Skip to main content

 

1. คำนำ

 

 

 

ภาพที่เห็นคือบริเวณชายหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จังหวัดสงขลา (ถ่ายเมื่อพฤศจิกายน 2552) หาดนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากของชาวเมืองสงขลา อยู่ทางตอนใต้ของหาดสมิหลาที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดีประมาณหนึ่งกิโลเมตร สิ่งที่เห็นในภาพที่มีถุงทรายสีขาว ยางรถยนต์เก่ายึดด้วยไม้หลักปักทราย รวมทั้งรูปต้นสนล้ม คงสะท้อนทั้งความรุนแรงของปัญหาและความพยายามแก้ปัญหาของผู้ที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี

\\/--break--\>
รศ.ดร. สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ (วิศวกรทางทะเล จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ได้นำปัญหานี้มาเล่าในชั้นเรียนวิทยาลัยวันศุกร์หลายครั้งแล้ว ครั้งล่าสุด ( 4 ธันวาคม 52) ท่านบอกว่า ถ้ายังแก้ปัญหากันอยู่อย่างนี้ อีกประมาณ 5 ปี หาดสมิหลาที่ทุกคนรู้จักดีจะต้องหมดไป


ผมเองได้รับฟังเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่รู้สึกว่าไม่มีความมั่นใจที่จะเขียนเรื่องนี้ หรือแม้แต่จะนำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายทราบ เพราะเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนมาก


ในฐานะอาจารย์คณิตศาสตร์ประยุกต์ ผมมีความรู้เรื่องนี้น้อยมาก แม้จะเคยลงเรียนวิชา "สมุทรศาสตร์เชิงกายภาพ" มาบ้างแล้วก็ตาม


เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา หลังจากได้ลงไปดูพื้นที่กัดเซาะที่บ้านเกิดของผม (อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช) และได้คุยความหลังกับพี่ชาย กับชาวประมงและชาวบ้าน ทำให้ผมกล้าตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ เพราะประสบการณ์จริงกับหลักวิชาการที่ อาจารย์สมบูรณ์เล่ามานั้นสอดคล้องกันอย่างมาก


โจทย์ที่ผมจะนำเสนอในที่นี้มี 3 ประเด็นคือ

1. ทรายที่อยู่ตามชายหาดมาจากไหน

2. ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการไหลของน้ำในอ่าวไทย

3. จริงหรือที่ว่าคลื่นในทะเลเป็นต้นเหตุของการกัดเซาะ

 

2. ทรายที่อยู่ตามชายหาดมาจากไหน


ก่อนอื่น เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบายผมขอนำเสนอ 2 ภาพนี้

 

 

 

ภาพแรกมาจาก google Earth เป็นภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณปากน้ำ บ้านนาทับ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ที่เห็นเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าพุ่งออกไปในทะเล คือ เขื่อนกันทรายไม่ให้เคลื่อนไปปิดปากคลองนาทับ ที่เห็นสีขาว ๆ ทางตอนล่างขวามือของภาพเป็นทราย ที่ไหลมาจากทิศใต้(ทางใต้ของรูป) แต่ทรายนี้ไม่สามารถไหลต่อไปทางตอนเหนือของภาพเพราะมีคันกั้นไว้ เมื่อกระแสน้ำที่เกิดจากคลื่นไหลมาชนกับเขื่อนกันทราย ทิศทางของกระแสน้ำก็ถูกเปลี่ยนไปและไหลเชี่ยวขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ทรายชายหาดทางตอนเหนือของภาพ (และทางทิศเหนือของประเทศ) ถูกกระแสน้ำกัด


ทางราชการจึงได้ทำเป็นเขื่อนหินกันคลื่นเป็นช่วง ๆ ขนานกับชายฝั่ง ดังรูป คำอธิบายนี้จะง่ายขึ้นหากดูภาพที่สอง (ซึ่งเป็นภาพถ่ายจากพื้นที่ชายฝั่งบ้านนาทับไปทางทิศเหนือถึงบ้านเกาะแต้วเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร)

 

 

ดร.สมบูรณ์ ได้ข้อสรุปว่า สาเหตุของการกัดเซาะเพราะทรายจากตอนล่าง (ทิศใต้)ไม่สามารถไหลไปทดแทนทางตอนเหนือได้และจากการเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำเนื่องจากเขื่อนหินเหล่านั้น การเคลื่อนที่ของทรายบริเวณนี้สาเหตุหลักเกิดจากกระแสน้ำชายฝั่ง (long-shore current) ไม่ได้เกิดจากคลื่นที่เรามองเห็นเป็นลูก ๆ ซึ่งจะกล่าวถึงอีกครั้งในสองหัวข้อที่เหลือ


