Skip to main content
 
 
ท้องทุ่งระบัดเขียวขึ้นในบัดดล
หลังเม็ดฝนทะลุรอยเมฆรั่วลงมาได้
เด็กน้อยติดปีกถลาลิ่วออกสู่ลาน
สวนทางกับฝูงนก
ที่ร่อนคว้างสู่ชายคาดั่งนักรบแตกพ่าย
ไม่ใช่สายฝนทำร้ายเจ้าใช่ไหม?
เปล่าเลย..สายฝนฉ่ำเย็นอยู่เช่นนั้น
กระสุนสังหารต่างหากซุ่มยิงเราหมายครองฟ้า
 
ดึกนั้นดอกหางนกยูงปลิดกลีบร่วง
มือใดหนอจักปิดดวงตาที่เบิกกว้าง
เธอโอบลูกน้อยเข้าแนบอกกลั้นข่มเสียงสะอื้นไว้ด้วยความแค้น
เสียงกบเขียดร้องเซ็งแซ่ข่าวความตาย
ส่วนความหมายของการดำรงชีวิตอยู่
กลับต้องกระซิบกระซาบเพียงแผ่วเบา
 
รุ่งเช้าทิวหญ้ารกพรืดขึ้นท่วมทุ่งนาและหมู่บ้าน
เหล่าคนแปลกหน้าต่างผวาตื่น
เจ้าของถิ่นยิ้มเคร่งขรึม
สายลมพัดพลิ้วบอกสัญญาณ
ทิวหญ้าไหวกรูกราวราวหมู่บ้านในความฝัน.
                                   
                                                                             
                                                                                
สังคม ศรีมหันต์
 
 

 

