้ารอคอยดูผลสำเร็จ (หรือไม่สำเร็จ) ของนโยบาย "5 รั้ว" ซึ่งเป็นนโยบายทางด้านยาเสพติดของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด ทำให้ยาเสพติดลดลงได้จริงหรือไม่ "5 รั้ว" ที่ว่าคือ รั้วชายแดน รั้วชุมชน รั้วสังคม รั้วโรงเรียน และรั้วครอบครัว ทั้ง "5 รั้ว" จะช่วยเป็นเกราะป้องกันต้านทานการทะลักเข้ามาของยาเสพติด พร้อมไปกับการปราบปรามอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม
เมธัส บัวชุม
ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปแล้วว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีความสามารถในการทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ รายการเชื่อมั่นประเทศไทยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นมีแต่ถ้อยคำลวงโลกว่างเปล่า รัฐมนตรีทำงานแบบขอไปที เอาตัวรอดไปวัน ๆ ทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนกลายเป็นความเห็นอกเห็นใจง่าย ๆ และรับปากว่าจะดำเนินการ ทาสีให้พรรคพวกที่ทำผิดกฏหมายกลายเป็นบริสุทธิ์ นโยบายไม่มีอะไรใหญ่และไม่มีอะไรใหม่ ฯลฯ ขณะเดียวกันคนเสื้อแดงก็ฝ่อลง เหมือนหมดมุกจะเล่น เหมือนหมดทางจะไปต่อ เหมือนยอมรับสภาพ
เมธัส บัวชุม
บางครั้งผมถามตัวเองว่าทำไมรู้สึกแย่ถึงขั้นขยะแขยงทุกครั้งที่เห็นหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางจอโทรทัศน์ บางทีฝืนใจดูเพราะอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะพูดอะไรแต่ก็ต้องเปลี่ยนช่องทันทีที่ได้ฟังประโยคแรก เพราะเพียง "อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่" ผมได้คำตอบเบื้องต้นว่าเหตุที่ไม่ชอบนายกรัฐมนตรีคนนี้อย่างรุนแรงนั้นมีหลายสาเหตุ เป็นต้นว่าการไม่เป็นสุภาพบุรุษ (แพ้ก็ไม่ยอมรับว่าแพ้) ชอบเล่นนอกกติกา (บอยคอตเลือกตั้ง) ขาดความเป็นผู้นำ (ตัดสินใจอะไรไม่ได้) พูดจ้าอ้อมค้อมวกวน (ตอบไม่ได้เรื่องหนีทหาร) เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น (โทษคนอื่นตลอด) ทำหน้าซึ้งๆ เศร้าๆ (คิดว่าตนเองเป็นนางเอก) ท่าดีทีเหลว (…
เมธัส บัวชุม
หากให้ลองเอ่ยชื่อปัญญาชนที่เป็นเสาหลักของสังคมไทย แน่นอนต้องมี ส.ศิวรักษ์ รวมอยู่ด้วย จากผลงานมากมายและหลากหลายในอดีตคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธคุณูปการของ ส. ศิวรักษ์ ที่มีต่อสังคมไทยไปได้ ย้อนหลังไปก่อนการเมืองยุคทักษิณ ผมเฝ้าติดตามและชื่นชมผลงานของส.ศิวรักษ์อยู่ห่าง ๆ ชื่อของเขาในฐานะวิทยากรตามงานสัมมนาเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ต้องเข้าไปนั่งฟังทัศนะอันกล้าหาญแหลมคม อาจกล่าวได้ว่าเขาคือแรงดลใจและเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในการต่อสู้กับความ อยุติธรรม
เมธัส บัวชุม
การเมืองไร้หลักการหลังรัฐประหาร ปี 49 นำมาซึ่งเรื่องชวนหัว ขำ ฮา ตลกร้าย ตลกแต่หัวเราะไม่ออก ตลกจนอยากจะร้องไห้ ฯลฯ หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ในที่นี้อยากจะหยิบยกมาพูดคุยสัก 4 เรื่อง เรื่องแรก ไม่เป็นเหลือง การปลดคุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการคู่บุญของเครือมติชนด้วยข้อหาไม่เป็นกลางนั้นฮาครับ แต่หัวเราะไม่ออก การไม่เป็นกลางนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงนี่สิเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ (แต่คนเสื้อแดงหลายคนก็บอกว่าไม่เห็นคุณเสถียรจะเอียงข้างไปทางเสื้อแดงเลย) ในทางกลับกัน รายของ "นงนุช สิงหเดชะ" ซึ่งเขียนด่า (ใช้คำว่าด่า) คนเสื้อแดงและทักษิณมายาวนาน ด่าเอา…
เมธัส บัวชุม
  Iภาพที่ผู้ชายจิกหัวผู้หญิงเสื้อแดง แล้วลากถูลู่ถูกังไปกับถนนด้วยความอาฆาตมาดร้ายท่ามกลางการยืนดูเฉย ๆ ของทหาร นักข่าวและสาธาณชนนั้นน่าสะเทือนใจ ไม่ต่างอะไรกับการมุงดูผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในที่สาธารณะ นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้ว บางคนอาจจะลุ้นเอาใจช่วยฝ่ายชายอีกต่างหาก
เมธัส บัวชุม
