Skip to main content

ตลอดช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันที่ปั๊มในบ้านเราได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบจะสูงถึง 85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยที่ราคาเมื่อต้นเดือนมิถุนายนได้ขยับจาก 62 ถึง 68 ภายในเวลาเจ็ดวันเท่านั้น



ท่านผู้อ่านคงจะรู้สึกคล้าย ๆ กันกับหลายคนที่ได้ตั้งคำถามเชิงไม่ไว้วางใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันว่า
“ตอนที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นสูงสุดเมื่อกลางปี 2551 กับตอนนี้ (มิถุนายน 2552) ซึ่งราคาน้ำมันดิบลดลงมาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ทำไมราคาน้ำมันหน้าปั๊มในบ้านเราจึงลดลงไม่มาก มันเกิดอะไรขึ้น กลไกราคามันเป็นอย่างไร”

เพื่อความแน่นอนในตัวเลข ผมจึงลองค้นหาข้อมูลย้อนหลังดูก็พบว่า ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก (ราคาที่จุดขายหรือราคาเอฟโอบี ไม่รวมค่าขนส่ง) อยู่ที่ 137.11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลชนิดหมุนเร็วหน้าปั๊มในเขตกรุงเทพฯลิตรละ 42.64 บาท แต่พอมาถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2552 ราคาน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ที่ 68.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันชนิดเดิมและที่เดิมอยู่ที่ 25.39 บาทต่อลิตร

ในความคาดหวังของผู้ตั้งคำถาม คงอยากจะบอกว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบลดลงครึ่งหนึ่ง ราคาหน้าปั๊มก็ควรลดลงมาครึ่งหนึ่งด้วย คือควรจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 21 บาทต่อลิตร ไม่ใช่ 25 บาทต่อลิตรอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ซึ่งสูงกว่าที่เขาคิดถึง 19 เปอร์เซ็นต์

พร้อมกันนี้ผู้สงสัยก็คำนวณต่อไปอีกว่า ในแต่ละวันคนไทยใช้น้ำมันดีเซลชนิดหมุนเร็ว 58 ล้านลิตร ผู้บริโภคถูกคิดราคาเกินไปถึงวันละกว่า 200 ล้านบาท

ในความเป็นจริงราคาน้ำมันที่หน้าปั๊มจะประกอบด้วย 5 ส่วน คือ

  1. ราคาน้ำมันดิบซึ่งขึ้นอยู่กับพ่อค้าผูกขาดระดับโลกจะกำหนด เรื่องนี้เกินอำนาจที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ที่แก้ไขได้
  2. ค่าการกลั่นเฉลี่ย ( average gross refinery margin) ซึ่งหมายถึงราคาที่ต่างกันระหว่างน้ำมันดิบกับราคาผลิตภัณฑ์ที่กลั่นออกมาได้ สมมุติว่าราคาน้ำมันดิบ 60 $/บาร์เรล หลังจากกลั่นเสร็จแล้วราคาของผลิตภัณฑ์ต่างๆ (เช่น น้ำมันดีเซล น้ำมันกาด นาฟต้า (naphtha-สารที่ใช้ผลิตเชื้อเพลิงอื่นที่มีอ๊อกเทนสูงและอื่น ๆ) รวมกันเป็น 65 $ เราเรียกว่า “ผลต่างของการกลั่นรวม” หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า ค่าการกลั่น
  3. ค่าการตลาด (marketing margin) คือผลต่างระหว่างราคาขายกับราคาซื้อ
  4. ค่าภาษีซึ่งได้แก่ ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเทศบาล รวมถึงกองทุนต่าง ๆ
  5. อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างบาทกับดอลลาร์สหรัฐ

โดยปกติ ค่าภาษีน้ำมันในบ้านเราจะเปลี่ยนไปตามนโยบายรัฐบาล ในช่วงที่ราคาน้ำมันแพงมาก เช่น วันที่ 1 กันยายน 2551 ราคาน้ำมันดีเซลชนิดหมุนเร็วหน้าปั๊มลิตรละ 33.04 บาท รัฐบาลเก็บภาษีทุกชนิดรวมกัน 2.82 บาท (หรือ 8.54% ของราคาขาย) แต่ในช่วงที่ราคาน้ำมันถูกลงค่าภาษีกลับเพิ่มขึ้น เช่น เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2552 ราคาน้ำมันชนิดเดียวกันราคาลิตรละ 23.29 บาทแต่เป็นค่าภาษีถึง 7.61 บาท(หรือ 33%)

เมื่อเป็นเช่นนี้ การคาดหวังของผู้ใช้น้ำมันข้างต้นจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

ในประเด็นเรื่องภาษี แต่ละประเทศมีแนวคิดและอัตราการเก็บต่างกันมาก เช่น ประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น ในขณะที่ราคาน้ำมันในบ้านเราลิตรละ 40 บาท ในบ้านของเขาเหล่านั้นลิตร 100 บาท ในจำนวนนี้เป็นค่าภาษีเสียเกือบ 60% ที่เป็นเช่นนี้เพราะแนวคิดการประหยัดพลังงานและการนำภาษีน้ำมันที่เป็นพิษไปสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม แต่ในสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันและอัตราภาษีไม่ต่างจากบ้านเรามากนัก คนอเมริกันที่มีจำนวนเพียง 5% ของโลกจึงใช้พลังงานถึง 30% ของโลก

ประเด็นที่น่าสนใจคือ องค์ประกอบที่ (2) คือค่าการกลั่น ในบ้านเรากำหนดโดยเจ้าของโรงกลั่นระดับประเทศซึ่งมีอยู่จำนวน 7 โรง ในจำนวนนี้มี บริษัท ปตท. เป็นหุ้นส่วนใหญ่ถึง 5 โรง ในการนี้ยังมีกลไกระดับรัฐบาลเป็นผู้กำกับดูและอีกระดับชั้นหนึ่ง

