Skip to main content
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง

รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน


หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ เพื่อไม่ให้เสียแรง(พูด) ไปเปล่าๆ

ถึงจะมีโทลด์เวย์เกะกะสายตา ฉันยังมีโอกาสดูละครเมฆบนฟ้า วันดีคืนดีจะมีฝูงแมลงปอบินขึ้นไปอวดปีกใสๆ ถึงข้างหน้าต่างตึก

ริมถนนใหญ่มีคลองเล็กๆ ที่ตื้นเขินเพราะใบไม้ใบหญ้าและขยะอันประกอบไปด้วยถุงพลาสติก ขวด ห่อขนม และกล่องโฟม ถัดเข้ามาเป็นที่ลุ่มรกร้าง มีแอ่งน้ำขังกับดงหญ้าคาสูงท่วมเอว พุ่มกระถินขึ้นแซมกกธูปและกอผักบุ้งที่ใบใหญ่จนน่าตกใจ มีเถาตำลึงเลื้อยอยู่เป็นหย่อมๆ มองเห็นดอกสีขาวกับลูกสุกสีแดงอยู่ตรงนั้นตรงนี้

ในดงหญ้าคามีบ้านพักของคนงานก่อสร้างปลูกติดกันอยู่ประมาณ ๓-๔ หลัง

บ้านเหล่านั้นสร้างขึ้นง่ายๆ ด้วยโครงไม้ยูคา เสาบางท่อนปักอยู่ในแอ่งน้ำ หลังคามุงด้วยสังกะสีและแผ่นป้ายหาเสียง (ผลประโยชน์ที่ประชาชนหยิบฉวยได้ในฤดูเลือกตั้ง)

บางวันฉันเห็นคนงานหญิงเดินเก็บผักบุ้งกับยอดกระถิน มื้อเย็นของเขาคงมีน้ำพริก

หมาเร่ร่อนตัวหนึ่งเดินสะเปะสะปะมาอาศัยร่มเงาของบ้านคนงานก่อสร้าง มันเป็นหมาที่น่าจะผ่านการเป็นแม่มาหลายครั้งแล้ว ดูจากทรวดทรงที่ผอมแห้ง นมเหี่ยวยานยอบแยบแกว่งไปมาเวลาวิ่ง

บ้านกรรมกรไม่ได้มีอาหารมากพอให้มันอิ่มท้องทุกครั้งที่หิว แต่มีร่มเงาให้มันหลบแดดฝน ไม่มีเสียงไล่หรือการทำร้ายทุบตี มันจึงหยุดการเร่ร่อนไว้ที่เพิงสังกะสีริมถนนใหญ่ และถ้ามันคิดเป็น (ซึ่งฉันเชื่อว่าเป็น) มันคงดีใจที่จะได้เลิกเร่ร่อนเสียที

แต่มีบางอย่างที่มันยังไม่รู้

คนทำงานก่อสร้างไม่มีหลักแหล่งถาวร จบงานเก่าก็รื้อบ้านย้ายไปงานใหม่ ทำงานตรงไหน ก็สร้างบ้านตรงนั้น ระยะเวลาของการเป็นเจ้าของบ้าน นานเท่าที่งานเสร็จ

ชีวิตกรรมกร หลายช่วงจึงเป็นชีวิตเร่ร่อน

......................

หลายปีมาแล้ว ขณะที่ทำงานเป็นอาสาสมัครศูนย์เด็กเล็กลูกคนงานก่อสร้างในกรุงเทพมหานคร ฉันเคยเดินตามเด็กๆ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จากฝั่งสาทรไปคลองสาน ด้วยสะพานที่ตอนนั้นยังไม่เปิดให้รถวิ่ง สองฝั่งแม่น้ำมีบ้านพักคนงานอยู่กันหนาแน่นใกล้เคียงชุมชนแออัด

คนงานมาจากแทบทุกภาคของประเทศ บางคนย้ายมาจากงานเดิมด้วยกัน บางคนมาเจอกันงานเดียวแล้วจากกันไป บางคนมาพบรักและอยู่กินกันในบ้านพักมุงสังกะสี ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ยาวนานพอที่เด็กหลายๆ คนจะเกิดและเติบโตท่ามกลางกองอิฐ หิน ทราย เหล็ก และกระบะผสมปูน มีเครนและปั้นจั่นแขวนให้แหงนดูแทนพวงปลาตะเพียน

ครั้งนั้น เด็กๆ ลูกคนงานที่เร่ร่อนไปกับพ่อแม่ มักถูกตัดโอกาสเข้าโรงเรียน ด้วยเหตุผลที่ฉันคิดว่าไร้สาระสิ้นดี นั่นคือขาดหลักฐาน ไม่มีทะเบียนบ้านและใบเกิด เนื่องจากอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง เป็นเหตุผลสั้นๆ ที่สามารถปิดกั้นสิทธิเด็กไม่ให้ได้รับการศึกษา เหมือนคนไข้ที่หมอไม่ยอมรับรักษา เพียงเพราะว่าไม่มีเงินจ่าย

ช่วงชีวิตนิดน้อยของเด็กๆ ในศูนย์ฯ อาจทำได้เพียงแค่ท่อง ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก และรู้จักคำด่ามากกว่าการอ่านตัวสะกด

"อยากพาลูกเมียกลับบ้าน แต่ไม่รู้จะมีโอกาสอีกไหม" กรรมกรวัยใกล้ห้าสิบคนหนึ่งบอกฉัน เขามาจากสกลนคร

...................