ผมเปรียบเทียบว่า "อ้อ เหมือนบัญชีธนาคารเลย ถ้ามีแต่การถอน (คือการกัดเซาะ) แต่ไม่มีการฝาก(คือการเพิ่มทราย) บัญชีก็ไม่สมดุล และจะเป็นตัวแดงในที่สุด"


ดร. สมบูรณ์ว่า "ถูกต้องเลย" พร้อมกับตั้งคำถามต่อไปว่า

"แล้วทรายมาจากไหน"

"มาจากแม่น้ำ มาจากภูเขา" ดร.สมบูรณ์เฉลยเสร็จสรรพ


ผมกลับบ้านไปทวนความหลังกับพี่ชาย ได้ความว่า ที่บ้านผมซึ่งตั้งอยู่ตอนปลายสุดของส่วนที่เรียกว่า "บาง" (ส่วนที่แยกย่อยออกมาจากคลอง ซึ่งคลองแยกออกมาจากแม่น้ำอีกทีหนึ่ง) เราทั้งสองจำความได้ว่าเคยเล่นทรายในบริเวณนั้นเป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่รอบ ๆ กองทรายนั้นมีแต่ดินเหนียวกับดินโคลน หรายเหล่านี้ต้องมาจากแม่น้ำแน่นอน


ถ้าข้อสรุปนี้เป็นจริง การที่ประเทศเรามีเขื่อนและฝายมากมายในบริเวณป่าเขา ก็น่าจะเป็นไปได้ที่ทำให้ทรายในทะเลขาดสมดุล


เมื่อหลายปีก่อน ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ ได้เคยบอกว่า "ประเทศจีนทำเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงในประเทศของเขา ทำให้ตะกอนทรายไม่ไหลลงทะเลแถว ๆ ปากแม่น้ำ"


ผมต้องขอออกตัวซ้ำอีกครั้งนะครับว่า นี่เป็นการอนุมานเอาจากประสบการณ์และวิชาการบางส่วน ไม่ใช่เป็นข้อสรุปโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่มันอาจจะเป็นจริงก็ได้ ท่านผู้อ่านโปรดพิจารณาเอาเอง


ถ้าจะให้สรุปในตอนนี้ ก็น่าจะได้ว่า สาเหตุของการกัดเซาะชายหาด มาจากการเสียสมดุลทางธรรมชาติระหว่างภูเขากับทะเลที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์นั่นเอง (หมายเหตุ การขาดทรายจากภูเขาทำให้หาดหดสั้นลงช้าๆปีละครึ่งเมตร ขณะที่การสร้างเขื่อนกันทรายและกันคลื่นที่ปากแม่น้ำและชายฝั่งต่างๆจะทำให้หาดทรายถูกกัดเซาะปีละ 10 -20 เมตร)

 

3. ปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการไหลของน้ำในอ่าวไทย


ถ้าจะดูว่ากระแสน้ำในอ่าวไทยมีความสลับซับซ้อนขนาดไหน ก็โปรดดูรูปข้างล่างนี้ก่อน

 

 

ที่เห็นสีทึบๆ ในภาพเป็นแผ่นดิน สีขาว ๆ เป็นทะเล ลูกศรแสดงทิศทางของกระแสน้ำ (ระดับผิวน้ำ) ภาพเล็ก ๆ เป็นทิศทางลมในเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 เป็นข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดในรายงาน Naga Report (ค้นได้จาก google)


เราจะเห็นว่า ทิศทางของกระแสลมกับกระแสน้ำคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน กระแสน้ำมีความซับซ้อนมากกว่า กระแสน้ำชายฝั่งที่มีผลต่อหาดเกิดจากคลื่น ที่เคลื่อนทำมุมเข้าหาฝั่ง ซึ่งจะมีอิทธิพลในระยะไม่เกิน 0.5 ก.ม. เท่านั้น


ถ้าจะถามว่าปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดกระแสน้ำในทะเล ผมขอตอบสั้น ๆ (โปรดอ่านอย่างช้า ๆ นะครับ) ว่าเกิดจาก 4 ปัจจัยหลักดังนี้


1. ขึ้นกับรูปทรงทางเรขาคณิต ความลึก ความกว้าง ตลอดจนความเว้า ๆ แหว่ง ๆ ล้วนมีผล การก่อสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำก็มีผล(รุนแรงเสียด้วย)


