Skip to main content

เมื่อวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บางเขน พนักงานธนาคารฯที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้ออกมายื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายนายจ้างสาระสำคัญโดยสรุปมีด้วยกัน 3 เรื่องหลักๆที่สำคัญได้แก่

          ประการแรก เรื่องโครงสร้างผลตอบแทนต่างของพนักงาน อาทิเช่น โครงสร้างอัตราเงินเดือน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินตอบแทนด้านอื่นๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน

          ประการที่สอง เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายต่างๆที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักคุณธรรมและความเหมาะสม

          ประการสุดท้าย เรื่องของอัตรากำลัง โดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้ช่วยพนักงาน (ลูกจ้างประจำ) ที่ควรจะให้สิทธิการบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานประจำ

          ประเด็นข้างต้นได้รับการตอบสนองจากฝ่ายนายจ้างไปแล้ว ส่วนการดำเนินการต่างๆก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่า ฝ่ายนายจ้างเองจะมีข้อสรุปและต่อรองเรื่องใดบ้างเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย”

            นานมากแล้วที่เราไม่ค่อยเห็นการต่อสู้ของสหภาพแรงงานต่างๆในประเทศเราอย่างเป็นจริงเป็นจัง ในสังคมปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่สหภาพแรงงานถูกลดบทบาทและล้มหายไปจากสังคมไม่เฉพาะในบ้านเราเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงสังคมโลกด้วย โลกแห่งเสรีนิยมใหม่ได้ทำการบดขยี้ขบวนการของแรงงานหรือสหภาพแรงงานไปแทบจะหมดสิ้น

            ภายใต้โลกแห่งเสรีนิยมใหม่ จุดมุ่งหมายของเจ้าของกิจการต่างๆคงหนีไม่พ้นการมุ่งสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้กับองค์กรหรือกล่าวง่ายๆคือ การสร้างกำไรให้ได้มากที่สุด ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เจ้าของกิจการต้องมีภาระมากขึ้นสิ่งนั้นก็ไม่ควรมีอยู่ภายใต้โลกแห่งเสรีนิยมใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นกรอบคิดดังกล่าวได้ค่อยๆซึมผ่านผู้คนทีละน้อย แม้แต่แรงงานหรือลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนในปัจจุบัน ก็พลอยเห็นดีไปกับการสร้างวาทะกรรมชวนเชื่อที่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาหันมาไม่เห็นด้วยกับการมีสหภาพแรงงานเกิดขึ้นเพราะมันทำให้องค์กรไม่สามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น

            ปัจจุบันมีหลักคิดที่น่าสนใจของเหล่าผู้บริหารองค์กรต่างที่พยายามจะบอกว่า “สหภาพแรงงานนั้นไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด หากองค์กรให้ในสิ่งที่เหมาะสม ฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องขับเคลื่อนเชิงรุกและให้ความช่วยเหลืออย่างสมเหตุสมผล” ซึ่งสิ่งนี้เป็นตัวสะท้อนอย่างดีว่าวิธีคิดแบบเสรีนิยมใหม่ได้ทำลายคุณค่าของสหภาพแรงงานไปจนหมดสิ้น

            สิ่งที่ต้องเข้าใจตามหลักวิธีคิดของสหภาพแรงงานก็คือว่า ฝ่ายที่เรียกตนเองว่า ทรัพยากรบุคคลหรืออย่างอื่น สิ่งที่แน่นอนคงกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่ต้องคอยดูแลสมาชิกในองค์กรโดยยึดระเบียบขององค์กรเป็นหลักซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเป็นตัวแทนของนายจ้างนั่นเอง คำถามก็คือว่า หากทรัพยากรบุคคลกระทำการสิ่งใดที่เห็นว่าสมควร แล้วมันสมควรอย่างไร สมควรตามความคิดของใคร สมควรในความคิดขององค์กรอาจจะไม่สมควรในความคิดของเหล่าสมาชิกขององค์กรทั้งหลายก็เป็นได้

            เมื่อความสมควรเป็นความสมควรแต่เพียงฝ่ายเดียวประเด็นสำคัญที่ต้องถามตามมาก็คือ แล้วอะไรคือจุดตรงกลางที่ทำให้ความสมควรนั้นไม่เป็นความสมควรแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นตัวแทนของสมาชิกจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันความสมควรให้เป็นไปในทางที่สมควรจริงๆ ดังนั้น “สหภาพแรงงาน” จึงประดุจดังตัวแทนของสมาชิกในองค์กรที่คอยประสานผลประโยชน์ของตัวเองกับตัวแทนนายจ้างเพื่อให้เป็นไปตามความสมควรของทั้งสองฝ่าย

            เมื่อผนวกเอาหลักคิดของเสรีนิยมที่พยายามกันสิ่งที่เป็นขวากหนามต่อระบบทุนนิยมออกไปเพราะมันทำให้เขาเหล่านั้นได้รับผลประโยชน์น้อยลง กับ หลักการมีสหภาพแรงงาน มาคิดร่วมกันจะเห็นได้ว่า แม้ว่าเจ้าของกิจการจะให้นโยบายมาสู่ทรัพยากรบุคคลและบอกว่า “นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด” แต่ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขผลประโยชน์เจ้าของกิจการเป็นหลัก ซึ่งสุดท้ายเมื่อเป็นนั้นการมองถึงผลประโยชน์ของเจ้าของกิจการก็ย่อมมีมากกว่ามองถึงคุณภาพชีวิตของสมาชิกองค์กรก็เป็นได้ สหภาพแรงงานจึงเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยฉุดดึงให้เจ้าของกิจการหันมามองถึงคุณภาพชีวิตของสมาชิกให้มากขึ้น