เย็นวันหนึ่งที่เดินตามเด็กชายเล็กๆ ไปเยี่ยมบ้านของเขา หรือพูดให้ชัดคือเพิงยาวๆ มุงสังกะสีแล้วกั้นเป็นห้องแคบๆ สำหรับคนงาน หมาสีน้ำตาลตัวหนึ่ง วิ่งกระดิกหางเล็กๆ มาหา เด็กน้อยวิ่งเข้าไปอุ้มกอดมันอย่างสนิทสนมรักใคร่

"ไอ้ตาล ไอ้ตาล" เด็กน้อยหัวเราะชอบใจเมื่อหมาเลียแก้ม แล้วหันมาอวดว่า
"นี่ไง ไอ้ตาลของหนู"
ฉันมองความรักของเด็กกับหมาแล้วอดยิ้มไม่ได้  
"ย้ายบ้านไปอย่าลืมพามันไปด้วยนะ"
"ไปไหนเหรอ" เด็กน้อยถามด้วยท่าทางงุนงง แต่แม่ของเด็กที่กำลังให้ลูกคนเล็กดูดนมตอบฉันว่า
"โอ๊ย ลำพังคนยังไม่ค่อยจะพอกินเลยครู เรื่องอะไรจะหอบหมาไปด้วยล่ะ ไม่เอาหรอก"

ถึงไม่เข้าใจเรื่องย้าย แต่คงพอจับความได้เรื่องหมา เด็กรีบพูดว่า"ไม่เอา หนูจะเอาไอ้ตาล"
"มึงไม่ต้องเสือ_ เดี๋ยวกูได้ทิ้งมึงอีกคน" คนเป็นแม่เอ็ดลูก ตามด้วยถ้อยคำหยาบๆ ที่ออกอากาศไม่ได้อีกหลายคำ เด็กน้อยหน้าสลด แต่กอดหมาแน่นขึ้นจนมันครางหงิงๆ

ชีวิตที่ไม่มีหลักประกัน ทำให้บางคนพยายามตัดภาระให้เหลือน้อยที่สุด และบางครั้งก็จำต้องเลือกความอยู่รอดมากกว่ามนุษยธรรม

เมื่องานเสร็จ คนงานรื้อถอนที่พักไปจนหมด สถานที่ที่เคยเป็นบ้าน อาจกลายเป็นลานจอดรถ หรือสถานที่ส่วนบุคคล ที่แม้คนก่อสร้างก็คงไม่มีสิทธิ

ถึงตอนนั้น หมาจะถูกไล่ออกจากที่ที่มันอยู่มาตั้งแต่เกิด มันจะวิ่งวนหาบ้านและครอบครัว(ที่มันคิดว่าเป็น)ของมันอย่างตื่นตระหนก แล้วมันก็ต้องพยายามเอาชีวิตรอดต่อไปในเมืองใหญ่เพียงลำพัง กลายเป็นส่วนเกินของสังคมและต้องถูกจัดการทางใดทางหนึ่ง เพื่อลดปัญหา "หมาเร่ร่อนจรจัด" ที่ตัวมันเองไม่ได้ตั้งใจจะเป็น

ไม่ว่าหมาหรือคน ไม่มีใครอยากมีชีวิตที่ไร้บ้าน
แม่หมาในเพิงพักคนงาน ทำให้ฉันคิดถึงหมาสีน้ำตาลในแหล่งก่อสร้างเชิงสะพานสาทร

............................

แล้วเช้าวันหนึ่ง บ้านพักคนงานริมถนนใหญ่ก็หายไปหมด เหลือเพียงบางส่วนของเสาไม้ระเกะระกะและเศษสังกะสีผุๆ จมอยู่ในแอ่งน้ำ งานก่อสร้างคงจบลงแล้ว คนงานพร้อมครอบครัวและสัมภาระ อาจกำลังโดยสารรถบรรทุกหรือกระบะ เร่ร่อนไปยังที่ไหนสักแห่ง

ฉันถือถุงข้าวเดินหาแม่หมา อดมองไปทางถนนใหญ่ไม่ได้ ภาวนาในใจขออย่าให้เห็นร่างของมันกองอยู่ที่ใดที่หนึ่ง

"ไม่อยู่แล้ว มันไปกับพวกคนงานแล้ว" ใครคนหนึ่งบอกฉัน
"หมายความว่าไงคะ เขาพามันไปหรือมันวิ่งตามรถเขาไป" ฉันถามด้วยความกังวล    
"ได้ยินว่าคนงานเขาเอามันไปด้วย แหม มันมาอยู่กับเขาตั้งหลายเดือน เขาก็คงรักมันมั่งแหละ" ใครคนเดิมตอบ

ฉันรู้สึกโล่งใจ ภาวนาขอให้มันได้ติดตามคนงานกลุ่มนั้นไปจริงๆ แม้ไม่มีที่อยู่ถาวร แต่ขอให้มันได้รับความรักอย่างถาวร

เพราะหากว่าความรักเดินทางไปด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทุกหนแห่งคือบ้าน

........................

*เพลง Home ของธีร์ ไชยเดช

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…