แม้ว่าการฆาตกรรมหมู่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ อย่างไรก็ดีน้อยมากที่ยุคโบราณจะมีการล้างบาง (wipe out) หรือ ขับไล่ประชาชนพลเมืองทั้งหมด ผู้ชนะต้องการปกครองประชาชน พวกเขาต้องการที่จะทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้ปกครองและเป็นทาสพวกเขา ไม่ได้ต้องการให้ประชาชนย้ายออกไปแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามอาจมีความไม่เห็นด้วยโดยกล่าวว่าการกำจัดผู้ประชาชนโดยการฆาตกรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพอกันระหว่างยุคโบราณและสมัยใหม่ เช่น การทำลายล้างชาว Carthage ของนครรัฐกรีกและการทำลายล้างชาวโรมันของชาว Numantia และ Carthage โดย Roger W. Smith ยืนยันว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) ดำรงอยู่ตลอดช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ ไม่มียุคใดที่ผูกขาดการฆาตกรรมหมู่ ในยุคก่อนอาจจะมีความโหดร้ายทารุณกว่ายุคปัจจุบัน เช่น การทรมานต่อหน้าสาธารณะและการประหารชีวิต หรือในกรณีของเหล่าทหารยุคโบราณก็มีความโหดร้ายมากกว่าทหารในยุคปัจจุบัน การเฆี่ยนและการประหารชีวิตเป็นเรื่องปกติ Roger W. Smith ยืนยันว่า การฆาตกรรมไม่ใช่เรื่องที่ต่างจากยุคสมัยใหม่แต่สิ่งที่ต่างคือ การฆาตกรรมเพื่อกำจัดอัตลักษณ์ (cleansing identity) เป็นสิ่งที่เกิดในยุคสมัยใหม่
อย่างไรก็ตามอีกทางหนึ่ง ผู้ชนะที่มีเป้าหมายตั้งถิ่นฐานและทำการเกษตรในที่นั้นๆ มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจอันแรงกล้าในการย้ายถิ่นคนท้องถิ่นและอาจจะเข้าไปสัมพันธ์กับเรื่องการเนรเทศ (deportation) หรืออย่างแย่ที่สุดคือ การทำลายวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ (ethnocide) ในกรณีไม่มากที่จะเกิดกรณีการฆ่าล้างคนท้องถิ่น (local genocide) เช่น บางกรณีของการบุกรุกของชาวฮั่น มองโกล และ แองโกล-แซกซัน เป็นต้น หากการบุกรุกนี้เพื่อการปศุสัตว์อาจทำให้อัตราการตายของอาจจะสูงหากผู้ต้องการทำการปศุสัตว์ต้องการพื้นที่มากกว่าเกษตรกร ในบางกรณี เช่น ชัยชนะของ Visigothic ที่ the Garonne Valley ผู้บุกรุกอาจไม่ถูกมองเป็นผู้รุกรานแต่ถูกมองเป็นเพื่อนบ้านที่บางกรณีเป็นผู้ปกป้องดินแดนจากผู้บุกรุกด้วยซ้ำ
แต่อาจมีบางกรณี เช่น ยุคอัตติลาของฮั่น (Attila the Hun) ที่อาจจะแสดงให้เห็นถึงการทำลายล้าง ผู้ต่อต้านถูกตัดหัว ผู้หญิงถูกข่มขืนและหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยการขาดอาหารและเชื้อโรคนำมาซึ่งความตาย สำหรับอนารยชน (barbarian) พวกเขาต้องการประชาชนให้มาอยู่ภายใต้การปกครอง ให้มาทำงานและสร้างผลประโยชน์ให้แก่พวกเขา ถ้าเหล่าอนารยชนฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จำต้องทำงานต่างๆ ด้วยตัวของพวกเขาเอง อาจจะมีบางกรณีที่แย่จริงๆ คือ พวกเขาอาจจะฆ่าหรือเนรเทศผู้นำ/ประชาชนที่มีปัญหา แต่หากผู้นำนั้นสยบยอมพวกเขาก็ยอมรับ
อย่างไรก็ตาม เมืองในประวัติศาสตร์จำนวนมากมีความตึงเครียดเรื่องศาสนาและชาติพันธุ์จนนำไปสู่ความวุ่นวาย และในกรณีที่แย่ที่สุดอาจนำไปสู่การสังหารหมู่ (pogrom) ความรุนแรงเกิดขึ้นโดยตรงกับคนกลุ่มน้อยบ่อยครั้งเป็นผลมาจากความตึงเครียดและผลจากกลยุทธ์แบ่งแยกแล้วปกครองของผู้ปกครองซึ่งจะเห็นได้จากการโจมตีชาวยิวในยุคกลางของยุโรป เป็นต้น **ผู้เขียนต้องการนำเสนอเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ The Dark Side of Democracy: Explaining Ethnic Cleansing เท่านั้น
**ที่มาของรูป http://futrlaw.org/the-unrecognized-genocide/