Skip to main content
ในขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เริ่มต้นจากถนนวอลล์สตรีทในสหรัฐอเมริกากำลังลุกลามไปอย่างรวดเร็วราวกับลาวาภูเขาไฟไปสู่ทุกถนนของโลก ในภาคใต้ของประเทศไทยโดยหน่วยงานของรัฐและการนิคมอุตสาหกรรมก็กำลังดำเนินการให้มีแผนพัฒนาภาคใต้ด้วยโครงการต่าง ๆ มากมาย ทั้งโดยเปิดเผยและแอบแฝง


ตัวอย่างของโครงการเหล่านี้ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในจังหวัดนครศรีธรรมราช โครงการอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ จังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี โครงการขุดเจาะน้ำมันของบริษัทเซฟรอน ที่นครศรีธรรมราช ตลอดจนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึง 3 โรง นอกจากนี้ยังมีนิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดตรัง และท่าเทียบเรือน้ำลึกในจังหวัดสงขลาและอีกหลายจังหวัด เป็นต้น


ถ้ากล่าวโดยสั้น ๆ จะได้ว่า ภาคใต้กำลังจะถูกทำให้เป็นมาบตาพุดแห่งที่สองนั่นเอง


สิ่งที่รัฐบาลและสังคมไทยควรตั้งคำถามก็คือ ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งของโลกและของประเทศไทยในขณะนี้นั้น มันเป็นทิศทางที่ถูกต้องดีแล้วจริงหรือ เรามีทางเลือกอื่นในการพัฒนาอีกหรือไม่


ข่าวทีวีหลายช่องรายงานว่า คนอเมริกันเองได้ตั้งคำถามอย่างโกรธแค้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอไอจี (AIG- American International Group) ว่า ในขณะที่บริษัทขาดทุนจนรัฐบาลต้องนำเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศมาช่วยเหลือบริษัทนับล้านล้านบาท แต่บริษัทนี้ก็จ่ายโบนัสให้กับผู้บริหารนับหมื่นล้านบาท


เหตุผลที่เขานำมาอ้างก็คือ มันเป็นสัญญาที่ได้ทำไว้แล้ว การไม่รักษาสัญญาอาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบกฎหมายของประเทศได้


พูดถึงตรงนี้ก็ต้องวกมาที่กองทุน กบข. ของบ้านเรา ในขณะที่กิจการกำลังมีปัญหา กบข. ก็จ่ายโบนัสให้กับพนักงานถึงสองเดือนกว่า


แม้คุณจะอ้างว่าต้องทำตามสัญญา แต่สัญญาในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทำนองครองธรรมอย่างแน่นอน


มันเป็นเหตุผลเดียวกับที่หมาป่าใช้อ้างเพื่อที่จะกินลูกแกะในนิทานอีสบนั่นเอง


ผมเองเคยตั้งคำถามถึงความผิดปกติของระบบเศรษฐกิจโลกมานานแล้วว่า ถ้าโลกมีการซื้อขายนักฟุตบอลดัง ๆ ระดับโลกในราคาคนละนับหมื่นนับพันล้านบาท ในขณะที่เงินเดือนคนทำงานและคนใช้สมองทั่วไปยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ระบบเศรษฐกิจโลกเส็งเคร็งเช่นนี้ก็ไม่น่าจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน


ประเด็นหลักของบทความนี้ คือ ทำไมผู้มีอำนาจในขณะนี้ซึ่งได้แก่นักการเมือง ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนทั่วไปจึงไม่ตั้งคำถามกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย


บทเรียนจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ศาลปกครองจังหวัดระยองได้สั่งให้รัฐบาลประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้สอนอะไรเราบ้าง


จากรายงานการศึกษาที่สนับสนุนโดยหน่วยงานของรัฐบาลพบว่า ตลอดระยะเวลา 30 ปีภายใต้แผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออก ได้เปลี่ยนจังหวัดระยองจากที่เคยมีรายได้หลักจากการเกษตร อุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวอย่างสมดุล (เศรษฐกิจ 3 ขา) มาเป็นจังหวัดที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียวโดยมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรมถึง 80 % สาขาอื่น ๆ แทบจะไม่มีความหมาย


