Skip to main content

องค์ บรรจุน

"มอญร้องไห้" ร้องทำไม ร้องเพราะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ หรือญาติเสีย...?


ถูก...ญาติเสีย แต่ต้องระดับคนมีหลานเหลนแล้ว และเป็นที่เคารพรักของผู้คนเท่านั้น หากญาติที่เสียชีวิตอายุยังน้อย แม้จะเสียใจก็ร้องไห้กันไปตามมีตามเกิด ไม่มีการทำพิธีกรรมให้เป็นพิเศษแต่อย่างใด


มอญร้องไห้ เป็นมีพิธีกรรมของคนมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยรักของลูกหลาน ที่สำคัญเป็นการยกย่องและรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้ตายที่เคยทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต โดยมากแล้วผู้ร้องจะเป็นหญิงสูงอายุและเป็นเครือญาติกับผู้ตาย เนื้อหาที่ร้องพรรณนาออกมานั้นจะได้ออกมาจากใจ เพราะเคยสัมผัสคลุกคลีมาก่อนเมื่อตอนยังมีลมหายใจ โดยผู้ร้องจะร้องเป็นภาษามอญ และต้องใช้ปฏิภาณกวี คิดคำรำพันคล้องจองให้สัมผัสลงตามทำนองดั้งเดิม เนื้อหาที่ร้องนั้นจึงไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตายเป็นใคร เคยประกอบคุณงามความดีอะไรเอาไว้บ้าง รูปแบบมอญร้องไห้ของแท้นั้นเรียบง่าย แต่กินใจ ได้เนื้อความเฉพาะผู้ตายเป็นรายๆ ไป ต่างจากมอญร้องไห้ของกรมศิลป์ที่ประยุกต์เสียใหม่ รูปแบบหรูหราอลังการ สะเทือนอารมณ์รุนแรง (ออกแนวผู้ดีเสียของรักอยู่สักหน่อย) ทว่าติดกับดัก "มาตรฐาน" จะฟังกี่งานๆ เนื้อหาก็เหมือนกันเป๊ะ


ประวัติความเป็นมาของมอญร้องไห้นั้นมีผู้กล่าวไว้หลายแห่ง เช่น เสถียรโกเศศ กล่าวถึงใน ประเพณีที่เกี่ยวกับชีวิต ตอนที่เกี่ยวกับความตายไว้ว่า ต้นเหตุมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ทรงปาฏิหารย์ให้พระบาททะลุออกมานอกโลง เพื่อให้พระมหากัสสป ศิษย์เอก เคารพบูชา ฝ่ายพุทธบริษัทที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ผลต่างร้องไห้กันระงม จึงเป็นประเพณีสืบต่อมา


บ้างก็ว่าเป็นการสืบเนื่องมาจากนางมัลลิกาที่กรรแสงคร่ำครวญ ต่อพระบรมศพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวมอญนั้นนับถือพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด จึงได้ยึดถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบต่อกันมาสำหรับกระทำต่อภิกษุสงฆ์จนถึงฆราวาสที่มีผู้เคารพนพไหว้



มอญร้องไห้ สดุดีเทิดพระเกียรติ งานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
เมื่อ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๗ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง


ที่มาอีกประการคือเป็นเรื่องกุศโลบายในการสงครามสมัยพระเจ้าราชาธิราช กษัตริย์มอญผู้ขับเคี่ยวกับกษัตริย์พม่าในอดีต สืบเนื่องจาก พระยาเกียรติ บุตรของพระเจ้าราชาธิราช ถูกกองทัพพม่าเข้าล้อมเมืองโดยไม่รู้ตัว กำลังทหารรักษาเมืองก็น้อยไม่สามารถสู้รบกับทหารพม่าที่มีกำลังมากกว่าได้ พยายามส่งข่าวไปให้พระราชบิดามาช่วยก็ไม่สามารถส่งสาส์นเล็ดลอดไปได้ ทว่ามีทหารชื่อ สมิงอายมนทยา อาสาออกไปส่งข่าวด้วยการนำอุบาย "นอนตาย" ไปบนแพหยวกกล้วย โดยใช้น้ำผึ้งทาตามตัว ข้างกายมีหม้อปลาเน่า ส่งกลิ่นเหม็น และมีแมลงวันตอมเหมือนตายจริงๆ ขณะเดียวกันในระหว่างที่เดินออกมาก็ให้หญิงสาวโกนหัวเดินร้องไห้โหยหวน พลางรำพึงรำพันถึงคุณงามความดีของสามีที่นอนตายบนแพหยวกกล้วยนั้น ฝ่ายทหารพม่าไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นกลลวง ปล่อยให้ขบวนศพผ่านไป จนสามารถนำทัพหลวงมาช่วยได้สำเร็จ จึงเกิดเป็นประเพณี "มอญร้องไห้" ไว้อาลัยสืบต่อจากนั้นมา