            สุดท้ายในตอนต้นได้กล่าวถึงสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หากลองมองดูว่า ถ้ากรณีนี้ไม่มีสหภาพแรงงานฯเป็นกำลังหลักข้อเรียกร้องต่างๆก็คงยากพอสมควรที่จะได้รับการตอบสนอง แลเห็นอย่างนี้แล้วก็น่าคิดว่าสหภาพแรงงงานมันควรที่จะมีอยู่หรือดับไปกันแน่ ? ทุกคนควรต้องหาคำตอบกันในเรื่องนี้.......

บล็อกของ เผ่า นวกุล

เผ่า นวกุล
เผ่า นวกุลnawakulbanrai@gmail.com 
เผ่า นวกุล
แม้ว่าการฆาตกรรมหมู่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ อย่างไรก็ดีน้อยมากที่ยุคโบราณจะมีการล้างบาง (wipe out) หรือ ขับไล่ประชาชนพลเมืองทั้งหมด ผู้ชนะต้องการปกครองประชาชน พวกเขาต้องการที่จะทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้ปกครองและเป็นทาสพวกเขา ไม่ได้ต้องการให้ประชาชนย้ายออกไปแต่อย่างใด
เผ่า นวกุล
 เผ่า นวกุล
เผ่า นวกุล
การทำให้เป็นประชาธิปไตยโดยอาศัยความรุนแรง ทำได้จริงหรือ?[1] Democratization of Violence[2]
เผ่า นวกุล
ถ่วงดุลผู้นำประชานิยมด้วยระบอบประชาธิปไตย เผ่า นวกุล 
เผ่า นวกุล
ความสนใจในความไม่สนใจทางการเมืองของชนชั้นกลาง(เมือง)
เผ่า นวกุล
  ในทางเศรษฐศาสตร์ถือว่าทรัพยากรเป็นของที่มีอยู่อย่างจำกัด แน่นอนว่าคำว่า “จำกัด” ก็หมายความเป็นนัยว่ามัน “มีน้อย” ไม่ใช่ปัญหาหาก “มีน้อย” แล้วความต้องการของมนุษย์มีน้อยไปด้วยเพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องมาแย่งชิงกัน แต่ประเด็นปัญหาที่สำคัญในโลกสมัยใหม่ที่จำนวนมนุษย์ในสังคมเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลส่งผลให้ความต้องการใช้ทรัพยากรมีมากมายตามไปด้วย แล้วจะทำอย่างไรเล่าหากต่างฝ่ายต่างหมายปองทรัพยากรชิ้นนั้นกันตาเป็นประกาย
เผ่า นวกุล
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในห้องเรียนนักศึกษาปริญญาตรี เราได้แลกเปลี่ยนกันในเรื่องของการปฏิรูปสังคม เศรษฐกิจ การเมืองไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอ
เผ่า นวกุล
“ เมื่อวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บางเขน พนักงานธนาคารฯที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้ออกมายื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายนายจ้างสาระสำคัญโดยสรุปมีด้วยกัน 3 เรื่องหลักๆที่สำคัญได้แก่
เผ่า นวกุล
คงเป็นข้อถกเถียงของสมาชิกรัฐสภาอันทรงเกียรติที่ร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ในประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ทางหนึ่งพยายามชี้ให้เห็นว่า สุดท้ายแล้วประชาธิปไตยนั้นต้องอิงแอบแนบชิดกับประชาชนโดยประชาชนจะเป็นผู้พิจารณาว่าผู้ใดที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภาควรมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่ก็มีเสียงคัดค้านจากฝ่ายตรงข้ามถึงประเด็นดังกล่าวว่า แล้วอะไรคือข้อต่างของสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นสภาสูงและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นสภาล่างหากทั้งคู่ต่างมาจากประชาชนกลุ่มเดียวกัน ถึงขนาดมีสมาชิกรัฐสภาบางท่านกล่าว่า ควรเลิกระบบสองสภามาเป็นระบบสภาเดียว ให้สิ้นเรื่องไป
เผ่า นวกุล
หากกล่าวถึงความรักคงต้องบอกว่าหลายคนมักมีนิยามต่างกันไป ความรักเปรียบเสมือนยาขม ความรักเปรียบเสมือนน้ำผึ้งชโลมจิตใจ หรือแม้แต่ในซีรีย์อภินิหารของจีนก็ยังมีการกล่าวถึงความรักในทำนอง
เผ่า นวกุล
ความรักมักเป็นสิ่งหอมหวานเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยหนุ่มสาวแรกแย้ม การประสบพบเจอกับใครซักคนโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เรารู้สึกในจิตใจได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็น คนนี้น่ารัก คนนี้น่าเกลียด คนนี้เป็นสิว คนนี้ตาเหล่ และคงมีอื่นๆอีกมามายเป็นแน่ และทั้งหลายทั้งปวงวัยรุ่นหนุ่มสาวก็คงเคยที่จะพบใครซักคนซึ่งเป็นเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันที่คุณถูกตาต้องใจเมื่อแรกเห็น หากจะกล่าวกันให้เข้าใจก็คือ นี่แหละคือ “รักแรกพบของฉัน”