แต่แม้ว่าจังหวัดระยองจะมีรายได้ต่อหัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของคนจังหวัดนครปฐม (เศรษฐกิจ 3 ขา) ถึง 6 เท่า แต่คนระยองกลับมีครัวเรือนที่มีหนี้สิน มีสัดส่วนคนจน และมีอัตราการว่างงานมากกว่าจังหวัดนครปฐมเสียอีก


นี่ยังไม่ได้นับถึงปัญหาสังคมอื่น ๆ เช่น ยาเสพติด อัตราผู้ป่วยเอดส์ โรคทางเดินหายใจ มะเร็ง ตลอดจนกุ้ง หอย ปู ปลาในทะเล ผักผลไม้ที่ถูกทำลายไป


ผมเชื่อว่า ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับมาบตาพุด ไม่ใช่เป็นแค่ตัวอย่างหรือเรื่องบังเอิญเท่านั้น แต่เป็นปัญหาเชิงระบบของเศรษฐกิจทั้งโลกเลยทีเดียว


นักเศรษฐศาสตร์จากประเทศรัสเซีย (วาสิลี โคลตาซอฟ) วิเคราะห์ว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่สถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาปล่อยสินเชื่อให้กับผู้กู้ที่ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกันอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักวิเคราะห์กัน


แต่เกิดจากประเทศอุตสาหกรรมในโลกที่หนึ่ง (ปัจจุบันหมายถึงสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว) ได้ย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศโลกที่สาม (เกาหลี ไต้หวัน ไทย จีน ฯลฯ) โดยมีเป้าประสงค์หลักอยู่ 3 ประการ คือ (1) หาแหล่งแรงงานราคาถูก (2) กฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่เข้มงวด และ (3) ไม่มีสหภาพแรงงานหรือมีก็ไม่เข้มแข็งพอ


เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมถูกย้ายออกไปสู่ประเทศด้อยพัฒนา จึงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 2 อย่าง คือ (1) นักลงทุนจำนวนหนึ่งสามารถสูบกำไรกลับประเทศของตนเอง จนสร้างความมั่งคั่งอย่างมหาศาลให้กับเจ้าของกิจการ และ (2) รายได้ที่แท้จริง (เมื่อคิดเงินเฟ้อด้วย) ของชนชั้นกลางในสหรัฐอเมริกาก็ลดลง จนต้องกู้หนี้ยืมสิน เมื่อ 20 ปีก่อนนี้ รายจ่ายหมวดที่อยู่อาศัยของคนอเมริกันอยู่ที่ 25% ของรายได้ แต่ทุกวันนี้ได้เพิ่มขึ้นมาถึง 50-60 %


ไม่นานมานี้ ข่าวทีวีได้ฉายให้เห็นภาพสองด้านที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงภายใต้ระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันนี้

ภาพแรก ข่าวทางโทรทัศน์หลายช่องในบ้านเราได้ถ่ายให้เห็นภาพคนอเมริกันที่ถูกยึดบ้านที่กำลังผ่อนซื้อ จนต้องไปกางเต้นส์นอนในที่สาธารณะ มิหนำซ้ำต้องไปแย่งที่ของคนไร้บ้านที่นอนอยู่ก่อนด้วย


ภาพที่สอง มาจากนิตยสารฟอร์ปส์ (Forbs) ที่ได้ประกาศอันดับของเศรษฐีโลก พบว่า ทรัพย์สินของมหาเศรษฐี 3 อันดับแรกรวมกัน (112,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) แล้วประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ประชาชาติของคนไทยทั้งประเทศ


เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนกว่านี้ ผมขอยกข้อมูลขององค์กรหนึ่งของสหประชาชาติที่มีชื่อย่อว่า (WIDER - World Institute for Development Economic Research อ้างโดย Susan George- นักวิจารณ์ระบบทุนนิยมที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก) ว่า ทรัพย์สินในครัวเรือนของคนทั้งโลกรวมกันแล้วประมาณ 125 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 3 เท่าของรายได้ในแต่ละปีของคนทั้งโลก) พบว่าคนรวยที่สุดเพียง 2 % มีทรัพย์สินรวมกันเท่ากับครึ่งหนึ่งของโลก ในขณะที่คนครึ่งหนึ่งของโลกที่เป็นคนจนมีทรัพย์สินรวมกันเพียง 1 % เท่านั้น


ความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้ดังกล่าว ได้สร้างปัญหาให้กับสังคมโลกอย่างมากมาย


เราคงนึกไม่ออกว่าเงินจำนวนดังกล่าวมีค่าสักเท่าใดกันแน่ เอาอย่างนี้ สมมุติว่าใครคนหนึ่งมีเงินจำนวน 4 หมื่นล้านบาทก็แล้วกัน จากเงินจำนวนนี้ ถ้าเราสามารถได้ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี เราสามารถคิดได้ว่า เราจะได้รับดอกเบี้ยวันละ 4.38 ล้านบาท


รายได้จากดอกเบี้ยจำนวนกว่า 4 ล้านบาทต่อวันนี้ สามารถนำไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีนัยสำคัญหรืออย่างมีผลสะเทือนต่อสังคมได้


กลับมาที่ปัญหาการพัฒนาของประเทศไทยอีกครั้ง


ดร.สาวิตต์ โพธิวิหก ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและเคยเป็นผู้วางแผนพัฒนาภาคตะวันออก ได้กล่าวในวงสัมมนาเรื่อง "แผนพัฒนาภาคใต้ ทำอย่างไรไม่ให้ซ้ำรอยมาบตาพุด" (จัดโดยสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ เมื่อ 13 มีนาคม 2552) ว่า "ภาคใต้มีพื้นที่จำกัด ประชากรก็เพิ่มขึ้นทุกวัน อุตสาหกรรมจะทำให้ลูกหลานของคนใต้สามารถมีงานทำได้"


จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นก็เป็นประเด็นสำคัญในการวางแผนพัฒนา แต่จากการเจาะลึกไปถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องได้พบสิ่งที่น่าสนใจมากคือ ในช่วง 2536 ถึง 2550 จำนวนประชากรของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเพียง 8 % แต่รายได้ประชาชาติในช่วงเดียวกันได้เพิ่มขึ้นถึง 168 % ขณะเดียวกันมูลค่าการใช้พลังงานได้เพิ่มขึ้นถึง 327 %


ตัวเลขเหล่านี้อธิบายว่า จำนวนประชากรของเราไม่ได้เพิ่มขึ้นมากอย่างที่ท่านที่ปรึกษากังวล แต่มูลค่าการใช้พลังงานกลับเพิ่มมากกว่ารายได้ที่ได้รับถึงสองเท่า


ในปี 2536 ประเทศไทยใช้พลังงานคิดเป็นมูลค่า 11 % ของรายได้ประชาชาติ แต่ในอีก 15 ปีต่อมา (2550) มูลค่าพลังงานที่ใช้คิดเป็น 19.3 % หรือเกือบ 1 ใน 5 ของรายได้ ถ้าข้อมูลเป็นอย่างนี้ เราอาจคาดการณ์ได้ว่าในอีก 15 ปีข้างหน้า มูลค่าพลังงานที่ใช้อาจจะเป็น 2 ใน 5 หรือ 40 % ของรายได้ ถึงวันนั้นโปรดอย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในกรณีที่อยู่อาศัยของคนอเมริกัน


ข้อมูลดังกล่าวแสดงว่า ประเทศเราเน้นไปที่การใช้พลังงานในการหารายได้ แทนที่จะเน้นไปที่การพัฒนาฝีมือ หรือความสามารถทางสมองของคนในชาติ


เมื่อพูดถึงพลังงานซึ่งเราใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจนั้น เราก็น่าจะต้องตั้งคำถามอีกเช่นกัน


คือแทนที่เราจะเน้นไปที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือ ก๊าซธรรมชาติ (ตามแผนที่ได้กำหนดไว้) ซึ่งเป็นตัวก่อมลพิษและไม่ก่อให้เกิดรายได้กับประชาชนแล้ว ทำไมเราไม่เลือกใช้พลังงานหมุนเวียนที่สามารถก่อให้เกิดรายได้และสร้างงานให้กับคนในชาตินับแสนตำแหน่งได้ด้วย


นี่คือบางคำถามที่เกิดขึ้นกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เดินตามก้นของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่วันนี้แม้แต่คนอเมริกันเองก็ยังโกรธเคืองและตั้งคำถามให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตอบว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นเร็วหรือต้องนอนยาวไปอีกนาน

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org