มอญร้องไห้แบบดั้งเดิมของมอญนั้น นิยมทำกันในช่วงดึกสงัดระหว่างการตั้งศพบำเพ็ญกุศลและช่วงก่อนรุ่งสาง อีกช่วงก็คือหลังชักศพขึ้นกองฟอนหรือเมรุเตรียมฌาปนกิจ การร้องไห้นี้เป็นการร้องที่ไม่มีน้ำตา ได้แต่พรรณนาคุณความดีของผู้ตาย พลางสะอื้นน้อยๆ เป็นระยะ มิได้ฟูมฟายตีอกชกหัว อย่างที่คนยุคหลังนำมาดัดแปลง บางแห่งเป็นสาวประเภทสอง แต่งกายเป็นสาวมอญ ร้องไห้พลางกลิ้งตัวลงมาจากเมรุชั้นสูงสุด เพื่อเรียกอารมณ์สะเทือนใจจากแขกที่มาร่วมงาน และสิ่งที่ไม่น่าดูอย่างยิ่งก็คือ เมื่อผ้าผ่อนท่อนสไบของหล่อนเปิดเปิง (หากเป็นหญิงยังน่าอภิรมณ์)


เดิมนั้นหากผู้ตายมีฐานะดี ลูกหลานมักหาปี่พาทย์มอญมาบรรเลง และให้ญาติผู้หญิงที่มีความสามารถร้อง "มอญร้องไห้" ประกอบ พรรณนาคุณงามความดีของผู้ตายด้วยความอาลัยถึง ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีเครื่องขยายเสียงนั้น โดยเฉพาะในช่วงรุ่งสาง บรรยากาศเงียบสนิท เสียงร้องนั้นโหยหวล พลอยทำให้ผู้ที่ได้ยินที่แม้ไม่ใช่ญาติก็อดสะเทือนใจจนร้องไห้ตามไม่ได้


ธรรมเนียม "มอญร้องไห้" ได้มีอิทธิพลแพร่เข้าไปยังราชสำนักไทย จะต้องมีนางร้องไห้ทุกครั้งที่สูญเสียบุคคลในราชตระกูล ธรรมเนียมนางร้องไห้ในวังนี้คาดว่ามีมาแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ มาเลิกไปสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ไม่ทรงโปรดฯ ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ ไม่จริงใจ ร้องไปคนตายก็ไม่ฟื้นขึ้นมาได้ จึงรับสั่งให้เลิกไป แต่ในชั้นหลังในหมู่สามัญชนทั่วไปโดยเฉพาะชาวมอญยังคงรักษาประเพณีนี้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง


มาระยะหลังครูเพลงไทยเดิมของกรมศิลป์ได้ประยุกต์มอญร้องไห้ ใส่บทร้อง และบรรเลงด้วยวงปี่พาทย์มอญ เรียกกันว่า แบบตลาด ส่วนเนื้อเพลงนำมาจากเรื่อง "ราชาธิราช" ตอนสมิงพระรามหนีเมีย ขอเล่าเท้าความเกี่ยวกับเรื่อง ราชาธิราช ให้ฟังพอเป็นสังเขป ดังนี้คือ ราชาธิราช เป็นวรรณคดีไทยที่แปลมาจากพงศาวดารมอญ เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการทำสงครามระหว่างพม่ากับมอญ กรมศิลปากรนิยมนำมาแสดงเป็นละครพันทาง