2. น้ำขึ้น-น้ำลง อันเป็นผลมาจากดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ เมื่อคิดถึงระบบมหาสมุทร อ่าวไทยก็เหมือนกับแม่น้ำทั่วไป คือมีน้ำขึ้นน้ำลง ในอ่าวไทยแต่ละวันจะมีน้ำขึ้น 2 ครั้ง ลง 2 ครั้ง ชาวประมงทราบเรื่องนี้ดี บางครั้งอวนที่วางไว้ถูกกระแสน้ำดึงไปแรงมาก


ชาวบ้านที่เคยไปวางท่อทำนากุ้งบอกว่า "ผมเกือบตายเพราะน้ำเชี่ยวแทงหลุดออกไปจากเสาหลัก ถ้าไม่มีใครมาช่วยผมตายแล้ว"


ชาวประมงบอกผมว่า พื้นทะเลเป็นดินโคลนสูงประมาณครึ่งฟุต ใต้ลงไปอีกเป็นดินเหนียว นี่เป็นการยืนยันว่า "ทรายมาจากภูเขา"


3. ความเร็วลม ประเทศเราอยู่ในเขตมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ กับตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ในช่วงเดือนเมษายนจะมีลมสำเภาพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย


เมื่อลมพัด น้ำก็จะไหล ตำราสมุทรศาสตร์ที่ผมพอจำได้บ้าง บอกว่า (1) ความเร็วของกระแสน้ำ(ที่ผิว) จะประมาณ 3% ของความเร็วลม ถ้าความเร็วลมเท่ากับ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วของกระแสน้ำก็ประมาณ 0.2 เมตรต่อวินาที (2) บริเวณใดที่เป็นน้ำตื้นน้ำจะไหลตามลม และเพื่อให้เป็นไปตามทฤษฎีความต่อเนื่องของน้ำ ส่วนน้ำในที่ลึกกว่าจะไหลทวนลม (ซับซ้อนครับ และดูรูปในแผนที่อีกครั้งว่าซับซ้อนแค่ไหน) ในบริเวณแคบ ๆ น้ำจะไหลเร็วกว่าที่กว้าง ๆ


4. เกิดจากแรงเหวี่ยงของโลก เหนือเส้นศูนย์สูตรก็ไปทางหนึ่ง ใต้เส้นศูนย์สูตรก็อีกทางหนึ่ง

 

4. จริงหรือที่ว่าคลื่นในทะเลเป็นต้นเหตุของการกัดเซาะ


คลื่นที่เราเห็นในทะเลเกิดจากลม วันไหนลมแรงคลื่นก็แรง การเคลื่อนตัวของคลื่นไปตามทิศทางลมและรูปทรงเรขาคณิตของทะเล ในอ่าวไทยโดยมากคลื่นเกือบจะตั้งฉากกับชายฝั่ง


ในฤดูร้อน เราจะเห็นทรายไปกองเป็น "หาดนอกชายฝั่ง" โผล่พ้นน้ำห่างจากชายฝั่งประมาณ 100 เมตร สมัยเด็ก ๆ ผมก็เคยไปเล่น ไปหาหอย กว่าจะไปถึงก็ต้องผ่านน้ำลึกท่วมหัวไปก่อน ชาวประมงบอกว่าทุกวันนี้ก็ยังมี แต่ผมลืมถามไปว่า ขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าเดิม


คำถามก็คือว่า ทรายบนหาดนอกชายฝั่งนี้มาจากไหน? ผมคิดว่าน่าจะมาจากแม่น้ำ


ในฤดูมรสุมซึ่งเป็นช่วงที่คลื่นใหญ่ลมแรง เราพบว่า (1) "หาดนอกชายฝั่ง" หายไป (2) ชายหาดส่วนมากกลับมีทรายมากกว่าเดิม (3) ที่ถูกกัดเซาะคือบริเวณที่เป็นต้นไม้ขึ้น (เลยขึ้นมาบนแผ่นดิน)


ดังนั้น ในช่วงมรสุมนอกจากคลื่นจะไม่กัดเซาะแล้ว ยังช่วยนำทรายจากหาดนอกขึ้นมากองบนชายหาดอีกด้วย


ทรายที่ถูกกัดดังที่เราเห็นในรูปที่สอง มาจากสาเหตุของกระแสน้ำเนื่องจากคลื่นชายฝั่งซึ่งลมเป็นตัวกำเนิด บางจังหวะกระแสน้ำที่เกิดจากลมกับกระแสน้ำที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลงมาเสริมกัน กระแสน้ำยิ่งเชียวมากขึ้น