บล็อกของ กวีประชาไท

กวีประชาไท
ภาพโดย phu-chiangdao  เพราะบางวันฟ้ามิได้สีฟ้า           แผ่นดินบางหนหาใช่สีเขียว แม้สายรุ้งยังมิได้มีสีเดียว          หากแต่หม่นซีดเซียวอยู่บางวัน ช่วยมาเติมสีฟ้าให้ท้องฟ้า          เติมน้ำหยดลงธาราล่องความฝัน แต้มใบไม้ต้นไม้เป็นไพรวัล        เพิ่มสีรุ้งให้เฉิดฉันทั้งเจ็ดสีวาดทุ่งให้งามได้ตามใจ              …
กวีประชาไท
Photo by : phu - chiangdao
กวีประชาไท
By : aphs.worldnomads.com/lani/2261/raining.jpg แซกโซโฟนเอื้อนเอ่ยไม่เคยสนใจเมื่อวันวาน"ฉันจะดื่มวันพรุ่งด้วยค่ำคืนนี้ทั้งหมด"เสรีภาพยังอวดโฉมในโมงยามอันสุกสว่างทุกคนเทตัวเองออกจากตัวตนเป็นชีวิตละลายไปกับเสียงสรวลเสเฮฮาหลายจุดประสงค์หรือหลายความต้องการปรากฏลวดลายบนผืนผ้าเดียวกันบรรยากาศอบอวลถูกเขย่าดังเหล้าค็อกเทลบางคนต้องการดนตรีเป็นสิ่งประกอบแต่ฉันต้องการซึมซับกับดนตรีกีต้าร์แผดสนั่นผ่านตู้แอมป์ตะคอกคำรามไปยังแก้วทุกใบ"ฉันเห็นเงามืดแสร้งหลบไปที่ไหนสักแห่งฉันเห็นโลกทุกใบต่างซ่อนรอยร้าว"…
กวีประชาไท
อย่างช้าช้า…ฟองทะเลเขียวฟ้าจากค่ำเช้าค่อยม้วนตัว จากไกล จนใกล้เราพาและพรากหนักเบา วาดทรายนวล… อย่างช้าช้า…ตะวันทอสาดทิวาหอมหวนค่อยปรายแสงสะท้อนทะเลสะท้านอบอวลค่อยกลมค่อยอ้วนเข้าห่มทั่วผืนทราย… แหละชีวิตคงเช่นกันอย่างช้าช้า สามัญ คล้ายคล้ายอย่างตะวัน จันทร์ อย่างหาดทรายช้าช้าในวนว่ายหากนิรันดร์ จึงอีกนิดนะ, ชีวิตผ่านพบเจอรอถูกผิดล้วนจริง ฝันจึงอีกนิดนะ, คืน วันดี – บ้า, สารพันเถอะรับเรื่องราว… เพราะสุดท้ายก่อนท้ายสุดชีวิตย่อมสุข เศร้า วิกล วิกฤต ร้อน หนาวดั่งเกลียวคลื่น หนา บาง สั้น ยาว...และไม่นาน, ฟองพราวพรายก็ซบคืนสู่ทรายอย่างช้าช้า…   ฐากูร บุญสุวรรณ…
กวีประชาไท
By : http://www.bloggang.com/data/sweetcandy/picture/1138853657.jpg  (โคลงดั้นวิวิธมาลี) ไคลคราบศิลาขุ่นเศร้า           ไศลสงบ กลียุคก่นกลบ                      สมัยตื่น 'คมขลังควรคู่ อ-                  ธิฏฐานไหว้ อาลัยโลกร้างไร้                  …
กวีประชาไท
ประเทศนี้ เหมือนไม่ใช่ ของคนจนเหมือนฉันไม่ ใช่คนของ ประเทศนี้ประเทศนี้ เหมือนมีทรัพย์ เกินนับมีเหมือนฉันนี้ ไม่มีแม้ แต่ที่ยืน ... ประเทศนี้ มีแง่ง่า อัชฌาสัย...เหมือนน้ำใจ แผ่หยดไหว สายใยฟื้นประเทศนี้ มีความหวัง ทั้งวันคืนเหมือนเช้าชื่น สายหยุดเช้า เฝ้าจากจาง ฯลฯ ประเทศนี้ มีความงาม ตามทรรศนะเหมือนปัจเจก เฉพาะว่า ท่วงท่าข้างประเทศสื่อ แน่นิ่งยิ่ง แน่นอนทางเหมือนป่าวว้าง แน่นอนคือ ไม่แน่นอน... ประเทศนี้ มีความจริง ความดีหนา...เหมือนเมฆฟ้า มืดหมองหม่น ค้างค่นย้อนประเทศจำ ประเทศจาก ประเทศป้อนเหมือนลงกลอน ไร้หน้าต่าง ทั้งประตู ฯลฯ ประเทศนี้ มีผู้คน ที่น่ารักเหมือนบักเสี่ยว เหลียวแขมร์…
กวีประชาไท
   แดดสาดลงบนพุ่มบุหงาส่าหรีริมหน้าต่างเธอแต่งกระโปรงยาวทอลายดอกไม้สีน้ำเงิน เดินมาจับมือผมออกมาจากเก้าอี้เขียนหนังสือแล้วเพลงเต้นรำก็ดังกังวานเพลงของมาร์ค นอฟเลอร์ ชื่อ whoop de dooแหบเครือเสียงร้องเพลง บอกหนทางแคบทอดไปยังป่าสีดำผมโอบเอวเธอ คล้ายว่าเคยพบเธอที่ไหนแขนเธอลู่ลงข้างตัวเส้นผมเธอดำขลับยาวสลวยถึงสะเอวเส้นผมปลิวตามเสียงเพลงเธอมีกลิ่นดอกบุหงาส่าหรีเธอผิวขาว แต่ไม่มีใบหน้าเธอมีแต่ความเงียบ กับขอเท้ามีเสียงกระพรวนเหล็กผมจับเอวเธอเต้นไปรอบโต๊ะเขียนหนังสือบนพื้นปูนเซรามิกรูปดอกไม้เก่าๆเย็นเฉียบมือเธอนุ่มนวลแตะสีข้างผมเนื้อตัวเธอเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งเธอไม่ส่งเสียงใดๆ…
กวีประชาไท
 หากดอกไม้มีความหมายว่างาม             ดวงดาวที่วาววามคือความสุกใส ปีกผีเสื้อคือสีสันที่โบกไกว                   ยอดหญ้าคือความอ่อนไหวแห่งโลก สายน้ำคือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยง             หมู่นกขับเสียงกล่อมโศก ต้นไม้ต้านทานวิปโยค                       …
กวีประชาไท
เอาหัวใจฉันไปไว้ที่ไหนใครยึดไว้ ฤๅ ฉันเพียงฉงนไม่ชัดแจ้งแจ่มอารมณ์อันแปรปรนนึกเผยพ้นผุดผ่านม่านภวังค์ ฯลฯ ในเสี้ยวนึก ในหวั่น รำพันเผยระเรียดเหย หายเช้า แว่วเรือนหวังดั่งโลกเงียบ แว่วกังสดาลดังฟังนึกนี้อีกครั้งยามนั่งนอน ฯลฯ ลุกสัมผัสผืนร้าว ชีวิตร่ำดินเมืองแห้งลำนำกว่าผุดย้อนได้กินอยู่สืบถ่ายในนาครได้ถ่ายถอน ถือวาง รอยร่างไว้ ฯลฯ ในส่วนแห่งชีวิตเหนี่ยวชิดเกื้อข้างในหนั่นเลือดเนื้อละอองไหว ในน้ำค้างซึมซ่านละอองไอข้างในชื้นฉ่ำสายระรายยัง ฯลฯ แม้นหวังว้า หัวใจยังได้หวังอยู่คือยั้ง ภวังค์เกี่ยว ในเหนี่ยวรั้งรายนึกหรือ รอยผลึกแม้เกรอะกรังได้ทวนทั้ง เข็นฝ่าชีวาเชย ฯลฯ ข้างในแท้…
กวีประชาไท
เมื่อตะวันลาลับไปกับฟ้า           ในโลกหล้าเลื่อนลับคนหลับใหลเหล่าซากผีตีเกราะเสนาะใจ       มันมุ่งไปสูบเลือดจนเดือดดินผีโขมดโหดห่าพาผีปอบ            ผีเปรตชอบแลบเลียระริกลิ้นมีผีห่าผีโหดโคตรทมิฬ             ไม่สูญสิ้นอัปรีย์ผีนรก คันไถหักปักคันนาบ่าใส่แอก      ฝนเม็ดแรกร่วงหล่นก่นในอกรอยตีนเลียบเหยียบคันไถใจช้ำฟก ผีนรกรุมตะหวัดแย่งกัดกินหาบกระด้งคอนตะกร้าบนบ่าช้ำ  …
กวีประชาไท
    ลอยเคว้ง-เห่คว้างกลาง’เลลมเพลมพัด-พัดหวนระลอกสลับรับคลื่นครวญแห่-เห่กล่อมหวนคลื่นลมฯ
กวีประชาไท