คุณวีระ มุสิกะพงศ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์สู้รบ การประกาศมอบตัวอุปมาเหมือนแม่ทัพที่ทิ้งทัพกลางศึกด้วยเหตุที่ว่ากลัวไพร่พลและทหารแดงที่เข้าร่วมสงครามจะบาดเจ็บล้มตาย! -------------
เมธัส บัวชุม
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล  นักวิชาการขาประจำผู้ซึ่งเคยเสนอมาตรา 7 เช่น อธิการบดีธรรมศาสตร์ ให้ทัศนะในรายการหนึ่งทางโทรทัศน์ว่าการโฟนอินของทักษิณจะทำให้แนวร่วมเสื้อแดงบางส่วนหายไป จะเหลือก็แต่คนเสื้อแดงแท้ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านต่างจังหวัดเท่านั้นผมได้ฟังแล้วงง มันมี "เสื้อแดงแท้ ๆ" กับ "เสื้อแดงไม่แท้" ด้วยเหรอ ? แล้วคน "เสื้อแดงแท้ ๆ"  ในความหมายของนักวิชาการรายนี้หมายถึงใคร
เมธัส บัวชุม
ถือเป็นความคืบหน้าทางการเมืองอีกขั้น ที่ประชาชนแห่งกองทัพแดงสามารถ "ลาก" เอาประธานองคมนตรีออกมาชันสูตรกันในที่แจ้ง จับแก้ผ้าล่อนจ้อนต่อหน้าสาธารณชน เปลื้องเปลือยรอยตำหนิและแผลเป็นน่าเกลียดไม่เคยมียุคสมัยใดของการเมืองไทยที่ประธานองคมนตรี และองคมนตรีจะโดนเล่นงานขนาดนี้  แต่ปรากฏการณ์การณ์นี้มีที่มาที่ไป ประชาชนตระหนักชัดแล้วว่าทางเดินของระบอบประชาธิปไตยถูกขวางด้วยอำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาตลอด โดยที่ครั้งนี้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ โดดเข้ามาเล่นชัดเจน แม้จะเคยบอกว่า "ผมพอแล้ว" แต่ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้น "หากองคมนตรีมายุ่งการเมือง…
เมธัส บัวชุม
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลผ่านพ้นไปแล้วหลายวัน โพลล์บางสำนัก นักวิชาการบางราย สื่อบางเจ้า ทำการสำรวจประเมินความคิดเห็นของประชาชนต่อการอภิปรายครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผลจะออกมาเป็นบวกต่อรัฐบาล ทั้งที่ข้อมูลของคุณเฉลิม อยู่บำรุง นั้นถือเป็นข้อมูลลึกและน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง ผมติดตามการอภิปรายอยู่ห่างๆ หมายถึงดูบ้าง ไม่ได้ดูบ้าง สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้จากคำอธิบาย คำชี้แจงของรัฐบาลคือแทบทุกคนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเลย การให้เหตุผลเป็นแบบ "เอาสีข้างเข้าถู" "แก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ" หรือชี้แจงไม่ตรงกับสิ่งที่ฝ่ายค้านอภิปราย
เมธัส บัวชุม
เป้าหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรกับเป้าหมายของคนเสื้อแดงนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกันเสียทีเดียวหากแต่มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก หมายถึงว่ามีทั้งส่วนที่เหมือนกันและแตกต่างกัน แต่ก่อนจะพูดถึงส่วนที่เหมือนและต่างนั้นต้องทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นกันก่อนว่า คนเสื้อแดงมีหลายประเภท หลายเฉด คนเสื้อแดงมีตั้งแต่กลุ่มฮาร์ดคอร์แบบอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์, จักรภพ เพ็ญแข และสีแดงอ่อนๆ ประเภท "แดงสมานฉันท์" สีแดงมีหลายดีกรีคือมีทั้งพวกอนุรักษ์นิยมอ่อนๆ ,เสรีนิยม ไปจนถึงกลุ่มถอนราก ถอนโคน (radical)
เมธัส บัวชุม
ผมเคยดูวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ชื่อ "แฮมเมอร์" แสดงสดหลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ดูครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยอมรับว่าประทับใจมาก ครั้งต่อ ๆ มาก็ยังประทับใจ ทุกคนในวงตั้งใจเล่น ตั้งใจร้อง นักดนตรีหลายคนสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น เดี๋ยวขลุ่ย เดี๋ยวไวโอลิน ดูแล้วเพลิดเพลินนัก แตกต่างจากวงดนตรี "เพื่อชีวิต" ทั่ว  ๆ ไป แม้จะมีหนวดเครายาวรุงรัง แต่แฮมเมอร์ดูสะอาด ไม่มีลีลาหรือพิธีรีตองอะไรมาก ไม่ต้องเก๊กหน้าให้ดูเหมือนกับคนมีความคิดลึกซึ้งหรือดัดเสียงให้ฟังซึ้งเศร้าหรือด่านักการเมืองก่อนเข้าเพลง  วงดนตรีแฮมเมอร์เป็นอะไรที่น่าจดจำอย่างไรก็ตาม…