 

5. สรุป


ในตอนท้ายของการเสวนา อาจารย์สมบูรณ์สรุปว่า ถ้าสังคมต้องการจะเก็บรักษาชายหาดไว้ให้ลูกหลานได้ชม ได้พักผ่อน ได้เข็นเรือประมง ก็อย่าทำให้ทรายเสียสมดุล อย่าไปสร้างสิ่งกีดขวางทางเดินของทราย


แต่ถ้าสังคมไม่ต้องการชายหาดทรายแล้ว แต่ต้องการเฉพาะฝั่งที่เป็นแผ่นดิน ต้องการถนน ทางวิศวกรรมสามารถออกแบบได้


สุดท้ายอาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การแก้ปัญหาชายหาดตกอยู่ในมือของนักการเมืองที่ขาดความรู้ทางวิชาการ หรือนักวิชาการจงใจที่จะแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อให้เกิดปัญหาใหม่ แล้วจะได้มี "งานเข้า" ตลอดไป


ในขณะที่พลเมืองที่มีความรู้ความเข้าใจก็ไม่มีเครื่องมือในการสื่อสารใด ๆ ให้สาธารณะได้ทราบ นี่ก็เป็นการเสียสมดุลทางสังคมอีกอย่างหนึ่ง


ประโยคสุดท้ายนี้เป็นข้อสรุปของผมเองครับ

 

 