ทีนี้มาเข้าเรื่องสมิงพระราม ทหารเอกของพระเจ้าราชาธิราช ถูกพม่าจับไปเป็นเชลยศึกที่กรุงอังวะ ขณะนั้นกรุงอังวะมีศึกติดพันกับพระเจ้ากรุงจีน ได้มีพระราชสาส์นมาท้าพนันให้หาทหารมือดีรำเพลงทวนต่อสู้กันตัวต่อตัว ถ้าฝ่ายอังวะแพ้ จะถูกริบเมือง แต่ถ้าฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนแพ้ก็จะยอมถอยทัพกลับไป


เมื่อสมิงพระราม ทราบเรื่องจึงอาสาออกรบ โดยมีจุดประสงค์เพื่อกันศึกไม่ให้ลุกลามไปถึงกรุงหงสาวดี หลังจากที่สมิงพระรามมีชัยชนะ สามารถฆ่า กามะนี ทหารของพระเจ้ากรุงจีนลงได้ พระเจ้ากรุงอังวะได้พระราชทานธิดาให้อภิเษกสมรส สมิงพระรามจำใจรับด้วยเกรงจะเสียสัตย์ แต่ขอพระราชทานคำสัญญาไว้ ๒ ข้อ คือ

๑. ห้ามใครก็แล้วแต่เรียกตนว่า เชลย

๒. ถ้าเกิดสงครามระหว่างกรุงหงสาวดีกับกรุงอังวะ ตนขอไม่สู้รบด้วย เพราะทั้งสองฝ่ายล้วนมีพระคุณกับตน


ต่อมาธิดาพระเจ้ากรุงอังวะ ให้กำเนิดพระโอรสองค์หนึ่ง มีความซุกซนประสาเด็ก พระเจ้ากรุงอังวะรักและหลงมาก วันหนึ่งขณะที่นั่งอยู่บนพระเพลาเสด็จตา นัดดาองค์น้อยก็ลุกขึ้นปีนป่ายขึ้นที่สูง พระเจ้ากรุงอังวะหันมาเห็นก็หลุดปากว่า "ลูกอ้ายเชลยนี้กล้าหาญนัก นานไปเห็นจะองอาจแทนมังรายกะยอชวาได้..." สมิงพระรามได้ยินเข้าจึงน้อยใจ และคิดหนีกลับเมืองมอญ ก่อนกลับได้เข้าไปดูหน้าลูกเมียเป็นครั้งสุดท้าย เขียนจดหมายสอดไว้ใต้หมอน เนื้อหาในจดหมายก็เป็นดังที่ได้ยินได้ฟังกันโดยทั่วไป ผู้ที่ร้องเพลงนี้เอาไว้เป็นท่านแรก คือ ครูเหนี่ยว ดุริยพันธ์ ถือเป็นแม่แบบของเพลงมอญร้องไห้มาจนปัจจุบัน เนื้อความมีดังนี้ คือ


     "หยิบกระดาษวาดอักษรชะอ้อนสั่ง        น้ำตาหลั่งไหลหยดรดอักษร

แล้วสอดไว้ใต้เขนยที่นางนอน                   พิศพักตร์ทอดถอนหฤทัย
    
ค่อยตระโบมโลมลูบจูบสั่งลา                นางจะรู้กายาก็หาไม่

หักจิตออกนอกห้องทันใด                         ขึ้นม้าควบหนีไปมิได้ช้า..."