ค่าการกลั่น

เป็นที่น่าสังเกตว่า กระทรวงพลังงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลกิจการพลังงานทั้งประเทศ ได้นำเสนอข้อมูลพลังงานที่ยากต่อการสืบค้นและทำความเข้าใจเมื่อเทียบของประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศอังกฤษ เขาจะมีเอกสารที่จัดทำโดยกลุ่มโรงกลั่น 9 โรง (จากจำนวน 12 โรง) ในนามของ UKPIA (United Kingdom of Petroleum Industry Association) เช่น บอกว่า ค่าการกลั่นของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ระหว่าง 4.2 ถึง 5.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักจากปี ค.ศ. 2004 ถึง 2007 (ดังแผนภาพข้างล่างนี้)


แต่เว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน (http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html) ให้ข้อมูลเป็นรายวัน เป็นตัวเลข แต่ละวันก็อยู่คนละหน้า ทำให้เราไม่เข้าใจภาพรวม ไม่เห็นแนวโน้ม และไม่เห็นการเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ใครที่รู้อยาก สงสัยอย่างผมเองก็ต้องเสียเวลานั่งไล่กันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้มาเพื่อทำการวิเคราะห์เอาเอง นอกจากนี้ยังพบว่า อยู่ ๆ ข้อมูลค่าการกลั่นของกระทรวงพลังงานก็หายไปจากเว็บไซต์ คือไม่รายงานอีกเลย เช่น วันที่ 1 ธันวาคม 2551 ยังมีการรายงานตามปกติที่ผ่านมา แต่พอมาถึงปลายเดือนธันวาคมเป็นต้นมาก็หายไปตลอดกาล

กลับมาที่กรณีของประเทศอังกฤษอีกครั้ง นอกจากการนำเสนอข้อมูลเรื่องค่าการกลั่นของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว ยังมีการเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ และบางส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกา จากกราฟ (ที่เขานำเสนอ) เราจะเห็นว่า ค่าการกลั่นของ 3 ประเทศอยู่ในช่วงที่ใกล้เคียงกันมาก คือประมาณ 2-6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยกเว้นอยู่ช่วงเดียวคือประมาณปี 2005 ถึง 2007 ที่ค่าการกลั่นของสหรัฐอเมริกาได้พุ่งไปถึงประมาณ $13 ต่อบาร์เรล ด้วยเหตุผลว่าประเทศเขาประสบภัยพิบัติจากพายุเฮริเคน แคตรินาเมื่อปี 2005

นอกจากนี้จากข้อมูลในกราฟทำให้เราทราบว่า ค่าการกลั่นยังแปรผันขึ้นลงตามฤดูกาลอีกด้วย แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก

อนึ่ง ค่าการกลั่นยังขึ้นกับประเภทของน้ำมันดิบอีกด้วย แต่จะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้เพราะกระทรวงพลังงานเองก็ไม่ได้จำแนกประเภทน้ำมันดิบเอาไว้

เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงพลังงานมีปัญหาดังที่กล่าวแล้ว ผมจึงได้ใช้วิธีการดังนี้ คือ
ผมสุ่มข้อมูลค่าการกลั่นเฉลี่ยและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของปี 2550 ทุกเดือนๆ ละ 5 วันโดยกระจายตัวทั่วทั้งเดือน รวม 60 ข้อมูล ผมพบว่า

ค่าการกลั่นของประเทศสยามเมืองยิ้ม(ไม่ออก) อยู่ที่ 9.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในขณะที่ของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่ 5.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น ของประเทศสิงคโปร์ก็ประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ยกเว้นของสหรัฐอเมริกาที่เกิดภัยพิบัติ

สมมุติว่า(สมมุตินะครับสมมุติ) ถ้ารัฐบาลไทยมีการควบคุมให้ค่าการกลั่นของไทยเท่ากับของประเทศยุโรปหรือของประเทศสิงคโปร์แล้วราคาน้ำมันในบ้านเราจะลดลงทันทีถึงลิตรละ 94 สตางค์

ในปี 2550 น้ำมันดิบเข้าโรงกลั่นทั้ง 7 ของประเทศไทยประมาณ 5 หมื่น 3 พันล้านลิตร (http://www.eppo.go.th/info/stat/T02_02_02-1.xls) ดังนั้น คนไทยจะสามารถประหยัดเงินได้รวมกันถึงปีละ 5 หมื่นล้านบาท

เพื่อให้ได้ความรู้มากขึ้น ผมลองตรวจสอบในเดือนกันยายน 2551 โดยใช้ข้อมูลเพียง 20 วัน พบว่า ค่าการกลั่นเฉลี่ยของน้ำมันทุกชนิดในประเทศไทยอยู่ที่ 13.25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ผมพบดังตารางข้างล่างนี้ (เพียงเพื่อให้เห็นเป็นหลักฐาน โดยไม่อธิบายในรายละเอียดเพิ่มเติม)

อนึ่ง ข้อมูลที่ผมนำมาคิดทั้งหมดต่างมีแหล่งอ้างอิงตามที่กล่าวมาแล้ว หากผมคิดหรือเข้าใจอะไรผิดพลาดไป หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดชี้แจงครับ เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของท่านที่จะต้องทำความเข้าใจกับผู้บริโภค บนพื้นฐานของความเป็นจริง

ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ร้ายหน่วยงานใด เพียงขอทำหน้าตรวจสอบนักการเมืองและกลุ่มพ่อค้าที่รวยเอารวยเอา ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องกลับอัตคัดขัดสนลงลงทุกวัน

ขอขอบคุณทุกท่านครับ

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org