บล็อกของ ประสาท มีแต้ม

ประสาท มีแต้ม
    “คดีโลกร้อน” เป็นชื่อที่ใช้เรียกคดีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกป่า ผู้บุกรุกต้องชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ผ่านมามีเกษตรกรถูกฟ้องดำเนินคดีไปแล้วหลายสิบรายทั่วประเทศ ในช่วงปี 2549-52 ในจังหวัดตรังและพัทลุงมีราษฎรถูกดำเนินคดีไปแล้ว 13 ราย ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว 7 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินคดี 6 ราย กรมอุทยานฯ ได้เรียกค่าเสียหาย 20.306 ล้านบาท แต่ศาลพิพากษาให้จ่าย 14.76 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ประสาท มีแต้ม
    ขณะนี้รัฐบาลกำลังคิดค้นโครงการประชานิยมหลายอย่าง คาดว่าจะประกาศรายละเอียดภายในต้นปี 2554   ทั้งนี้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ทำไปทำมานโยบายประชานิยมที่เริ่มต้นอย่างประปรายตั้งแต่รัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช (2518) และเริ่มเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้เสียแล้ว บทความนี้จะกล่าวถึงนโยบายประชานิยมในเรื่องค่าไฟฟ้าสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้ารายย่อยไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (2551) และใช้ต่อกันมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันและในอนาคตด้วย ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยในชนบท…
ประสาท มีแต้ม
    คำนำ เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยเรากำลังมีความขัดแย้งรุนแรงครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ของประเทศ จนรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาหลายชุด หนึ่งในนั้นคือ คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) โดยมีคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการชุดนี้ได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้น โดยขึ้นคำขวัญซึ่งสะท้อนแนวคิดรวบยอดของการปฏิรูปประเทศไทยว่า “ลดอำนาจรัฐ ขจัดความเหลื่อมล้ำ” ผมเองได้ติดตามชมการถ่ายทอดโทรทัศน์จากรายการนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ทราบถึงเจตนารมณ์ในการรับฟังความคิดเห็น ได้ชมวีดิทัศน์ที่บอกถึง “ความเหลื่อมล้ำ” …
ประสาท มีแต้ม
  “...ถ้าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลสูงขึ้น 1 องศาเซียลเซียส ความถี่ที่จะเกิดพายุชนิดรุนแรงจะเพิ่มขึ้นอีก 31% ... ในปี พ.ศ. 2643 อุณหภูมิดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 องศา”   “ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจจะมากกว่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของคนทั้งโลก ทั้งนี้ภายในก่อนปี พ.ศ. 2608”  
ประสาท มีแต้ม
ขณะนี้ทางรัฐบาลโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ.) กำลังเสนอให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 700 เมกกะวัตต์  ชาวหัวไทรที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้อาจเกิดความสงสัยหลายอย่าง เป็นต้นว่า 1.โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกกะวัตต์นั้น มันใหญ่เท่าใด ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้จะใช้ได้สักกี่ครอบครัวหรือกี่จังหวัด
ประสาท มีแต้ม
    คำว่า “ไฟต์บังคับ” เป็นภาษาในวงการมวย  หมายความว่าเมื่อนักมวยคนหนึ่ง(มักจะเป็นแชมป์) ถูกกำหนดโดยองค์กรที่เกี่ยวข้องว่า ครั้งต่อไปนักมวยคนนี้จะต้องชกกับใคร จะเลี่ยงไปเลือกชกกับคนอื่นที่ตนคิดว่าได้เปรียบกว่าไม่ได้
ประสาท มีแต้ม
  ๑.  คำนำ บทความนี้ประกอบด้วย 6 หัวข้อย่อย ท่านสามารถอ่านหัวข้อที่ 6 ก่อนก็ได้เลย เพราะเป็นนิทานที่สะท้อนปัญหาระบบการศึกษาได้ดี เรื่อง “โรงเรียนสัตว์”   ถ้าท่านรู้สึกสนุกและเห็นคุณค่าของนิทานดังกล่าว (ซึ่งทั้งแสบ ทั้งคัน) จึงค่อยกลับมาอ่านหัวข้อที่ 2  จนจบ หากท่านไม่เกิดความรู้สึกดังกล่าว  ก็โปรดโยนทิ้งไปได้เลย ๒. ปัญหาของการศึกษากระแสหลักคืออะไร
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ชื่อบทความนี้อาจจะทำให้บางท่านรู้สึกว่าเป็นการทอนพลังของการปฏิรูป ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ แต่ผมขอเรียนว่า ไม่ใช่การทอนพลังครับ แต่เป็นการทำให้การปฏิรูปมีประเด็นที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ง่าย รวดเร็ว  เมื่อเทียบกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย ปฏิรูปการศึกษาที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล ผมได้ตรวจสอบประเด็นของการปฏิรูปของคณะกรรมการชุดที่คุณหมอประเวศ วะสี เป็นประธานแล้วพบว่า ไม่มีประเด็นเรื่องนโยบายพลังงานเลย บทความนี้จะนำเสนอให้เห็นว่า (1) ทำไมจะต้องปฏิรูปนโยบายพลังงานในทันที  (2) จะปฏิรูปไปสู่อะไร และ (3) ทำอย่างไร เริ่มต้นที่ไหนก่อน  …
ประสาท มีแต้ม
“ในการเดินทาง เรามักใช้ยานพาหนะช่วย   แต่ในการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical) เราใช้อะไรเป็นเครื่องมือหรือเป็นพาหนะ”
ประสาท มีแต้ม
“คุณรู้ไหม คนเราสามารถคิดได้เร็วกว่าที่อาจารย์พูดถึงสี่เท่าตัว ดังนั้น เราสามารถฟังและจดโน้ตดี ๆ ได้”   1.    คำนำ ในแต่ละปีผมพบว่า นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง (ซึ่งยังสด ๆ และมองชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสดใสอยู่) จำนวนมากใช้วิธีจดเลคเชอร์ของแต่ละวิชาลงในสมุดเล่มเดียวกัน  เมื่อสอบถามได้ความว่า ค่อยไปลอกและทั้งปรับปรุงแก้ไขลงในสมุดของแต่ละวิชาในภายหลัง  
ประสาท มีแต้ม
1.    คำนำ เราคงยอมรับร่วมกันแล้วว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในระดับความคิด ความเชื่อทางการเมือง และวัฒนธรรมซึ่งนักสังคมศาสตร์จัดว่าเป็นโครงสร้างส่วนบน และความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม  ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างทั้งสองระดับนี้กำลังวิกฤติสุด ๆ จนอาจพลิกผันนำสังคมไทยไปสู่หายนะได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ประสาท มีแต้ม
1. คำนำ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นปกหน้าและหลังของเอกสารขนาดกระดาษ A4 ที่หนาเพียง 16 หน้า แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงที่ปรากฏ แต่ผมเชื่อว่าแววตาและท่าทางของเจ้าหนูน้อยในภาพคงทำให้ท่านรู้สึกได้ว่าเธอทึ่งและมีความหวัง บรรณาธิการกรุณาอย่าทำให้ภาพเล็กลงเพื่อประหยัดเนื้อที่ เพราะจะทำให้เราเห็นแววตาของเธอไม่สดใสเท่าที่ควร เอกสารนี้จัดทำโดย “สภาเพื่ออนาคตโลก” หรือ World Future Council (WFC) ค้นหาได้จาก www.worldfuturecouncil.org