 

 

มอญร้องไห้ สดุดีเทิดพระเกียรติ งานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง

 

ปัจจุบัน มอญร้องไห้ที่คนทั่วไปรู้จักก็คือ มอญร้องไห้แบบกรมศิลปากร ร้องไปก็สะอื้นไห้เสียจนปากเบี้ยว ยิ่งแบบที่สาวประเภทสองนำมาดัดแปลงออกรับงานแสดงตามงานวัดด้วยแล้ว ตีอกชกหัว หกคะเมนตีลังกา แหกปากฟูมฟาย ได้ชมได้ฟังครั้งใดสะเทือนอารมณ์จนสุดจะบรรยาย แต่ขอโทษ แบบนั้นมอญผู้ดีเขาไม่ทำกัน ของแท้เขาต้องนิ่งแสดงออกแต่พองาม เศร้าน่ะเศร้าอยู่หรอก ก็ญาติตายทั้งคน แต่มันก็ควรเก็บอาการ ต้อง "แอ๊บ" กันบ้าง น้ำตาคลอน้อยๆ สะอื้นในคอหน่อยๆ หากดัดจริตมากเสียจนน้ำตาท่วมเบ้า เสลดพันคอ ร้องไม่เป็นภาษา ดูหน้าหรือทั้งแป้งพอกหน้าสีป้ายเปลือกตาละลาย คนมางานศพคงตกใจนึกว่าคนที่นอนในโลงออกมานั่งร้องเสียเอง


บล็อกของ องค์ บรรจุน

องค์ บรรจุน
คนส่วนใหญ่รับรู้ว่าวัดชนะสงครามเป็นวัดมอญ ใช่ว่าคนสนใจประวัติศาสตร์จึงได้รู้ความเป็นมาของวัด แต่เป็นเพราะหน้าวัดมีป้ายโลหะสีน้ำตาลที่ทางการชอบปักไว้หน้าสถานที่ท่องเที่ยว ความระบุประวัติไว้ว่าวัดนี้เป็นวัดของพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ (มอญ) แต่ก็ไม่แน่ใจนัก คนสมัยนี้อาจเข้าใจว่ามอญเป็นชื่อต้นไม้จำพวกเห็ดราปรสิตชนิดหนึ่งก็ได้
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน   การสื่อสารระหว่างมนุษย์ด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ฝ่ายหนึ่งรับรู้ความหมายจากอีกฝ่ายหนึ่ง และเกิดการตอบสนอง นับแต่โบราณกาลมีตั้งแต่การสุมไฟให้เกิดควัน นกพิราบสื่อสาร ปัจจุบันการสื่อสารมีหลายวิธีรวดเร็วทันใจมากขึ้น อาจเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม ระบบโทรคมนาคม หรือการสื่อสารระบบเครือข่ายที่อาศัยดาวเทียมและสายเคเบิลใยแก้ว ที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ต ก็ได้ ส่วนภาษาที่มาพร้อมกับวิธีการสื่อสารเหล่านั้น เป็นเครื่องมือที่สำคัญซึ่งมีพัฒนาการไม่หยุดนิ่ง มีการหยิบยืมคำในภาษาอื่น เปลี่ยนรูปแบบและความหมายตลอดเวลา…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน   พิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยนั้นมีมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นจากการหาที่เก็บของเก่าก็ตาม แต่จากประสบการณ์ที่ว่านี้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังคิดทำพิพิธภัณฑ์ว่าจะใช้เก็บของเก่าหรือใช้เป็นสถานที่เรียนรู้ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนเริ่มเห็นคุณค่าท้องถิ่นของตน การตัดสินใจเกี่ยวกับท้องถิ่นจึงควรมาจากท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน     หญ้าขัดมอญ เป็นพืชล้มลุก ทรงพุ่มเตี้ย ตระกูลเดียวกับชบา ขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ต้องปลูกและดูแลรักษา คนในสังคมเมืองคงไม่คุ้นชื่อคุ้นต้นไม้ชนิดนี้ หลายคนเห็นเป็นวัชพืชอย่างหนึ่งที่ต้องกำจัด นอกจากบางคนที่ช่างสังเกตธรรมชาติรอบตัวก็อาจจะพบว่า หญ้าขัดมอญ เป็นไม้พุ่มเตี้ยแตกกิ่งก้านหนาแน่น ใบเล็กเรียวเขียวเข้ม ยิ่งเวลาออกดอก สีเหลืองอ่อนหวานพราวพรายรายเรียงอยู่ทั่วทุกช่อใบ ชวนมองไม่น้อย แถมมีประโยชน์ในครัวเรือนหลายอย่าง ทั้งด้านการใช้สอยและสรรพคุณทางสมุนไพร
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน บทสรุปย่อสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary) ของศูนย์พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร ในการนำการเสนอโครงการวิจัย ชุด "โครงการประเทศพม่าศึกษา" ชื่อหัวข้อวิจัย คือ "มโนทัศน์ทางการเมืองของรัฐพม่าบนพื้นที่สื่อรัฐบาลทหาร" ที่ผ่านการอนุมัติจากสกว.
องค์ บรรจุน
  องค์ บรรจุน ๗ กรกฏาคม ที่ผ่านมาเป็นวันอาสาฬหบูชา รุ่งขึ้นก็เป็นวันเข้าพรรษา วันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เมื่อมีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ผู้คนจึงออกต่างจังหวัดกันมาก ถนนช่วงนั้นจึงโล่งอย่างเทศกาลใหญ่ๆ ทุกครั้ง เปิดทีวีมีแต่ข่าวขบวนแห่เทียนเข้าพรรษากันทัวประเทศ ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ แปลกเท่าไหร่ยิ่งดี บางจังหวัดไม่เคยจัดก็สู้อุตส่าห์ซื้อช่างแกะเทียนค่าตัวแพงลิบมาจากอุบลราชธานี กลายเป็นว่าทุกวันนี้คนทำเทียนเข้าพรรษาเพื่อขายการท่องเที่ยว ไม่ได้ถวายให้พระใช้งานจริงขณะนั้นเวลา ๑๐.๓๐ น. ผมนั่งอยู่โคนต้นอโศกอินเดียภายในวัดชนะสงคราม ความคลุกคลีกับวัดวามานานจึงพาลห่างวัด…
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนบทความชิ้นนี้ไม่มีเจตนาตั้งชื่อเลียน "ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ" เพราะในภาพยนตร์นั้น เจ้าของกล้องกดชัตเตอร์ติดวิญญาณผีที่เขาขับรถชนและหนีไป ทว่าในที่สุดวิญญาณก็ตามทวงเอาชีวิต ซึ่งต่างจากบทความนี้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจาก เจ้าของกล้องถ่ายภาพนับร้อยที่กดชัตเตอร์ใส่ผีตนหนึ่ง คล้ายมหรสพที่นักการเมืองจัดให้ชาวบ้านในฤดูหาเสียง แต่ที่ร้ายก็คือ อำนาจของชัตเตอร์กลับสะกดให้ผีตกอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์อย่างที่ผีไม่สามารถเอาคืนได้
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุน แค่อ่านชื่อเรื่องหลายคนคงรู้จักคุ้นเคยกันดีว่านี่คือเนื้อเพลง “สยามเมืองยิ้ม” สำหรับคนที่เป็นคอลูกทุ่งยิ่งต้องรู้ว่า เพลงนี้ขับร้องโดยราชินีเพลงลูกทุ่งผู้ล่วงลับ พุ่มพวง ดวงจันทร์ ส่วนผู้ประพันธ์เนื้อเพลงเป็นครูเพลงคู่บุญของเธอ ลพ บุรีรัตน์ 
ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ในความเป็นชาติ รู้สึกทันทีว่าไพเราะกินใจ ซาบซึ้งไปกับบทเพลง ยิ่งฟังยิ่งเพราะ ขนาดที่เมื่อสิบกว่าปีก่อนเคยส่งเทปจัดรายการเพลงไปประกวดดีเจทางคลื่น “สไมล์เรดิโอ” ใช้เพลง “สยามเมืองยิ้ม” เป็นเพลงปิดรายการ ได้เข้ารอบแรกเสียด้วยแต่ตกรอบ ๒๐ คนสุดท้าย เพื่อนๆ ที่รอฟังและตามลุ้นพูดเหมือนกันว่า “สมควรแล้ว…
องค์ บรรจุน
  องค์ บรรจุน คนทั่วไปสับสนเกี่ยวกับลักษณะสายพันธุ์และชื่อเรียกของ "กระเจี๊ยบ" ว่าเป็นอย่างไรและเรียกว่าอะไรกันแน่ จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงที่มาและคุณค่ามากมายมหาศาลของกระเจี๊ยบบ้านมอญในชนบทหลายแห่งเคยมีต้นกระเจี๊ยบริมรั้ว ริมคลองหนองบึง สำรับกับข้าวเคยมีแกงกระเจี๊ยบไม่ขาด แต่ทุกวันนี้ "กระเจี๊ยบ" เริ่มเลือนหายไปจากชีวิต ชนิดที่ไม่มีใครอาลัยอาวรณ์นัก แม้แต่จะนึกถึงความหลังที่แกงกระเจี๊ยบเคยอยู่คู่ครัวมาแต่อ้อนแต่ออก
องค์ บรรจุน
องค์ บรรจุนหลายปีก่อนผู้เขียนเคยนั่งตากลม น้ำลายบูด หันซ้ายทีขวาที อยู่กลางวงสนทนาของผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมานุษยวิทยา ในวงนั้นมี รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม อยู่ด้วย ท่านพูดถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในเมืองไทยไว้ประมาณว่า สังคมไทยหลอมรวมมาจากผู้คนและวัฒนธรรมของคนหลายกลุ่ม ความเป็นไทยแท้นั้นจึงเป็นเรื่องโกหก โดยเฉพาะคนไทยที่ไม่มีสายเลือดอื่นเจือปนนั้นไม่มีจริงในโลก ในวันนั้นผมได้ยินคำอาจารย์ศรีศักรชัดถ้อยชัดคำเต็มสองหูว่า "ที่ไหนมีคนไทยแท้ช่วยมาบอกที จะเหมารถไปถ่ายรูปคู่เก็บไว้เป็นที่ระลึก และจะกราบตีนงามๆ สักที อยากเห็นจริงๆ..."
องค์ บรรจุน
 องค์ บรรจุนธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ "ใครถึงเรือนชานต้องต้อนรับ" หัวเรื่องที่จั่วไว้ด้านบนบทความนี้ ถือเป็นคุณสมบัติอันน่าภาคภูมิของคนไทยอย่างหนึ่ง คนไทยทั้งผองเชื่อกันว่าคนไทยมีข้อดีงามหลายอย่าง เป็นต้นว่า โอบอ้อมอารีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริต ยิ้มสยาม หรือแม้แต่ "รักสามัคคี" และ "ไทยนี้รักสงบ..." ล้วนเป็นความดีเด่นประจำชนชาติไทยตามลัทธิอัตตานิยม "คนไทยดีที่สุดในโลก" ดังนั้นเมื่อหมอดูทำนายคนไทยหน้าไหนก็ตามว่าเป็นคนดีดังกล่าวข้างต้น จึงไม่มีใครปฏิเสธว่าหมอดูไม่แม่น
องค์ บรรจุน
ถุงผ้าไม่ได้ลดโลกร้อน เพราะการใช้ถุงผ้าตามกระแสโดยเข้าไม่ถึงหลักใหญ่ใจความ ขณะที่ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกยังคงเดิม คงไม่ต้องไปดูไหนไกลอื่น แค่เพียงเราสำรวจดูที่บ้านว่าเรามีถุงผ้าอยู่ในครอบครองกี่ใบ แต่ละวันที่เราออกไปทำธุระนอกบ้าน หรือเวลาที่ตั้งใจไปจ่ายตลาด มีใครสักกี่คนที่เอาถุงผ้าหรือตะกร้าติดตัวไปด้วย และในบรรดาคนที่เอาถุงผ้าหรือตะกร้าติดตัวไปด้วยนั้น จะมีใครบ้างไหมที่ปฏิเสธแม่ค้าว่าไม่เอาถุงพลาสติก โดยเฉพาะแม่ค้าในตลาดสด "ไม่ต้องใส่ถุงพลาสติกชั่งน้ำหนักแล้วเทลงถุงผ้าเลย" อย่างน้อยการซื้อแกงถุงกลับบ้าน นอกจากถุงร้อนที่ใส่แกงแล้ว ยังมีถุงหูหิ้วสวมทับอีก ๑ ใบด้วยหรือไม่